วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553

แบ่งปันธรรมะ



และบทความต่อเนื่อง



---------------------------------------------
นี่แหล่ะน๊า มนุษย์เรา ...ก็เท่านี้
อย่าเศร้าไปเลย ...ใครไม่รัก ก็ช่างเขา
เรารักตัวเองให้ดี ๆ ดีกว่าม๊ะ!

เพิ่มเติม

อย่าลืมว่าสวรรค์มีตา ฟ้าเป็นใจ
หากเรามีความซื่อสัตย์และจริงใจกับใครแล้ว
ฟ้าย่อมบันดาลให้คนดีมาเป็นคู่ของเราเอง

ถ้าเราเป็นคนไม่ดี ถึงมีคู่ที่ดี ก็ไปไม่รอด
และไปไม่ตลอดรอดฝั่ง
คงต้องกลับมาถามตนเองแล้วล่ะว่า
เราจริงใจกับใครบ้างหรือเปล่า?

ถ้าเราดีแล้ว ทุกอย่างก็จะดีเอง
ไม่ต้องโทษชะตา แต่ต้องโทษตนเอง
ที่ทำให้เป็นชะตาของเรา (กรรม คือการกระทำ)
ใจคิด หรือกิเลสในตัวเราสั่งสมอง ให้ลงมือกระทำ
นั่นคือ ชะตา ที่ฟ้าไม่ได้กำหนด
แต่เราเป็นผู้กำหนด ลิขิตชีวิตเราเอง
และเป็๋นผู้กำหนด ว่าให้ใครเดินเข้ามาในชีวิตของเราด้วย


คิดแล้วเขียน :))

วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553

พวกไม่มีสังคม

ก็งี้แหล่ะ วัน ๆ ก็มุดหัวอยู่กับงาน อยู่แต่กับบ้าน
ไม่ได้ออกไปไหนกับเพื่อน ๆ ...การที่เรามีสังคม หรือไม่มีสังคม
มันขึ้นอยู่กับว่า มีสังคมแล้ว ช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้นได้ระดับไหน?
มีสังคมแล้วมีความสุขมากกว่าที่เป็นอยู่ ได้มากเท่าไร?

อยู่ที่มุมมองของแต่ละคนว่า เราอยากให้ตัวเรา
หรือชีวิตเราเป็นอย่างไร
เราก็เอาตัวเราเข้าไปอยู่ในที่ตรงนั้น

ถ้าอยากเป็นคนเด่น คนดัง
ก็ต้องมีเพื่อนฝูงเยอะ ๆ
ได้ล้อมหน้าล้อมหลัง

แต่ถ้าอยากเป็นพวกฤษี ชีไพร
ก็มุดหัวอยู่กับบ้าน (แบบข้าพเจ้า 555)
จบ!
ช่วงนี้ต้องดูแลตัวเองหน่อย
หน้าฝน ก็งี้ อะไรนิดอะไรหน่อย
ก็เสียเงิน ...คอมยังไม่เสร็จ
อาทิตย์นี้ คงได้ฤกษ์ ควักตังค์จากกระเป๋าแน่นอน

คิดแล้วเขียน :(

วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ปากไวไปหน่อย

วันนี้อารมณ์ไม่ enjoy บางทีคำพูดของบางคน
แค่สะกิด ก็สามารถทำให้ข้าพเจ้าปี๊ดได้
แต่ด้วยความที่โดนข่าวไม่ดีมาหลายครั้ง และหลาย ๆ เรื่อง
พอดีวันนี้ถ่ายเอกสารอยู่ แล้วแผ่นเอกสารปลิว
มีเพื่อนผู้ชาย(ที่ชอบล้อเล่นกับคนอื่นไปทั่ว)

พี่เขาก็แซวข้าพเจ้าเล่นว่า "อ่อย ล่ะซิ"
กะให้เขาช่วยก้มเก็บกระดาษให้
ด้วยความที่ตนเองปากไว ...ก็เลยบอกไปว่า
ถ้าฉันคิดจะอ่อย คงไม่อ่อยแถวนี้หรอก (555)
ตะลึง ตึง ๆ ...ต่างเงียบไปตาม ๆ กัน

ก็รู้นะว่า พูดไม่ดี แต่ข้าพเจ้าไม่ชอบ
ให้ผู้ชายมาพูดกับผู้หญิงแบบนี้
คนอื่นอาจทำเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี
แต่ไม่ใช่ข้าพเจ้าแน่นอน!
ใครจะเล่นหัวกับใคร ข้าพเจ้าไม่สน
แต่อย่าเอาข้าพเจ้าไปล้อเล่นแบบนั้น

คนเราก็มีเส้นขีดเป็นของตนเอง
ไม่ใช่มรึงนึกจะทำอะไรก็ทำ แบบไหนกะกูก็ได้
นั่นคือ คนอื่น ไม่ใช่ฉัน

คิดแล้วเขียน :)V

วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ผู้หญิงแบบไหนมีโอกาสขึ้นคาน

ว่ากันว่า ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะครองตัวเป็นโสดกันมากขึ้น
ทั้งนี้ด้วยเหตุผลกลใดน่ะเหรอ? อ่ะก็รู้ๆกันอยู่นี่ว่า
เดี๋ยวนี้ฝ่ายหญิงได้รับการศึกษามากขึ้น ดังนั้นจึงสามารถนำความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาออกไปหางานทำและมีรายได้จนพึ่งพาตัวเองได้น่ะซี
เหตุนี้สาวๆสมัยใหม่จึงมีโอกาสเลือกที่จะแต่งงานมีเหย้ามีเรือนหรือตัดสินใจว่าจะอยู่เป็นโสด
ไม่จำเป็นต้องมีแฟนมากวนตัวหรือมีลูกมากวนใจไงล่ะ
ซึ่งจริงๆผู้หญิงส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ปิดตัวเอง ถึงขนาดตั้งเป้าไว้ตั้งแต่เกิดหรอกว่า ชาตินี้จะอยู่เป็นโสดถาวรแน่นอนชัวร์ป้าด
เพราะถึงยังไงผู้หญิงก็รู้น่าว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ยังต้องการการพึ่งพาอาศัยจากใครสักคนเพื่อช่วยกันเติมเต็มให้ชีวิตของทั้งคู่นั้นสมบูรณ์เพียบพร้อมมากขึ้น
ฉะนั้นถ้าเป็นไปได้ หญิงมากมายจึงอยากมีคู่รักที่พร้อมจะร่วมทุกข์ร่วมสุขไปจนวันตาย...
โอ้โหว่าเข้านั่น เอ้าแต่มันเป็นเรื่องจริง เพราะผู้หญิงดีๆไม่ค่อยมีใครรักง่ายหน่ายเร็วกันน่ะซี
ยกเว้นแต่ไปเจอผู้ชายโหลยโท้ย,ไม่เป็นสุภาพบุรุษ, ไม่ให้เกียรติอิสตรีแถมยังเป็นจอมเจ้าชู้และขี้จุ๊ โอ๊ย...ขืนเจอแบบนี้ แม้ไม่อยากเลิก แต่ถ้าเค้าทำให้ เจ็บช้ำระกำใจบ่อยๆ ก็คงอยากคอนเวิร์สไปตามทางใครทางมันบ้างละว่ะ
อ่ะฝ่ายหญิงก็มีหัวจิตหัวใจนะเฟ้ย ถ้าทนไม่ได้ก็คือทนไม่ได้...มันก็แค่นั้น!

แถมปัญหาของการครองคู่ที่ผู้หญิงได้อ่าน,ได้ยิน,ได้ฟังจากทางสื่อมวลชนรวมทั้งจากเพื่อนๆ
และญาติๆของพวกเธอ ก็เป็นอีกเหตุผลนึงที่ทำให้ผู้หญิงกล้าที่จะอยู่เป็นโสดกันด้วยแหละ
หลายคนยอมรับว่า เข็ดขยาดกับปัญหาของชาวบ้านจนกลัวว่าตัวเองจะเจอปัญหาเดียวกันนี้เข้าบ้าง
จึงพยายามตัดปัญหาไม่คบใครให้ลึกซึ้งจนถึงกับจะแต่งงานแต่งการด้วยก็มี
พวกนี้อาจถูกล้อว่าเป็นเจ้าสาวที่กลัวฝน...แต่ก็ช่างมันซี
เพราะบางทีอาจดีกว่าแต่งงานแล้วเพิ่งรู้ว่าสามีติดเหล้า,เคล้านารี,เจียดเงินไปปรนเปรออีหนู ฯลฯ ซะอีกนะ
แต่ถ้าใคร "ทำใจได้" คงไม่มีปัญหาร็อก อีกอย่างไอ้ที่กลัวๆนั่นน่ะ
บางทีคู่ของเราอาจไม่เข้าข่ายมีปัญหาครอบครัวก็ได้ เพราะการเลือกคู่ก็คล้ายกับซื้อลอตเตอรี่
อย่างที่เค้าว่าส่วนสัปดาห์นี้ไม่ได้ตั้งใจเขียนถึงปัญหาครอบครัวหรอกนะ
แต่อยากชวนคุยเรื่อง ทำไมสาวบางคน ถึงได้ขึ้นคานกันมากกว่า
ซึ่งหากผู้หญิงคนใดอยากเป็นโสดเองก็แล้วไป กระนั้นถ้าสาวคนใดไม่ได้ตั้งใจจะโสดซะหน่อย
แต่ทำยังไง้ยังไงเพศตรงข้ามก็ไม่สนใจที่จะจีบหล่อนเป็นแฟนซะทีโอ้ อย่างงี้แสดงว่า
สาวรายนั้นต้องมีบุคลิกและนิสัยใจคอบางอย่างที่ทำให้เพศตรงข้ามเมินใส่
และไม่อยากเข้าไปสุงสิงยุ่งเกี่ยวกะเธอแหงๆ อ่ะงั้นบุคลิกหรือนิสัยใจคอของผู้หญิงอย่างไหนหนอ
ที่มีส่วนชักพาให้เธอขึ้นคานได้ไม่ยาก ยกตัวอย่างก็ได้เช่น แอ่น แอ๊น...
1. เรื่องมากแถมยังเอาใจยากไอ้หยา ถ้าสาวใดเป็นคนเรื่องมากแถมหากมีใครเข้ามาใกล้ และหมายจะจีบเธอแล้วไซร้ แต่มารู้ทีหลังว่าหล่อนดั๊นเป็นคนที่เอาใจยากตัวแม่ละก็ โอ้มายก็อด...นิสัยแบบนี้ ใครทนได้ก็เชื่อเค้าเลย!แต่พูดก็พูดเหอะ เจ้าอาการเป็นคนเรื่องมากแถมยังเอาใจยากน่ะ คนทั่วๆไปเค้าก็เป็นกันนะ ไม่ใช่ไม่เป็น เอ้าคิดถึงตัวคุณเองก็แล้วกัน บางทีก็เอาใจยากใช่ไหมล่ะ ซึ่งหากเป็นกันนิดเดียวก็ไม่ถือว่าผิดปกติ แต่สำหรับในข้อนี้ ต้องเป็นหญิงที่เข้าข่ายเรื่องมากและเอาใจหล่อนยากอย่างรุนแรง ประมาณว่าถ้าใครอยากคบเธอละก็ต้องทนรอให้เธอแต่งองค์ทรงเครื่องจนคิดว่าตัวเอง สวยเลิศซะก่อน แล้วค่อยยอมไปไหนมาไหนด้วย เพราะหล่อนยึดมั่นกับคำที่ว่าผู้หญิงสวยเพราะแต่ง... นั่นไงล่ะ หล่อนถึงต้องการเวลาเอาใจใส่เสื้อผ้าหน้าผมของตัวเองมากเป็นพิเศษ ดังนั้นถ้าใครจะจีบหรือเขียนใบสมัครเป็นแฟนของเธอก็ต้องทนตรงนี้ (รอเธอ) ให้ได้นะเฟ้ย ซึ่งนี่ก็แค่แซมเปิลตัวอย่างของความเรื่องมากนะจ๊ะ ของจริงน่ะยังมีอีกเยอะ ไหนจะต้องทำตามที่เธอต้องการทุกอย่างก็ด้วย อู๊ยเป็นงี้สิ มิน่าถึงมีแววขึ้นคานเป็นงี้เอง

2.เอาแต่ใจตัวเองเป็นที่สุดหล่อนชอบสั่งนู่นสั่งนี่ให้คนที่อยู่ใกล้ต้องทำตามที่เธอบอกให้ทำเท่านั้น โหถ้าขืนเป็นแบบนี้ คงไม่มีใครอยากเข้าใกล้หรอกว่ะ เพราะถ้าเผื่อเมื่อไหร่ หล่อนเกิดรู้สึกว่า ไม่ได้ดังใจคงอาละวาดโวยวายบ้านแตกแน่นอน อย่างว่า พวกเอาแต่ใจตัวเองคงถูกโอ๋มาตั้งแต่แบเบาะ พอโตขึ้นจึงปรับตัวไม่ได้ ดังนั้นใครที่จะมาจีบเธอจึงต้องเข้าใจว่า เค้าเป็นฝ่ายต้องปรับตัวเข้าหาหล่อนเอง แล้วจะมีกี่คนที่ยอมเนอะ

3. คิดว่าตัวเองถูกเสมอถ้าสาวคนไหนคิดว่าตัวเองทำอะไรก็ถูกไปซะหมดแล้วละก็ คนรอบตัวหล่อนก็พึงสังวรไว้เหอะว่า คุณนั้นทำอะไรก็ผิดในสายตาเธอไปซะหมด ซึ่งของพรรค์นี้จะยอมกันได้ไงใช่ไหมฮ้า ขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์เหมือนกัน ย่อมต้องทำถูกมั่ง ผิดบ้างเป็นธรรมดา หากทำใจไม่ได้ว่าตัวเองผิดไม่เป็น แล้วจะอยู่ร่วมกับใครได้ละเนี่ย โถ...หยั่งเงี้ยละสิถึงไม่มีใครกล้าคว้าหล่อนมาเป็นแฟน... รู้ตัวไหม?

4. ขี้เหนียว ไม่รู้จักแบ่งปันให้ผู้อื่นบ้างเลยก็ไม่ไหวน้าสาวรายใดไม่ยอมมีส่วนช่วยออกค่าใช้จ่ายในการไปเที่ยวด้วยกันระหว่างที่กำลังคบหาดูใจกับใครสักคนซะบ้างละก็ รู้ไว้เถอะว่า ผู้ชายน่ะ เค้าเซ็งผู้หญิงขี้เหนียวแบบนี้มากจ้ะ เพราะการไปมาหาสู่ กันจะปัดให้เป็นภาระค่าใช้จ่ายของชายข้างเดียวก็แย่ นะซี ทางที่ดีควรหาร หรือผลัดกันจ่ายค่าดินเนอร์, ค่าเอนเตอร์เทน ดูหนัง, ดูคอนเสิร์ตดีกว่านะ หัดแชร์ๆกันออก เค้าจะได้อยากชวนสาวไปไหนมาไหนไม่ดีกว่าเรอะ

5. ชอบใส่อารมณ์กับผู้คนรอบข้างอย่างไร้ เหตุผลหากใครเจอผู้หญิงที่นิสัยอย่างนี้คงอึ้งกิมกี่กันเป็นแถ้ว! เพราะใครบ้างอยากจีบผู้หญิงที่ชอบอารมณ์เสียใส่คนรอบข้าง ยิ่งถ้าเผื่อเป็นคนไร้เหตุผลด้วยละก็

งั้นปล่อยให้หล่อนขึ้นคานไปซะละกัน.@@@

จาก คอลัมน์ เมอร์ลิน ไทยรัฐ
----------------------------------
เห้อ ๆ ๆ ว่าแล้วเชียว คริ คริ ^_^

คิดแล้วเขียน :))

วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ข้อคิดจากการ์ตูน The Princess and the Frog



ถ้าเข้าไม่ได้ ให้เข้าไปที่
http://www.youtube.com/watch?v=Qh8jULvCL6M&feature=player_embedded

พอดีช่วงวันหยุด
มีโอกาสเช่าวีดีโอ การ์ตูน Disney มาชม
เรื่อง The Princess and the frog มาชม
ทำให้ย้อนระลึกการ์ตูนของดิสนีย์สมัยก่อน
ที่มักจะมีเจ้าหญิงและเจ้าชาย สร้างฝันให้เด็ก ๆ

แต่ครั้งนี้ เมื่อข้าพเจ้าได้ชมการ์ตูนเรื่องนี้
ทำให้รู้สึกว่า Disney มีการพัฒนาการ์ตูนโดยแทรกข้อคิดที่ดี ๆ
ให้กับเด็ก ๆ คือ ไม่ใช่ขอพรกับดวงดาวอย่างเดียว แต่สอนเด็กให้ลงมือทำด้วย

เหมือนนางเอกในการ์ตูนเรื่องนี้ ฝันว่าอยากเป็นเจ้าของกิจการร้านอาหาร
สืบเนื่องมากจากตนเองมีพรสวรรค์ในเรื่องทำอาหาร ได้แรงบันดาลใจจากผู้เป็นบิดา
โดยสอนลูกให้อดออม และประหยัดในการทำงานหาเงินโดยอาชีพสุจริต
เพื่อสร้างความฝันให้เป็นความจริง (ทำงานและเก็บเงินเพื่อซื้อทำเลสร้างร้าน)
ซึ่งผิดกับพระเอก ที่เป็นเจ้าชายถังแตก ใช้ชีวิตเสเพลไปวัน ๆ
คิดจะจับผู้หญิงรวย ๆ แต่งงาน เพื่อยกฐานะของตนให้ดีขึ้น
มันได้ข้อคิดดีจริง ๆ
ไม่เหมือนหนังไทยน้ำเน่าให้ผู้หญิงแย่งจับผู้ชายกัน

ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่า Disney ทำการ์ตูนเรื่องนี้ออกมา
คงจะถูกใจหลาย ๆ คน โดยเฉพาะคนผิวสี
ที่ต้องต่อสู้กับชีวิต จากแรงกดดันรอบข้าง
ข้าพเจ้ายังคิดเลยว่าบริษัท Disney
ทำการ์ตูนเรื่องนี้เอาใจคนผิวสี ในประเทศอเมริกา
ที่เป็นคนที่เคยถูกเหยียดสีผิวมาก่อน
ยิ่งตอนนี้ ประธานาธิบดีคนปัจจุบันเป็นคนผิวสี
ก็เลยให้นางเอกพระเอก มีผิวสี เป็นตัวเด่น
ซึ่งข้อดี ของนางเอกผิวสี คือ ขยัน และอดทน
ไม่หมกหมุ่น ที่จะหาผู้ชายมาเป็นคู่
สมกับเป็นตัวอย่างดี ๆ ให้เด็ก ๆ
และวัยรุ่นทุกคน

ได้ชมการ์ตูนเรื่องนี้ บอกตรง ๆ ว่าชอบมาก
ไม่ใช่การ์ตูนที่ชวนให้เด็กฝันเฟื่องอีกต่อไป
แต่เน้นสอนให้เด็กมีความฝัน และลงมือทำด้วย
ข้าพเจ้าชอบเพลงนึงในนี้ เลยนำมาลง blog

---------------------------------
เนื้อเพลง

Ma Belle Evangeline Lyrics

Look how she lights up the sky,
Ma Belle Evangeline.
So far above me yet I,
Know her heart belongs to only me.
J'et adore, J'et aime Evangeline,
You're my queen of the night,
So still,
So bright.
That someone as beautiful as she,
Could love someone like me.
Love always finds a way it's true!
And I love you, Evangeline.

Love is beautiful,
Love is wonderful!
Love is everything, do you agree?
Mais' oui!
http://www.elyricsworld.com/ma_belle_evangeline_lyrics_jim_cummings.html
Look how she lights up the sky,
I love you, Evangeline.
------------------------

คิดแล้วเขียน :))

วันพุธที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เพราะมักง่าย ชีวิตจึงวุ่นวาย

ไม่รู้จะโทษอะไรดี? กับชีวิตที่ผ่านมา
ก็คิดถึงปมปัญหาที่เกิดขึ้นกับตนเอง
พยายามนึกนะ ว่าเราเองไปเหยียบตาปลาใครหรือเปล่า?
อะไรหรือ? ที่เขา หรือหลาย ๆ คน พยายามทำกับเราแบบนั้น?

ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี เราเป็นคนธรรมดา เฉย ๆ เรื่อย ๆ
แต่ทำไมชอบมีคนมาวุ่นวายกับเราจัง
(ส่วนมากจะเรื่องไม่ค่อยดี)

เราชอบที่จะมีชีวิตอยู่แบบสงบ ร่มเย็น
ไม่ใช่อยู่รายล้อมพวกแย่งชิง แข่งดี แข่งเด่นกัน
อยากมีชื่อเสียง ไปที่ไหนคนก็แห่ล้อมรอบ

เราไม่ใช่คนแบบนั้น จึงพยายามเฟตตัวเองออกมา
จากสังคมเหล่านั้น เพราะรู้ว่า ตนเองมีนิสัยไม่ค่อยชอบวุ่นวายกับใคร
และก็ไม่ชอบให้ใครมาก้าวก่ายเรื่องของเราด้วย

การที่เรามีนิสัยดี จิตใจโอบอ้อมอารี กับคนรอบข้าง
เป็นสิ่งไม่ดีหรือ แต่เหมือนว่า
สิ่งที่เราทำไป มันไม่มีอะไรงอกออกมาให้เห็นเลย
เหมือนคนที่พยายามตักน้ำใส่ถังที่รั่ว
คือ ใส่น้ำลงไปเท่าไร ก็ไม่มีใครเห็นว่าเราตัก
ดีไม่ดี เหมือนมีคนโยนขี้มาใส่ถังนั้นอีกด้วย
ถังน้ำที่มีอยู่ไม่เคยเต็มให้ชื่นใจสักที
ดูแล้วเหมือนเป็นคนโง่นะ

แต่เราก็ทำ เพื่ออยากอยู่อย่างสงบ อยากอยู่ในสังคมได้
แต่....ถ้าอะไรที่มันมากเกินพอดี เราคงรับหน้าที่นั้นไม่ไหว
นิสัยเราอาจจะเหมือนผู้ชาย ที่ไม่ใช่ผู้หญิงนั่งเอาใจคนนั้นที คนนี้ที
เพราะแค่จะเอาตัวเองให้รอดจากปากเหยี่ยวปากกา นี่ก็หนักหนา
สำหรับผู้หญิงธรรมดา ๆ คนนึง
แบบนี้กระมัง ที่ตนเองเหมาะจะอยู่ด้วยตัวคนเดียว
ไม่เหมาะที่จะดูแลใครได้

กลับมาถามตนเองว่า ทำไมคนเราถึงได้อยากเด่น อยากดังกันจัง?
การที่เป็นคนรู้จักของคนอื่นไปทั่ว มันดีอย่างไร?
ลบปมด้อยในอดีตของตนเองกระนั้นหรือ?

การที่คน คนนั้นจะภาคภูมิใจตนเองได้
ต่อเมื่อมีคนมายกยอปอปั้น
ยอมรับเรา หรือให้คนอื่นบอกเขากระนั้นหรือ?

แปลก?! อยากรู้จริง ๆ นะว่า
การเป็นคนเด่น และดัง มันดีอย่างไร?
ทำไมเห็นหลาย ๆ คนชอบเป็นกันจัง


คิดแล้วเขียน :))
Version : คนหลังเขา
(ที่ไม่ชอบให้มีคนมาสวมเขาบนหลัง 555 )

วันอังคารที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2553

การยึดติด : พระไพศาล วิสาโล

พระไพศาล วิสาโล


สุด .. ได้เลขท้าย ๓ ตัวมาจากหลวงพ่อ เลยแทงไป ๑๕ บาท ปรากฏว่าถูกเผง ได้มา ๖๐๐ บาท เขาดีใจมาก เที่ยวอวดใครต่อใครในหมู่บ้านว่าถูกหวย แต่พอรู้ว่า คอนซึ่งเป็นเพื่อนบ้าน ก็แทงหวย ๓ ตัวถูกเหมือนกัน แต่ได้เงินมากกว่าคือ , ๐๐๐ บาท เพราะแทงมากกว่า สุดเลยยิ้มไม่ออก หงอยไปทั้งวัน แถมยังโมโหตัวเองที่แทงน้อยไป

ใจ .. ไปเที่ยวไนท์บาซ่า เห็นผ้าพื้นเมืองลายงาม ราคา ๕๐๐ บาท แต่เธอต่อได้ ๓๕๐ บาทจึงคว้าผ้าผืนนั้นกลับโรงแรมด้วยความดีใจ แต่พอรู้ว่าไก่เพื่อนร่วมห้องก็ซื้อผ้าแบบเดียวกันมา แต่ได้ราคาถูกกว่า คือ ๓๐๐ บาท ใจก็หุบยิ้มทันที ไม่รู้สึกโปรดปรานผ้าของตนอีกต่อไป

แม้เราจะมี " โชค " หรื อได้ของดีที่ถูกใจ
แต่หากไปเปรียบเทียบกับของคนอื่นเมื่อใด
สุขก็อาจกลายเป็นทุกข์ทันที หากรู้ว่าคนอื่นได้มากกว่า ได้ของดีกว่า
หรือได้ของที่ถูกกว่า ส่วนของดีที่เราได้มากลับด้อยคุณค่าไปถนัดใจ

บางครั้งอาจทำให้เราทุกข์กว่าตอนที่ยังไม่ได้ของนั้นมาด้วยซ้ำ
ที่จริงไม่ต้องไปเทียบกับของคนอื่นก็ได้
เพียงแค่เห็นของรุ่นใหม่วางขายหรือโฆษณาตามสื่อต่างๆ
ก็เกิดความไม่พอใจในของเดิมที่มีอยู่ทันที
ทั้งๆ ที่มันก็ยังใช้ได้ดี ไม่มีปัญหาอะไรรบกวนใจ
ยกเว้นข้อเดียวคือ มันสู้ของใหม่ที่วางขายไม่ได้
ทั้งๆ ที่มีของดีอยู่กับตัว แต่คนเราแทนที่จะพอใจกลับรู้สึกเป็นทุกข์
เพียงเพราะใจไปจดจ่ออยู่กับสิ่งดีกว่า (หรือมากกว่า) ที่ตัวเองยังไม่มี

แต่เมื่อใดก็ตามที่ของชิ้นนั้นเกิดมีอันเป็นไป
เช่นทำตกหล่นหรือถูกขโมยไป เราก็จะกลับมาเห็นคุณค่าของมัน
และนึกเสียใจที่เสียมันไป จะกินจะนอนก็ยังนึกถึงมันด้วยความเสียดาย
ทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นใน กรณีที่เป็นสิ่งของเท่านั้น
แต่ยังเกิดกับกรณีที่เป็นคนด้วย เช่น คนรัก หรือแม้แต่พ่อแม่และลูก

ผู้คนจำนวนมากไม่เห็นคุณค่าหรือมีความสุขกับคนใกล้ชิด
เพราะไปนึกเปรียบเทียบคนอื่นว่าเขามีพ่อแม่ คนรัก หรือลูกที่ดีกว่าเรา
แต่วันใดที่เราเสียเขาไป เราถึงจะกลับมาเห็นคุณค่าของเขา
และเศร้าโศกเสียใจจนถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับเลยทีเดียว
เฝ้าหวนคำนึงถึงวันคืนเก่าๆ ที่เขาเคยอยู่กับเรา

คนเรามักทุกข์เพราะจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ยังไม่มี หรืออาลัยในสิ่งที่สูญเสียไป
พูดให้ครอบคลุมกว่านั้นก็คือ
ทุกข์เพราะใจยังติดยึดอยู่กับอนาคตและอดีต
อนาคตและอดีตที่ว่ามิได้หมายถึง
สิ่งดีๆ ที่ยังไม่มีหรือที่เสียไปเท่านั้น
แต่ยังรวมถึงสิ่งไม่พึงปรารถนาที่ (คาดว่า) รออยู่ข้างหน้า
เช่นอุปสรรค และสิ่งไม่พึงปรารถนาที่พานพบ คำต่อว่า หรือการกระทำที่น่ารังเกียจ

คำตำหนิติเตียนไม่ว่าจะร ุนแรงแค่ไหน แต่ก็ทำอะไรเราไม่ได้
หากเราไม่เก็บเอาคิดซ้ำคิดซาก คำพูดเหล่านั้นผ่านพ้นไปนานแล้ว
แต่ที่ยังบาดใจเราอยู่ก็เพราะเราไม่ยอมปล่อยวางมันต่างหาก
ยิ่งคิดคำนึงถึงมันมากเท่าไรก็ยิ่งซ้ำเติมตัวเองมากเท่านั ้น

การเอาเปรียบ กลั่นแกล้ง ทรยศ หักหลัง ก็เช่นกัน
แม้เป็นอดีตไปนานแล้ว แต่เราก็ยังทุกข์อยู่กับเหตุการณ์ดังกล่าว
ไม่ใช่เพราะเขายังทำเช่นนั้นกับเราอยู่
แต่เป็นเพราะเราชอบย้อนภาพอดีต
กลับมาฉายซ้ำในใจอย่างไม่ยอมเลิกรา
ย้อนแต่ละทีก็เหมือนกับกรีดแผลลงไปที่ใจ
หยุดย้อนอดีตเมื่อใดใจก็หายเจ็บเมื่อนั้น

อดีตเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ส่วนอนาคตยังมาไม่ถึง
แต่จะมาถึงหรือไม่ ไม่มีใครรู้ได้!
แต่บ่อยครั้งเรากลับยึดมั่นสำคัญหมายอย่างเป็นจริงเป็นจัง
ว่ามันจะต้องเกิด ขึ้นแน่ เท่านั้นยังไม่พอถ้าเป็นเรื่องแง่ลบด้วยแล้ว
เรามักจะวาดภาพไปในทางเลวร้าย
แล้ว ก็ยึดมันเอาไว้ไม่ให้คลาดไปจากใจ ทั้งๆ ที่ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์

ชายผู้หนึ่งเดินขึ้นตึกไปหาหมอ เพื่อฟังผลตรวจโรค
พอหมอบอกว่า พบก้อนมะเร็งระยะที่สองในปอดของเขา
เขาก็ถึงกับทรุด เข่าอ่อนเดินไม่ได้ กลับถึงบ้านก็กินไม่ได้
นอนไม่หลับ ซึมไปเป็นเดือน

ส่วนหญิงผู้หนึ่ง ป่วยกระเสาะกระแสอยู่นานหลายสัปดาห์
แล้ววันหนึ่งหมอก็บอกว่า เธอเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายที่ตับ
จะอยู่ได้ไม่เกิน ๓ เดือน ปรากฏว่าผ่านไปแค่ ๑๒ วัน เธอก็สิ้นใจ
ทั้งสองกรณีไม่ได้ทรุดฮวบเพราะโรคมะเร็งเล่นงาน
แต่เป็นเ พราะใจเสีย ทันทีที่ได้ยินข่าวร้าย
ใจก็นึกภาพอนาคตของตัวเองไปในทางเลวร้าย
ยิ่งผู้ป่วยรายที่สองด้วยแล้ว
เธอนึกไปถึงวันตายของตัวเองเลยทีเดียว
แถมยังปรุงแต่งไปในทางที่มืดมน
เท่านั้นไม่พอเธอยังหมกมุ่นกับภาพดังกล่าวไม่หยุดหย่อน
ทั้งๆ ที่มันยังไม่เกิดขึ้น ผลก็คือถูกความทุกข์ท่วมทับจนมิอาจทานทนต่อไปได้

บ่อยครั้งเราเป็นทุกข์เพราะเรื่องที่ยังมาไม่ถึง
เช่น การสอบไม่ติดหรือตกงาน
โดยตัวมันเองไม่ก่อปัญหาแก่เรา มากเท่ากับใจที่ปรุงแต่งไปล่วงหน้า
ว่านับแต่นี้ไปชีวิตจะลำบากยากแค้นเพียงใด แล้วจะอยู่ดูโลกนี้ต่อไปได้อย่างไร
แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็อาจพบว่าที่แท้เราตีตนก่อนไข้ไปเอง
เพราะปัญหาต่างๆ ที่ตามมาไม่ได้หนักหนาสาหัสอย่างที่คิด
สามารถแก้ไขให้ลุล่วงไปได้ในที่สุด

อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้ปรุงแต่งเหตุการณ ์ที่ยังมาไม่ถึงเท่านั้น
กับสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า บางครั้งเราก็ปรุงแต่งให้เลวร้ายเกินจริง
เช่น อยู่รีสอร์ตคนเดียวกลางดึก ได้ยินเสียงผิดปกติ
ก็ปรุงแต่งไปทันทีว่าถูกผีหลอก หรือไม่ก็มีคนจะมาทำร้าย
เห็นคู่รักกำลังคุยอย่างสนิทสนมกับชายหนุ่มในร้านอาหาร
ก็คิดไปทันทีว่า เธอกำลังนอกใจ

การคิดปรุงแต่งที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงนั้น
เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ แต่เมื่อใดที่เราหลงยึดว่ามันเป็นเรื่องจริง
เราก็กำลังก่อทุกข์ให้กับตัวเอง
แถมยังสามารถสร้างปัญหาให้แก่คนอื่นได้ด้วย

วัยรุ่นนั่งกินอาหารอยู่หน้าร้าน เผอิญขี้นกหล่นใส่หัว
แต่เขากลับคิดว่าเจ้าของร้านถ่มน้ำลายใส่หัว
จึงทะเลาะกับเจ้าของร้านอย่างรุนแ รง
สักพักก็ออกจากร้านแล้วกลับมาพร้อมกับพวกอีกหลายคน
ควักปืนออกมายิงกราด
ถูกภรรยาเจ้าของร้านซึ่งกำลังท้อง ๕ เดือนตายคาที่
กลายเป็นฆาตกรที่ถูกตำรวจหมายหัวทันที

การยึดติดสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นเอง
เป็นที่มาอีกประการหนึ่งของความทุกข์
ทีแรกเราเป็นฝ่ายปรุงแต่งมันขึ้นมา
แต่เผลอเมื่อใดมันก็กลับมาเป็นนายเรา
สามารถผลักใจของเราไปสู่ความทุกข์
และชักนำชีวิตของเราไปในทางเสื่อมได้ง่ายๆ

กี่ครั้งกี่หนที่เราทำร้ายตัวเองและทำร้ายซึ่งกันและกัน
เพียงเพราะหลงเชื่อ ความคิดที่เราปรุงแต่งขึ้นมา
พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่า ส ิ่งที่ไม่ได้ปรุงแต่งขึ้นมาเอง
แต่เป็นความจริงแท้ๆ จะไม่ก่อปัญหา

ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่สร้างความทุกข์แก่เรา
เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ อยู่ในขณะนี้
เช่น รถเสีย เงินไม่พอใช้ ทะเลาะกับคนรัก ลูกคบเพื่อนไม่ดี งานไม่ก้าวหน้า
แต่ถ้าเรามัวแต่นึกถึงเรื่องเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา
ไม่ว่าจะทำอะไร ก็กวาดเอาปัญหาต่างๆ มาครุ่นคิดด้วย
ทั้งๆ ที่ไม่เกี่ยวกันเลย เช่น กำลังทำงานอยู่
ก็ไปกังวลถึงรถ ถึงลูก ถึงพ่อแม่ แล้วยังห่วงคู่รักอีก
อย่างนี้แล้วจะไม่ทุกข์ได้อย่างไร

ปัญหาเป็นเรื่องที่ต้องแก้ ไม่ได้มีไว้ให้กลุ้ม !
แต่เมื่อใดที่เรากวาดเอาปัญหาต่างๆ มาทับถมจิตใจ
ทั้งๆ ท ี่ยังไม่ถึงเวลา (หรือไม่ใช่เวลา) ที่จะแก้ไข
ก็เตรียมตัวกลุ้มได้เลย นี้เป็นการยึดติดอีกแบบหนึ่ง

อันที่จริงแม้มีปัญหาแค่เรื่องเดียว
แต่ถ้าหมกมุ่นอยู่กับมันตลอดเวลา ก็ทำให้คลั่งได้
ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องเล็กแต่ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ง่ายๆ
เช่น หมกมุ่นกับสิวไม่กี่เม็ดบนใบหน้าวันแล้ววันเล่า
ก็อาจทำให้เจ็บป่วยหรือถึงกับทำร้ายตัวเองได้

การยึดเอาปัญหาต่างๆ มาทับถมใจ
บางครั้งก็ไปไกลถึงขนาดไปกวาดเอาปัญหาของคนอื่น
มาเป็นของเราเสียเอง เช่น เพื่อนมาปรึกษาปัญหาชีวิต
ก็เลยเอาปัญหาของเขามาเป็นของตนด้วย
จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ

เท่านั้นยังไม่พอบางคนถึงกับแบกปัญหาของประเทศมาไว้กับตัว
เลยเป็นเดือน! เป็นแค้นกับสถานการณ์บ้านเมือง
ทะเลาะกับใครไปทั่วที่คิดต่างจากตน
สุดท้ายก็เลยกลายเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาบ้านเมืองไป

การยึดติดที่ลึกไป กว่านั้นคือ การยึดติดในตัวตน
สาเหตุที่เราทะเลาะกับคนที่คิดไม่เหมือนเรา
ก็เพราะเรายึดติดในความคิดของเรา

ความสำคัญมั่นหมายว่านี้เป็น " ความคิดของฉัน "
สะท้อนถึงความยึดติดในตัวตน
หรือที่ท่านพุทธทาสเรียกว่า ยึดติดใน " ตัวกู ของกู "

น อกจากความคิดแล้ว เรายังยึดติดสิ่งต่างๆ อีกมากมายว่า
เป็นตัวฉันของฉัน อาทิ สิ่งของ บุคคล ชุมชน ประเทศ ศาสนา
มีอะไรมากระทบกับสิ่งนั้น ก็เท่ากับว่ากระทบ " ตัวฉัน "
ด่าว่ารถของฉัน ก็เท่ากับด่าฉันด้วย
วิจารณ์ศาสนาของฉันก็เท่ากับวิจารณ์ฉันด้วย

เป็นเพราะเหตุนี้ เมื่อสิ่งของสูญหาย คนรักจากไป
เราจึงอดหวนนึกถึงไม่ได้ เพราะใจยังยึดว่าเป็นของฉันอยู่
จึงยังมีเยื่อ! ใยที่ดึงให้ใจย้อนระลึกถึงอยู่เสมอ
เวลาให้ของแก่ใครไป ความยึดติดในของชิ้นนั้นก็ยังมีอยู่
จึงเฝ้าดูว่าเขาจะใช้ของชิ้นนั้นหรือไม่
ถ้าไม่ใช้ก็รู้สึกเป็นทุกข์ที่เขาไม่ได้ใช้ของ " ของฉัน "
ญาติโยมหลายคนจึงไม่ สบายใจที่พระไม่ได้ฉันอาหารที่ตนถวาย

ยึดติดในตัว ตนอีกอย่างคือการยึดมั่นสำคัญหมายว่า
ฉันเก่ง ฉันหล่อ ฉันเป็นส.ส. ฯลฯ ไปไหนก็อดตัวพองไม่ได้
อยากแสดงบารมีให้ใครรู้ว่า " นี่กูนะ "
อยู่ที่ใดก็ต้องการให้คนชื่นชม สรรเสริญ เคารพ นบไหว้
แต่ถ้าไม่ได้รับการปฏิบัติดังกล่าว ก็จะโมโหขุ่นเคือง
จนอาจคำรามว่า " รู้ไหมว่ากูเป็นใคร ?"
ยิ่งเจอคำวิจารณ์ด้วยแล้ว ยิ่งทนไม่ได้เข้าไปใหญ่

การยึดติดใน " ตัวกู ของกู หรือนี่กู! นะ " เป็นรากเหง้าแห่งความทุกข์ นานัปการ
นำไปสู่การกระทบกระทั่งขัดแย้งและทำร้ายกัน
ขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดความเครียดบีบคั้นภายใน
เมื่อประสบกับสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา
ใช่แต่เท่านั้น แม้ได้สิ่งที่พึงปรารถนา
ก็ยังทุกข์เพราะได้ไม่สมใจ หรือทุกข์ที่คนอื่นได้มากกว่า

ที่น่าแปลกก็คือเราไม่ได้ยึดเอาแค่สิ่งดีๆ ที่ถูกใจ
ว่าเป็นตัวกูของกูเท่านั้น สิ่งที่ไม่ดี ไม่ถูกใจ
เราก็ยังยึดเป็นตัวกูของกูอีกเช่นกัน
เช่น ความเจ็บปวด เมื่อเกิดกับกาย
แทนที่จะเห็นว่า กายปวดเท่านั้น กลับไปยึดเอาว่า " ฉันปวด "
ความปวดเป็นของฉัน

เมื่อความโกรธเกิดขึ้นกับใจ
ก็ยึดมั่นสำคัญหมายว่า " ฉันโกรธ " ความโกรธเป็นของฉัน< /span>
ความยึดมั่นดังกล่าวรุนแรงชนิดที่ใจไม่ยอมไปไหน
มัวจดจ่อวนเวียนอยู่กับความปวดหรือความโกรธนั้นๆ อย่างเดียว
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะความเผลอของใจ
รู้ทั้งรู้ว่ายึดแล้วทุกข์แต่ก็ยังยึดเพราะขาดสติ
ถ้าใจมีสติ ก็จะไม่เผลอยึดต่อไป

ความปวดความโกรธยังมีอยู่ก็จริง แต่คราวนี้มันทำอะไรจิตใจไม่ได้
เพราะใจไม่โดดเข้าไปให้ความปวดความโกรธเผาลน
เหมือนกองไฟที่ยังลุกไหม้อยู่
แต่ตราบใดที่เราไม่โดดเข้าไปในกองไฟ
หากถอยออกมาห่างๆ เป็นแค่ผู้สังเกตเฉยๆ ไฟก็ทำอะไรเราไม่ได้

สติช่วยให้ใจแยกออกมาอยู่ห่างๆ
จากความเจ็บปวดแ! ละอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น
กลายเป็น " ผู้ดู " มิใช่ " ผู้ปวด " หรือ " ผู้โกรธ "
จากความยึดติดกลายเป็นการปล่อยวาง

การปล่อยวางดังกล่าว
คือ หัวใจของการเป็นอิสระจากความทุกข์ทั้งหลาย
เพราะกล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว
ความทุกข์ทั้งมวลเกิดจากความยึดติด
ยึดติดอดีตกับอนาคต ยึดติดสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นเอง
ยึดติดปัญหาต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
รวมทั้งยึดเอาปัญหาต่างๆ มาเป็นของตน
ที่สำคัญคือ ก ารยึดติดในตัวตน
เมื่อใดที่ปล่อยวางจากความยึดติดดังกล่าวได้
ความทุกข์ก็ไม่อาจทำอะไรเราได้อีกต่อไป

สติช่วยให้เรารู้ตัวเมื่อเผลอไปอาลัยอาวรณ์ในอดีต หรือวิตกกังวลกับอนาคต
พาจิตกลับมาอยู่กับปัจจุบันเมื่อรู้ตัวว่า
เผลอไปจมอยู่กับเหตุร้ายที่ผ่านไปแล้ว
คอยทักท้วงใจไม่ให้หลงเชื่อความคิดปรุงแต่ง
เพราะตระหนักว่า ความจริงอาจไ! ม่เป็นอย่างที่คิด
ในยามที่เผลอกวาดเอาปัญหาต่างๆ มาทับถมใจจนหนักอึ้ง

สติช่วยให้เราแก้ปัญหาเป็นเปลาะๆ เป็นเรื่องๆ
ไม่เอาปัญหาใดมาครุ่นคิดหากยังไม่ถึงเวลา (หรือไม่ใช่เวลา) ที่จะแก้
เวลาพักผ่อน ก็พักผ่อนเต็มที่
เมื่อถึงเวลาแก้ปัญหา ก็ใช้ปัญญ าอย่างเต็มที่
ไม่มามัวตีโพยตีพาย หรือน้อยเนื้อต่ำใจว่า "ทำไมถึงต้องเป็นฉัน ?"

ความทุกข์นั้นไม่ได้อยู่ที่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเรา
แต่อยู่ที่ว่าเรามีท่าทีหรือรู้สึกอย่างไรกับมันต่างหาก

แม้ปัญหาจะหนัก แต่ถ้าเริ่มต้นจากการยอมรับมันว่า
เป็นความจริงที่เกิดขึ้นแล้ว
ไม่ปฏิเสธผลักไสมันหรือก่นด่าชะตากรรม
ตั้งสติให้ได้แล้วหาทางแก้ไขมัน
แต่ขณะที่มันยังไม่หายไปไหน ก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน

ไม่หวนนึกถึงอดีตอันผาสุก หรือปรุงแต่งอนาคตไปในทางเลวร้าย
ขณะเดียวกันก็ไม่หมกมุ่นอยู่กับปัญหา
หากปล่อยวางมันบ้าง ความสุขก็หาได้ไม่ยาก

นายทหารผู้หนึ่งไปเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชเจ้า
กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ในฐานที่ทรงเคยเป็นอุปัชฌาย์ของตนมาก่อน
พอ! ไปถึงประโยคแรกที่กราบทูลก็คือ " หนักครับ ช่วงนี้แย่มากเลยครับ "
ว่าแล้วเขาก็ทูลเล่าปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้าเข้ามาในชีวิต

สมเด็จพระสังฆราชเจ้าทรงฟังอยู่นาน
แทนที่จะตรัสแนะนำหรือปลอบใจ
พระองค์กลับรับสั่งให้เขานั่งคุกเข่า ยื่นมือสองข้าง
แล้วพระองค์ก็เอากระดาษแผ่นหนึ่งวางบนฝ่ามือของเขา
"
นั่งอยู่นี่แหละ อย่าไปไหนจนกว่าข้าจะกลับมา "

รับสั่งเสร็จพระองค์ก็เสด็จเข้าไปในตำหนัก
นายทหารนั่งในท่านั้นอยู่นาน จาก ๑๐ นาทีเป็น ๒๐ นาที
สมเด็จพระสังฆราชก็ยังไม่เสด็จออกมา
เขาเริ่มเหนื่อย มือและขาเริ่มสั่น กระดาษชิ้นเล็กๆ หนักขึ้นเรื่อยๆ
จนประคองแทบไม่ไหว พอสมเด็จพระสังฆราชเจ้าเสด็จกลับมา
ก็ทรงถามว่า " เป็นไง ?"

คำตอบของเขาคือ " หนักครับ พระเดชพระคุณ เมื่อยจนจะทนไม่ไหว "
"
อ้าว ทำไมไม่วางมันลงเสียละ ?"
สมเด็จรับสั่ง " ก็ไปยอมให้มันอยู่อย่างนั้น มันก็หนักอยู่ยังงั้นนะซี
มันจะเป็นอื่นไปได้ยังไง "

กระดาษที่เบาหวิว แต่หากถือไว้นานๆ
ไม่ยอมปล่อย ก็กลายเป็นของหนักไปได้
แต่ปัญหาถึงจะใหญ่โตเพียงใด
ถ้าไม่ยึดถือเอาไว้ ก็ไม่ทำให้เรา! ทุกข์ไ ด้

ใช่หรือไม่ว่าหินก้อนใหญ่จะกลายเปนของหนัก
และสร้างทุกข์ให้แก่เราก็ต่อ เมื่อเราแบกมันเอาไว้เท่านั้น
เมื่อมีสติรักษาใจ รู้เท่าทันความคิด ไม่เผลอยึดติดจนจิตหนักอึ้ง
แม้งานจะยาก อุปสรรคจะเยอะ ก็ยังเป็นสุขอยู่ได้

คัดลอกจาก...ยึดติด [สารคดี กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑]
โดย พระไพศาล วิสาโล

ที่มา FWmail

คิดแล้วเขียน :)V