วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2552

บทความธรรมะ(๒)

วันนี้ได้อ่านนิตยสารธรรมะ เห็นดีมีประโยชน์
ให้หลาย ๆ คนที่ไม่ค่อยสนใจธรรมะได้อ่านบทความนี้กัน

ตายอย่างไรไม่ตกนรก
: เรื่องจาก พระอาจารย์ชาญชัย อธิปญโญ

แต่จะสรุปเนื้อหาสั้น ๆ ให้ฟังก็แล้วกัน
เพราะขี้เกียจพิมพ์เหมือนกัน อิอิ ^__^

พระอาจารย์ท่านนี้
มีโอกาสรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับความตายหลายเรื่อง
เช่น คนที่เขารักเป็นโรคมะเร็งขั้นสุดท้าย
แต่ก่อนที่ผู้ป่วยจะตาย ก็พยายามหาวิธีรักษาทุกวิถีทาง
เพื่อให้หาย ทำอย่างกับว่าจะมีวิธีชนะความตายได้
ถึงแม้บางอย่างจะไม่เห็นด้วย
แต่ผู้ป่วยก็ไม่ขัดใจบรรดาผู้หวังดีทั้งหลาย
ซึ่งจะทำอย่างไร คนที่เขารักก็ตาย

คนส่วนใหญ่ขาดความเข้มแข็งทางจิตใจ
หรือขาดปัญญาที่จะรู้ความเป็นจริง
เมื่อมีทุกข์มีภัยมาถึงตัว ไม่รู้ว่าทางที่จะแก้ปัญหา
ก็จะยึดเอาความเชื่อผิด ๆ ตามคำบอกเล่ากันมา
ซึ่งบางอย่างก็ไม่เป็นแก่นสารสาระมาประพฤติปฏิบัติ

คนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ยอมรับความจริง
ไม่กล้าที่จะเผชิญกับความจริง
โดยเฉพาะความจริงในเรื่องกฎแห่งกรรม
และความเป็นจริงที่ทุกคนจะต้องพลัดพราก
จากสิ่งที่ตนได้ มี เป็น อันเป็นกฎธรรมชาติ

ครั้นเมื่อต้องพลัดพรากจากผู้ที่ตนรัก
ไม่ว่าจะจากเป็น หรือจากตายก็ตาม
ต่างก็พยายามที่จะต่อสู้เพื่อยื้อยุดสิ่งนั้นไว้
กับตนให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้
ในที่สุด ก็ไม่สามารถเอาชนะกฎธรรมชาติได้

มีคนมาปรึกษาพระอาจารย์ว่า เขาป่วยเป็นมะเร็ง
เขาควรจะทำอย่างไร นี่ไม่ใช่รายแรกที่มาปรึกษา
ทุก ๆ รายพระอาจารย์ไม่เคยบอกเลยว่า
ไม่เป็นไรหรอก ทำบุญสะเดาะเคราะห์
อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรเสีย
อีกไม่ช้าโยมก็จะหาย
นอกจากนี้พระอาจารย์ก็ไม่ได้แนะนำผู้มาปรึกษาว่า
หมั่นสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิแผ่เมตตา
ให้เจ้ากรรมนายเวรเสียอีกไม่ช้าโยมก็จะหาย
เพราะพระอาจารย์ไม่แน่ใจว่า
วิธีดังกล่าวจะเป็นการรักษาโรคมะเร็ง หรือโรคร้ายอื่น ๆ
ให้หายได้หรือไม่

หากวิธีเช่นนี้รักษาได้จริง
โรงพยาบาลคงไม่มีผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็งหรือโรคร้ายแรงมารักษา

พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญา
เป็นศาสนาที่ว่าด้วยเหตุและผล
ไม่ใช่ศาสนาของการวิงวอนร้องขอ
หรือบนบานศาลกล่าวจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย

พระพุทธองค์ตรัสว่า สิ่งทั้งหลายเกิดจากเหตุ เมื่อเหตุดับไปผลย่อมดับเป็นธรรมดา

สิ่งที่พระอาจารย์แนะนำผู้ป่วยก็คือ ชีวิตเรามีร่างกายกับจิตใจ
มะเร็งเป็นที่กาย ต้องให้หมอรักษา
ความทุกข์เป็นเรื่องของใจ เราต้องรักษาใจของเราเอง
หากใจเราวิตกกังวลเศร้าหมองไปกับโรคร้าย
จะทำให้เม็ดเลือดขาวในร่างกายอ่อนแอลง
มีผลต่อให้ร่างกายทรุดโทรม
เท่ากับว่าเป็นการซ้ำเติมให้อายุของตนสั้นลง

แต่หากเรารักษาใจไม่ให้เศร้าหมอง
ตรงข้าม กลับพัฒนาให้ใจมีความผ่องใส

ก็จะช่วยกระตุ้นให้เม็ดเลือดขาวแข็งแรง
ช่วยรักษาร่างกายได้ทางหนึ่ง

การปฏิบัติสมถวิปัสสนากรรมฐาน
นอกจากจะช่วยให้ใจมีความสงบผ่องใส

ผู้ปฏิบัติยังรู้ความเป็นจริงของชีวิตสามารถปล่อยวางความยึดมั่น
สำคัญผิด
อันทำให้ใจเราเศร้าหมองลงได้
มีผู้ปฏิบัติหลายรายที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งขั้นสุดท้าย

แทนที่จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินหนึ่งปี เมื่อมาปฏิบัติกรรมฐาน
สามารถยืดอายุออกไปได้ 3-5 ปี

ส่วนผู้ป่วยเป็นมะเร็งระยะแรก ๆ นอกจากรักษาด้วยยาแล้ว
การปฏิบัติกรรมฐานได้ช่วยให้เขาหายขาดจากโรคมะเร็งได้
กรณีดังกล่าวมีประจักษ์พยานปรากฎไม่น้อย

เมื่่อไม่นานมานี้
พระอาจารย์ได้รับนิมนต์ไปเยี่ยมผู้ป่วยรายหนึ่ง
เธอนอนป่วยมานานหลายปี ด้วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย
เธอมีบุตร 2 คน กำลังเรียนชั้นมัธยมด้วยกันทั้งคู่
เธอเพิ่งแยกทางกับสามีเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง
นอกจากจะต้องต่อสู้กับโรคแล้ว
ยังต้องต่อสู้กับสงครามชีวิตอีกด้วย
นับว่าเธอเป็นสตรีแกร่งผู้หนึ่ง

พระอาจารย์ไปถึงโรงพยาบาลเวลาบ่ายคล้อย
ทันทีที่พบกัน ความรู้สึกบอกว่า เธอคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน
สภาพร่างกายของเธอเหมือนผลไม้ที่จวนจะหลุดจากขั้ว
เธอยิ้มต้อนรับพระอาจารย์ เป็นรอยยิ้มบนความอ่อนล้าของร่างกาย

พระอาจารย์แนะนำเธอว่า ให้มีความกล้าหาญ
อย่าหวั่นไหวที่จะต้อง เผชิญกับสิ่งต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น
ชีวิตของเรามีร่างกายกับจิตใจ
ธรรมชาติของร่างกายนั้นต้อง แก่ เจ็บ และตายไปในที่สุด
ไม่มีใครรักษาร่างกายเอาไว้ได้
คนเราไม่ได้ตายไปจริง ๆ หรอก
เพียงแต่ร่างกายแตกดับไปตามอายุขัย
แต่จิตใจยังมีแรงปรารถนาอยู่(ตัณหา) จะไปเกิดอีก
ร่างกายเปรียบเสมือนบ้าน
จิตใจเปรียบเหมือนผู้มาอาศัยบ้านหลังนี้อยู่
เมื่อบ้านชำรุดทรุดโทรมผุพังจนไม่สามารถที่จะอาศัยอยู่ต่อไปได้
ก็ไม่ควรที่จะต้องไปอาลัยอาวรณ์ ให้คิดเสียว่า เราทิ้งบ้านหลังนี้ไป
เพื่อไปอยู่บ้านหลังใหม่ที่ดีกว่า

พระอาจารย์ขอให้เธอนึกถึงคุณงามความดีต่าง ๆ ที่ได้ทำไว้อยู่เสมอ
พยายามรักษาใจให้มีความสงบ
อย่าได้ฟุ้งซ่านไปกับอารมณ์ที่เศร้าหมอง
ยามใดที่ใจเผลอคิดไปในเรื่องต่าง ๆ ที่ทำให้ไม่สบายใจ
ก็ให้รู้ตัวกลับมาอยู่ที่ลมหายใจเพื่อให้มีสมาธิ

หรือสวดมนต์บทที่เคยสวดเป็นประจำก็ได้
โดยเฉพาะในยามที่จะสิ้นลมให้มีสติตั้งมั่น
ไม่ต้องห่วงใยในสิ่งต่าง ๆ
ขอให้นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง
ให้ท่านนำพาชีวิตไปสู่สุคติภพด้วย

ผู้ป่วยรับฟังด้วยความตั้งใจ ใบหน้าแสดงการตอบรับข้อแนะนำ
เป็นระยะ ๆ พระอาจารย์ถามเธอว่า
ได้รับความเจ็บปวดจากโรคที่เป็นมากไหม
เธอสั่นศีรษะ ถามเธออีกว่า
มีความห่วงหรือกังวลต่อสิ่งใดบ้าง
เธอตอบว่า ไม่ห่วง
พระอาจารย์กล่าวกับเธอว่า "ดีแล้วที่โยมทำใจได้
มีใจเข็มแข็งกล้าหาญดี หลวงพ่อขอให้โยมรักษาใจไว้
ให้ดีนะ เรื่องร่างกายอย่าไปห่วงมันเลย
มันจะเป็นเช่นใดก็ปล่อยให้มันเป็นไป

รักษาใจอย่าให้เศร้าหมองเป็นดีที่สุด
พระพุทธองค์ตรัสว่า
เวลาจะสิ้นใจ หากมีใจผ่องใสจะไปเกิดในสุคติภพ"

ก่อนจากกัน พระอาจารย์ให้พรเธอ เธอพนมมือรับด้วยความปีติ
พระอาจารย์รู้สึกขอบใจโยมที่นิมนต์มาพบเธอ
เพื่อให้พระอาจารย์ได้มีโอกาสทำหน้าที่ของตน

สองวันต่อมามีผู้โทรศัพท์มาบอกว่า ผู้ป่วยเสียชีวิตแล้ว
ในวันรุ่งขึ้นหลังจากที่ได้พบพระอาจารย์
พระอาจารย์กล่าวกับผู้ที่โทรศัพท์มาบอกว่า ดีแล้ว
เธอจากไปในเวลาที่เหมาะสม ในสภาพที่จิตใจ
มีความกล้าหาญ มีสติที่จะปล่อยวางสิ่งต่าง ๆ ในชีวิต
หากเนิ่นนานไปกว่านี้ ไม่แน่ว่า สภาพร่างกาย
และจิตใจของเธอจะเป็นเช่นไร

พระอาจารย์เชื่อว่า เธอผู้นั้นสามารถรักษาจิตใจให้ผ่องใสได้ในวาระสุดท้ายของชีวิต

------------------------------------------------------------------------------

อ่านบทความนี้แล้ว
ได้ข้อคิดที่ว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในชีวิต

พยายามรักษาใจของตนไว้ให้ดีที่สุด
ความเข้มแข็งของจิตใจ
จะเป็นแรงบรรดาลใจ
ให้ชีวิตเราไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า

ชอบบทความนี้
เพราะพระท่านเข้าใจเปรียบ
ว่าร่างกายเหมือนบ้าน
หากบ้านเราเก่าหรือชำรุด
เราก็ต้องย้ายที่อยู่ใหม่ (กรณียังต้องเกิดอีก)

และที่สำคัญ หมอรักษากาย
แต่ยารักษาใจ ก็คือ ธรรมะคำสอน
ของพระพุทธเจ้าดี ๆ นี่เอง

พระท่านสอนให้คนเราพยายามนึกถึงความดีของตนเอง
ที่ทำไว้ในวาระสุดท้ายของชีวิต
เพราะจะเป็นแรงกุศลให้เราไปเกิดในที่สุคติภพ

สิ่งสำคัญคือ เวลาไปงานศพใครก็ตาม
มักจะเห็นญาติ ๆ ร้องไห้อาลัยอาวรณ์
ข้าพเจ้าก็เข้าใจว่า
นี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งเหมือนกัน
ที่ทำให้คนตาย เป็นห่วง และไม่สามารถไปเกิดที่ใหม่ที่ดีได้

เพราะต่างคน ต่างก็ไม่อยากจากคนที่ตนรัก
ก็เลยทำให้จิตของวิญญาณยังคงวนเวียน ห่วงนั่น ห่วงนี้
ไม่ได้ไปเกิดสักทีได้เหมือนกัน

เวลาใครไปงานศพของคนในอนาคต
ไม่อยากเห็นคนร้องไห้
เพราะจะทำให้จิตของผู้ตายเศร้าหมองไปด้วย
พูดง่าย แต่ทำยากเน๊อะ ^___^

นั่งเขียนบทความนี้
ทำไมมีเสียงสุนัขหอนหว่า!!!
ไปนอนดีกว่า อิอิ ^__^

โดย คิดแล้วเขียนV:)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น