วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2552

บทความธรรมะ

จริง ๆ แล้วอยากเขียนอีก blog นึงคือที่ web ASTV
แต่เบื่อ ๆ เลยแวะมาเขียนส่วนตัวหน่อยใน blog นี้ดีกว่า
คนน้อยดี ^__^
ขี้เกียจนั่งตอบ comment
อยากเขียนอะไรก็เขียน
เขียนเอาไว้ให้คนที่หาข้อมูล search มาเจอ web นี้เอง อิอิ :))
เก็บมาแปะ ^_^

พระโอวาทของท่านอรหันต์จี้กง

อ่านแล้วเก็บรักษา บุญรักษาเนืองนอง
รู้แล้วบอกทั่วกัน บุญกุศลเรืองรอง

  1. ชีวิตย่อมเป็นไปตามลิขิต (ละชั่วทำดี) วอนขออะไร
  2. วันนี้ไม่รู้เหตุการณ์ในวันพรุ่งนี้ กลุ้มเรื่องอะไร
  3. ไม่เคารพพ่อแม่แต่เคารพพระพุทธองค์ เคารพทำไม
  4. พี่น้องคือผู้ที่เกิดตามกันมา ทะเลาะกันทำไม
  5. ลูกหลานทุกคนล้วนมีบุญตามลิขิต ห่วงใยทำไม
  6. ชีวิตย่อมมีโอกาสประสบความสำเร็จ ร้อนใจทำไม
  7. ชีวิตใช่จะพบเห็นรอยยิ้มกันได้ง่าย ทุกข์ใจทำไม
  8. ผ้าขาดปะแล้วกันหนาวได้ อวดโก้ทำไม
  9. อาหารผ่านลิ้นแล้วกลายเป็นอะไร อร่อยไปใย
  10. ตายแล้วบาทเดียวก็เอาไปไม่ได้ ขี้เหนียวทำไม
  11. ที่ดินคือสิ่งที่สืบทอดแก่คนรุ่นหลัง โกงกันทำไม
  12. โอกาสจะได้กลายเป็นเสีย โลภมากทำไม
  13. สิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่เหนือศีรษะเพียง 3 ฟุต ข่มเหงกันทำไม
  14. ลาภยศเหมือนดอกไม้ที่บานอยู่ไม่นาน หยิ่งผยองทำไม
  15. ทุกคนย่อมมีลาภยศตามวาสนาที่ลิขิต อิจฉากันทำไม
  16. ชีวิตลำเค็ญเพราะชาติก่อนไม่บำเพ็ญ แค้นใจทำไม (บำเพ็ญไวไว)
  17. นักเล่นการพนันล้วนตกต่ำ เล่นการพนันทำไม
  18. ครองเรือนด้วยความประหยัดดีกว่าไปขอพึ่งผู้อื่น สุรุ่ยสุร่ายทำไม
  19. จองเวรจองกรรมเมื่อไรจะจบสิ้น อาฆาตทำไม
  20. ชีวิตเหมือนเกมหมากรุก คิดลึกทำไม
  21. ฉลาดมากเกินจึงเสียรู้ รู้มากทำไม
  22. พูดเท็จทอนบุญจนบุญหมด โกหกทำไม
  23. ดีชั่วย่อมรู้กันทั่วไปในที่สุด โต้เถียงกันทำไม
  24. ใครจะป้องกันมิให้มีเรื่องเกิดขึ้นได้ตลอด หัวเราะเยาะกันทำไม
  25. ฮวงซุ้ยที่ดีอยู่ในจิตไม่ใช่อยู่ที่ภูเขา แสวงหาทำไม
  26. ข่มเหงผู้อื่นคือทุกข์ รู้ให้อภัยคือบุญ ถามโหรเรื่องอะไร
  27. ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม
วันนี้อากาศร้อน ๆ และเปิด web ร้อน ๆ ด้วย
เลยต้องหาพระธรรมมาข่มกิเลส ดับร้อนสักหน่อย
เดี๋ยวจิตจะกระเจิงก่อนอายุ 40 อิอิ :P

จริง ๆ แล้วเป็นคนชอบอยากรู้ อยากเห็นเกือบทุกเรื่องนั่นแหล่ะ
เพียงแต่ว่า สิ่งที่อยากรู้อยากเห็นของตนเอง
ไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้ใคร มันก็ดีไปอย่าง
รู้เรื่องต่าง ๆ ไว้จะได้ไม่ถูกต่อว่า Idiot หรือ อินโนเซ้นต์กว่าอายุจริงมากนัก
(ชอบถูกหาว่าเป็นเด็กเรื่อยเลย เด็กโข่ง 555 ^_^)


จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย

พระพุทธองค์ทรงสอนสัตวโลกไว้ว่า สัพเพสังขาราอนิจจา สัพเพสังขาราทุกขา สัพเพธัมมาอนัตตาติ ฯ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับทุกชีวิตนั้นเป็นเรื่องธรรมดาของธรรม มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย มีรัก มีชอบ มีสุข มีทุกข์ สลับคลุกเคล้าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน การดำเนินชีวิตไปบนทางแห่งความดีจึงต้องมีความเข้าใจธรรมะและมีความหนักแน่นมั่นคงซื่อตรงต่อปณิธานเป้าหมาย

ในการประกอบอาชีพหรือทำงาน ต่างๆ มักจะได้ยินกันเสมอว่า มีการขัดแข้งขัดขา มีการสกัดดาวรุ่ง มีการทรยศหักหลัง มีการกำจัดหอกข้างแคร่ มีการลอบทำร้ายกันลับหลัง มีความเปลี่ยนแปลงจากมิตรเป็นศัตรู เหล่านี้ล้วนเป็นสถานการณ์ธรรมดาของวิสัยปุถุชน ที่มีรักมีชังสุมแน่นอยู่ในใจ วันนี้ดี พรุ่งนี้ด่า วันต่อไปนินทา วันที่หายหน้าก็คิดถึงกัน

จึงเป็นเรื่องที่ไม่มีใครฝืนได้ หากไม่หัดฝืนกิเลสที่อยู่ภายในตนเสียก่อน บางคนที่มากด้วยความยึดถือในตัวตนหรือมีอัตตามีความลำพองมาก มักจะแสดงกิริยาอาการดูถูกคนอื่น อวดตนว่าอยู่เหนือผู้อื่นเสมอ และหากเกิดความขัดแย้งกับใครก็มักจะสร้างพลังอคติรวบรวมสมัครพรรคพวกเข้าฝ่ายตนให้มาก เพื่อที่จะตั้งฝักฝ่ายปะทะต่อต้านกันต่อไป

ได้ฟังมาว่า มีอาจารย์ท่านหนึ่งทำงานหนักทำผลงานวิชาการมากขึ้น และมีการพัฒนาตัวเองให้มีองค์ความรู้ใหม่ๆเพิ่มมากขึ้น เพื่อที่จะนำไปใช้พัฒนาและสร้างนักศึกษา จึงกลายเป็นคนที่เด่นมากขึ้นในมหาวิทยาลัย ซึ่งแน่นอนว่าในสังคมปัจจุบันซึ่งมีการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันสูงนี้ย่อมไม่มีใครอยากเห็นใครได้ดี เมื่อเวลาผ่านไป ทั้งผู้หลักผู้ใหญ่ที่เคยให้การสนับสนุนก็เปลี่ยนท่าทีไปในทางไม่ยอมรับและพยายามสร้างข้อตำหนิให้เกิดขึ้น ทั้งเพื่อนฝูงก็กลายมาเป็นคู่แข่งขัน การกลั่นแกล้ง หลายรู้แบบก็เริ่มตามมา บางครั้งรุนแรงจนแทบทำให้เสียสุขภาพจิต และความมั่นใจในตัวเอง และบางครั้งถึงขนาดคิดว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป จนเมื่อเข้ามาพึ่งทางธรรมเธอคนนั้นจึงสามารถสงบใจลงได้

ในลักษณะนี้ทำให้ย้อนนึกถึงคำประพันธ์ของหลวงวิจิตรวาทการว่า

"อันที่จริงคนเขาอยากให้เราดี
แต่ถ้าเด่นขึ้นทุกทีเขาหมั่นไส้
จงทำดีแต่อย่าเด่น จะเป็นภัย
ไม่มีใครอยากเห็นเราเด่นเกิน"



การทำความดีนั้นย่อมได้ผลดีแน่ และทำความชั่วก็ย่อมได้ผลชั่ว อันเป็นกฎธรรมดาของความจริงที่ปลูกพืชอย่างไรก็ย่อมได้รับผลอย่างนั้น แต่การทำความดีนั้นต้องใช้ศิลปะ คือต้องทำความดีนั้นจะต้องทำให้ถูกกาละเทศะให้ถูกจังหวะ และพอเหมาะพอสมไม่เกียจคร้าน และไม่ล้ำเส้นใคร

การทำความดีนั้นจะต้องดูความเกี่ยวข้องกับบุคคลด้วย ต้องรู้จักวางตัวให้ดีอย่าให้มีลักษณะอันใดส่อให้เห็นว่า จะทำให้ผู้หลักผู้ใหญ่กระทบกระเทือนหรือขุ่นเคืองใจ โดยเฉพาะอย่าให้ผู้หลักผู้ใหญ่รู้สึกว่ามีความสามารถด้อยกว่า เพราะในสังคมคนธรรมดานั้นมากไปด้วยความริษยาและหวาดระแวงกัน รวมทั้งมีคนบางพวกพร้อมที่จะจับผิดและทำลายอยู่ตลอดเวลา

อย่างเรื่องในพุทธกาลก็มีอยู่ว่า พันธุละเสนาบดีแห่งแคว้นโกศลได้รับการร้องเรียนเกี่ยวกับเรื่องการวินิจฉัยคดีที่ไม่ซื่อตรง จึงไปนำเรื่องมาวินิจฉัยใหม่แล้วตัดสินไปตามความจริง ซึ่งมหาชนก็เปล่งเสียงไชโยโห่ร้องกันอย่างสนั่นหวั่นไหว จนพระเจ้าปเสนทิโกศลได้ยินและเกิดความสงสัย และเมื่อพระราชารู้เรื่องราวต่างๆ แล้วก็ให้ปลดตุลาการเดิมออกแล้วให้พันธุละเสนาบดีไปทำหน้าที่แทน ต่อมาพวกตุลาการรุนเก่าๆ ขาดรายได้จากการวิ่งเต้นคดี จึงพากันไปยุยงพระราชาว่า "พันธุละเสนาบดีต้องการเป็นพระราชา"

ด้วยความด้อยสติปัญญาพระราชาได้เชื่อคำของอำมาตย์เหล่านั้น และยิ่งเพิ่มความหวาดระแวงในตัวพันธุละเสนาบดีว่าจะมาชิงราชบัลลังก์และเป็นที่รักของประชาชนมากกว่าตน จึงได้ออกอุบายให้พันธุละเสนาบดีไปปราบโจรที่ชายแดน แล้วให้ราชบุรุษตัดศีรษะของพันธุละเสนาบดีพร้อมบุตรชายทั้งหมดก่อนที่จะเดินทางกลับมาพระนคร และเมื่อการต่างๆ ได้สำเร็จลงแล้ว พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงได้รู้สึกตัวในภายหลังว่า ได้ตกหลุมพรางของอำมาตย์จนสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวง

ฉะนั้น การทำความดีจึงต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญในการที่จะรักษาไว้ไม่ให้กระทบกระเทือนต่อผู้ใด จนไปกระตุ้นกิเลสของคนรอบข้างขึ้นมา การทำความดีจึงต้องมีศิลปะในการทำความดีและรักษาความดีไว้ให้เจริญยิ่งขึ้น ต้องรู้จักถอยออกมาจากภาวะที่คับขันเพื่อผ่อนคลายสถานการณ์ และรอเวลาที่เหมาะสมเพื่อสร้างรอยต่อของความดีขึ้นมาใหม่อย่างไม่กระทบกระเทือนใคร



ที่มาของบทความบางส่วน
copy มาจาก web ธรรมะ
web ไหนไม่รู้ เยอะมาก อิอิ :))

โดย คิดแล้วเขียนV:)




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น