วันพุธที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2553

อภิสิทธิ์ชน

วันนี้เป็นอีกวันนึงที่รู้สึกว่า ตนเองเป็นคนที่มี "อภิสิทธิ์"กว่าคนอื่น
1.ฝนตก ที่ทำงานไล่ให้กลับบ้านแต่วัน
ข้าพเจ้าก็เลยรีบกลับ เดินออกมาจากซอย 5
ก็เจอรถติดยาวไม่ขยับอยู่แล้ว ก็เลยมองหารถตู้ที่อยู่กลางถนน
เพื่อไปขึ้น (ถ้ารออยู่ป้ายรถเมล์คงไม่ได้ขึ้น เพราะคนเริ่มทะยอย
ออกมาเยอะมาก) พอดีมีที่ว่างด้านหน้าคนขับแค่คนเดียว
(คนที่อยู่ตรงป้ายก็คงมองตาปริบ ๆ)
ถนนน้ำท่วม ฝนตกรถติด แต่วันนี้ข้าพเจ้าได้อภิสิทธิ์ขี้นรถ
ได้แค่คนเดียว (เพราะเดินไปหารถที่ติดอยู่กลางถนน) จะว่าแซงคิว
คนอื่นก็ไม่ใช่ อาจเป็นเพราะข้าพเจ้าประเมินสถานการณ์
ได้ดีกว่าคนอื่นมั้ง (บางครั้ง) ....โชคดีที่มีที่ว่างให้ข้าพเจ้าได้ขึ้น

2.ไฟฟ้าที่แถวบ้านดับ เนื่องจากฝนตกหนัก สายไฟคงขาด
แต่มีบ้านที่ข้าพเจ้าอยู่บ้านเดียวที่ไม่ดับ ก็เลยคิดว่า สงสัยคนละสาย
กับบ้านป้า บ้านรอบ ๆ ดับหมด! แล้วบ้านฉันทำไมไม่ดับวะ?
ตูละงง!

การที่ข้าพเจ้าเป็นคนที่มักจะได้อะไรที่มีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่นบ่อย ๆ
หลาย ๆ คนอาจจะหมั่นไส้เป็นได้ ....จะเป็นโชคของ
ข้าพเจ้าอย่างนึงก็ไม่เชิงนะ แต่มันมักจะเป็นแบบนั้น
(ก็สังเกตตนเองเหมือนกัน)
อาจเป็นด้วยจังหวะ เวลา สถานที่ บางอย่างเอื้ออำนวย
ให้ข้าพเจ้าก็เป็นได้ (คุยอีกแน่ะ! :)?
คงเป็นเพราะทำบุญมาดีมั้ง เทวดาเลยช่วย
เอื้ออำนวยให้โชคดีในเรื่องบางอย่างกว่าคนอื่น ^_^
บางคนถือโอกาสหมั่นไส้ ในความเหนืออภิสิทธิ์คนอื่น
ก็เลยพยายามทำทุกวิถีทาง ที่จะให้ความเหนืออภิสิทธิ์
มีเท่ากับ หรือต่ำกว่าตนเอง

เอาเป็นว่าวันนี้ข้าพเจ้าถึงบ้านอย่างปลอดภัยแต่หัววัน
เดี๋ยวพรุ่งนี้จะไปถามเพื่อนว่า ถึงบ้านกันกี่โมง

คิดแล้วเขียน :((

ปล.วันนี้ไม่รู้จะคุยเรื่องอะไร เพราะเบื่อพวกม๊อบ!

---------------------------------
เพิ่มเติม เพื่อนถึงบ้านกัน 2 ทุ่มเกือบทั้งนั้นเลย

ว่าแล้ว ...การที่เราได้คุยโม้ มีคนแอบหมั่นไส้ด้วย
เออ! ช่างเหอะ! เขาคงทำได้แค่นั้น ...จริง ๆ

ฉันเลยเซ็ง โคตร ๆ :((





ต้องการเพลงใหม่ๆ ใช่มั้ย คลิกที่นี่



วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553

การทำธุรกิจส่วนตัวมิใช่ของง่าย

หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ทดลองหาอาชีพเสริมนอกจากงานประจำ
พบว่า คงทำไม่ได้ดี (ถ้าจะจริงจัง) เพราะงานประจำก็ค่อนข้างหนัก
อยู่แล้ว อีกอย่างอาชีพใหม่ดู ๆ แล้วไม่ค่อย work

ขายของบนอินเตอร์เน็ท เพราะประชากรไทยส่วนมากไม่ค่อย
เล่นอินเตอร์เน็ทกัน นอกจากพวกนักเรียน นักศึกษา
ที่มักจะหาข้อมูลทำการบ้าน ทำงาน ส่วนคนทำงาน
ในประเทศไทยก็ไม่นั่งช๊อปปิ้งบน net หรอก
(ซึ่งดูได้จากตัวข้าพเจ้าเอง) เพราะแม่ค้า พ่อค้า
ตามข้างทางเยอะ ของก็มีขายเยอะ
เช่นแถวตลาดนัดแถวบ้าน ห้างสรรพสินค้า
ที่เดี๋ยวนี้มีเกือบทุกมุมถนน ฯลฯ

ถ้าคิดจะขายของบนอินเตอร์เน็ท ต้องเป็นสินค้าที่หายาก
และไม่ค่อยมีให้ซื้อขายตามท้องตลาดทั่วไป
ธุรกิจขายของบนอินเตอร์เน็ท
แบบนี้ไม่ค่อย work ในประเทศไทย
ซื้อของมา เงินจะมาจมกับของที่ลงทุนซะเปล่า ๆ
เพราะลูกค้าถ้าไม่คิดเจาะจงเข้ามาซื้อ
ก็ยากนักที่จะขายได้ เดินผ่านเขาก็ไม่คิดซื้อหรอก
ไม่เหมือนขายของตามบนพื้นดิน
เห็นปุ๊ป สามารถควักเงินออกจากกระเป๋าจ่ายได้เลย


ก็เลยทำให้ทราบว่า
ซื้อของเข้ามาขายในร้านนั้นง่าย ๆ นึกอยากจะซื้ออะไรก็ได้
(ถ้ามีเงินลงทุนเยอะพอ)
แต่จะทำอย่างไรให้ของขายได้ นี่ซิเป็นเรื่องยาก

ไม่ใช่ขนซื้อ ๆ มาตั้งแต่ตอนเปิดร้าน
แต่ของในร้านขายไม่ออกเลย
แย่เน๊าะ! เอาเป็นว่า ถือเป็นประสบการณ์ในการชิมลาง
ไปพลาง ๆ ก่อน เพราะเป็นงานที่เราไม่ค่อยถนัดนัก

ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ ปรับปรุงไป
ไม่แน่ อนาคตอาจมีการเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกหลาย ๆ อย่าง
ตอนนี้ก็ถือว่า เก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปก่อน

คิดแล้วเขียน :)V

วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2553

ที่มาของสำนวนไทย "ลูกทรพี"

วันนี้นึกอยากอ่านนิทาน ที่สมัยตนเองเรียนหนังสือ
เป็นสำนวนไทยที่เรียกคนอกตัญญูต่อพ่อแม่ว่า
"ไอ้ลูกทรพี"

วันนี้เลยลองไปค้นจาก อินเทอร์เน็ตมา
-------------------------------------------
ทรพี, ลูกทรพี : อกตัญญู

มีที่มาจากควายทรพีในเรื่องรามเกียรติ์
ซึ่งมีฤทธิ์เพราะเทวดาเลี้ยงมา
ทรพีไม่พอใจที่ทรพาพ่อของตนฆ่าลูกที่เกิดเป็นตัวผู้ทุกตัว

จึงท้าพ่อต่อสู้และสังหารพ่อได้
ด้วยเหตุนี้จึงเกิดเป็นสำนวนเรียกลูกที่ประพฤติตัวอกตัญญูว่า
“ลูกทรพี” หรือ “ทรพี”

-------------------------------------------
มียักษ์ตนหนึ่งชื่อนนทกาลอสูร
เป็นผู้เฝ้าประตูกำแพงชั้นในเขาไกรลาสของพระอิศวร
ได้ล่วงเกินนางมาลีซึ่งเป็นคนร้อยดอกไม้
นางจึงไปทูลฟ้องพระอิศวร พระอิศวรโกรธสาปให้
นนทกาลไปเกิดเป็นควายป่าชื่อ ทรพา
และเมื่อถูกฆ่าโดยลูกชายชื่อทรพี จึงจะพ้นคำสาป
เมื่อทรพาเข้ามาอยู่ในป่าได้นางควายเป็นเมียมากมาย
เมื่อนางควายตัวใดมีลูกตัวผู้ก็จะถูกฆ่าตาย
หมด นางควายนิลาจึงหนีไปออกลูกในถ้ำสุรกานต์เป็นตัวผู้
ฝากเทวดาให้เลี้ยงดู เทวดาได้ตั้งชื่อ ลูกควายนี้ว่าทรพี
ทรพีนั้นเมื่อเติบใหญ่ขึ้น จึงพยามยามวัดรอยตีนของพ่อ

เมื่อเห็นว่าเท่ากับของทรพา
ผู้เป็นพ่อแล้ว จึงมาท้าต่อสู้กับทรพาและฆ่าทรพาตาย
ทรพีเมื่อฆ่าทรพาตายแล้ว
จากนั้นก็ไปท้าทายบรรดาเทวดาไปเรื่อย ๆ
เทวดาจึงหลอกให้ไปท้าพระอิศวรที่เขาไกรลาส
พระอิศวรโกรธ จึงให้ไปต่อสู้กับพระยาพาลีและสาปให้ตายด้วยฤทธิ์
ของพระยาพาลี แล้วไปเกิดเป็นลูกพระยาขร
ชื่อ มังกรกรรฐ์ และให้ตายด้วยศรพระราม
ทรพีแม้จะถูกสาปแล้วก็ยังไม่สำนึกตัว
ไปท้าทายพระยาพาลีที่เมืองขีดขิน

ทั้งสองจึงต่อสู้กัน พระยาพาลีได้ลวงให้ทรพีไปสู้กันในถ้ำ
และได้สั่งสุครีพว่าเมื่อครบเจ็ดวัน
แล้วยังไม่กลับออกมา ให้เฝ้าดูรอยเลือด
ถ้าเป็นเลือดข้นจะเป็นเลือดควาย ถ้าเห็นเลือดใสจะ
เป็นเลือดตน จงรีบพาไพร่พลขนหินมาปิดถ้ำเสีย
พระยาพาลีสูกับทรพีอยู่ถึง 7 วัน 7 คืน
ไม่ชนะเนื่องจากเทวดาอารักษ์ที่ปกป้องเจ้าควายทรพี
ที่นางควายนิลาฝากฝังในถ้ำสุรกานต์ปกป้องให้รอดผ้นอันตราย
จึง ออกอุบายถาม เจ้าทรพีว่า
"เจ้าควายทรพีเจ้าเก่งกาจถึงเพียงนี้
เพราะเจ้ามีผู้คอยช่วยเหลือปกป้องเจ้า ใช่หรือไม่"
เจ้าทรพีซึ่งหยิ่งและอวดดีไม่รู้คุณเทวดาที่คอยปกป้องตนมาดังบุพการี
ก็กล่าวว่า "ข้าเก่งกาจเพราะตัวของข้าเอง หาได้มี เทวดา
อ้ายอีตนไหนคอยปกป้อง ก็หาไม่"

พระยาพาลีได้ยินดังนั้นจึงกล่าวต่อเหล่าเทวดาที่
ปกป้องทรพีว่า "ดูก่อนท่านเทวดาทั้งหลาย
ไอ้ควายป่าทรพีตนนี้หาสำนึกในบุญคุณของพวกท่านไม่
ขนาดพ่อมันยังคิดฆ่าได้
แม้พวกท่านคอยปกป้องมันไม่ให้ได้รับอันตรายมันก็ไม่สำนึกบุญคุณ
แล้วท่านยังจะปกป้องเจ้าควายที่ไม่รู้จักบุญคุณ บุพการี ตัวนี้หรือ"
เทวดาที่ปกป้องเจ้าควายทรพีได้ยินก็คิดเห็นเช่นเดี๋ยวกับที่
พญาพาลีแนะจึงรวมกันออกจากเขาและกรีบเท้า
ไม่คอยปกป้องเจ้าทรพีอีกต่อไป
พระยาพาลีได้ที่จึงเข้าห่ำหัน จนสามารถ ฆ่าทรพีตาย
เทวดายินดีบันดาลให้ฝนตก เลือดที่ไหลออกมาจึงใส

สุครีพเห็นเข้าคิดว่าเป็นเลือดพระยาพาลี จึงสั่งให้ไพร่
พลเอาหินมาปิดถ้ำ ฝ่ายพระยาพาลีเมื่อฆ่าทรพีตายแล้ว
จะออกจากถ้ำพบถ้ำปิดก็โกรธหาว่า
สุครีพคิดจะแย่งชิงเมือง จึงไล่สุครีพออกจากเมืองไป


ฝ่ายทรพีเมื่อตายไปแล้ว
ได้มาเกิดเป็นบุตรของพระยาขร
น้องชายของทศกรรฐ์ซึ่งครองเมือง
โรมคัล กับพระนางรัชฎาสูรชื่อว่า มังกรกรรฐ์
ตามคำสาปของพระอิศวร

----------------------------------------

ที่ยกนิทานเรื่องนี้ขึ้นมานั้น
ด้วยเหตุที่ว่า
บางครั้งคนเราก็มีจุดด่างในชีวิต
คือ ตนเองเป็นคนดี แต่ชีวิตต้องตกต่ำ
ก็เพราะมีลูกจัญไร ที่คอยทำร้ายพ่อตัวเอง
อาจจะเป็นเวรและกรรมของใครคนนั้น
ก็เปรียบเสมือนนิทาน ที่ยกมาในวันนี้
ว่า "ไอ้ลูกทรพี" คิดฆ่าพ่อตัวเอง

--------------------------------------
คิดแล้วเขียน :(

ธรรมะ : การเมือง

ธัมมาธิปไตยไม่อยู่ ประชาธิปไตยจึงกู่ไม่กลับ

ท่าน ว.วชิระเมธี


สาระสำคัญของการเมืองการปกครองทุกระบอบ ก็คือ เพื่อประโยชน์สุขของประเทศชาติและประชาชน

ถ้าพลาดจากประโยชน์สุขของประเทศชาติและประชาชนไปเป็น ผลประโยชน์ของตนและพวกพ้องวิกฤติการเมืองการปกครองก็เกิดขึ้นตรงนั้น การที่จะทำให้การเมืองการปกครองสนองตอบต่อวัตถุประสงค์ที่แท้ของการเมืองการปกครองก็คือ จะต้องมีระบบการตัดสินใจทางการเมืองการปกครองที่ถูกต้องไว้เป็นมาตรฐาน หรือเป็นหลักประกันเบื้องต้นของระบอบนั้นๆ เสียก่อน

ระบบการตัดสินใจทางการเมืองนั้น กล่าวตามแนวทางของพุทธศาสนาก็มีอยู่ ๓ ระบบใหญ่ๆ คือ

๑. ระบบอัตตาธิปไตย ตัดสินใจโดยยึดเอาความต้องการของตนเป็นตัวตั้ง จุดเด่นของการตัดสินใจแบบนี้คือ รวดเร็ว แต่เสี่ยงต่อการเป็นทรราช ซ้ำยังขาดการถ่วงดุล จึงผิดพลาดเสียหายได้ง่าย

๒. ระบบโลกาธิปไตย ตัดสินใจโดยยึดเอาความต้องการของประชาชนเป็นตัวตั้ง จุดเด่นของการตัดสินใจแบบนี้คือ ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนจริงๆ แต่เสี่ยงต่อการตกอยู่ในลักษณะพวกมากลากไป หรือกฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย

๓. ระบบธัมมาธิปไตย ตัดสินใจโดยยึดเอาความถูกต้องและประโยชน์ของส่วนรวมเป็นใหญ่ จุดเด่นของการตัดสินใจแบบนี้คือ เป็นระบบที่มีความเที่ยงธรรม มีมาตรฐานสำหรับทุกฝ่าย แต่เสี่ยงต่อการต่อต้านของผู้เสียผลประโยชน์


จะเห็นว่า ระบบการตัดสินใจแบบที่หนึ่งและสองนั้น เมื่อตัดสินใจแล้ว จะมีปัญหาตามมาเสมอไป ส่วนแบบที่สามนั้น เป็นระบบการตัดสินใจมาตรฐานที่เมื่อวางลงจนเป็นระบบที่เข้มแข็งแล้ว จะแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง

ที่ระบุว่า การตัดสินใจแบบที่หนึ่งและสองยังมีปัญหาก็เพราะว่า ถ้าตัดสินใจตามใจฉัน ก็มีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะกลายเป็นเผด็จการหรือทรราชไป ส่วนตัดสินใจโดยฟังเสียงประชาชนไปเสียทุกเรื่อง โดยไม่คำนึงถึงความควรไม่ควร (เช่น ประชาชนบอกว่า การพนันเป็นสิ่งที่ดี รัฐก็ออกกฎหมายอนุญาตให้มีการพนันเสรี ประชาชนบอกว่าการดื่มสุราเป็นของดี รัฐก็อนุญาตให้ผลิตและดื่มได้อย่างเสรี

ถ้าขืนผู้กุมอำนาจรัฐตัดสินใจโดยมุ่ง ประจบประชาชนอย่างนี้ ผลก็คือ ได้ใจประชาชน แต่ประเทศเสียหาย เข็มทิศทางทางจริยธรรมของสังคมพังทลาย ซึ่งจะทำให้มีปัญหาสังคมตามมามากมายไม่จบสิ้น)
ประเทศก็จะไร้ทั้งมาตรฐานและไม่มีบรรทัดฐาน
สำหรับการตัดสินใจแบบธัมมาธิปไตยที่เน้นการยึด หลักการมากกว่า ความต้องการทั้งความต้องการ ของฉันและความต้องการ ของประชาชน” (อย่างหน้ามืดตามัว) หากแต่เน้นไปที่ ความจริง ความจำเป็น และประโยชน์สุขที่ยั่งยืนของคนส่วนใหญ่เป็นสำคัญแม้จะทำให้การตัดสินใจนั้นดูล่าช้าไปบ้าง ไม่ได้ดั่งใจคนส่วนใหญ่ที่อยากได้อะไรตามแต่ใจเฉพาะหน้าบ้าง แต่ในระยะยาวแล้ว ก็จะทำให้สังคมมีมาตรฐานในเรื่องต่างๆ อย่างชัดเจน มีบรรทัดฐานที่ดีไว้ให้อ้างอิง มีระบบที่เป็นระเบียบปฏิบัติที่ลงตัว และเข้าสู่ความเป็นรัฐที่มีหลักประกันในการอยู่ร่วมกันอย่างแท้จริง ซึ่งเราเรียกกันในปัจจุบันว่า จะทำให้สังคมมีระบบ นิติรัฐที่เข้มแข็งนั่นเอง

หากเราต้องการสถาปนาระบอบประชาธิปไตยที่ยั่งยืนขึ้นมาในสังคมไทย เราคงต้องหันมาพิจารณาระบบการตัดสินใจทางการเมืองของคนไทยกันใหม่ ว่า ทุกวันนี้ ทั้งชนชั้นนำของสังคมไทย และประชาชนคนไทย มีระบบการตัดสินใจทางการเมืองกันอย่างไร

ถ้าเราช่วยกันทำให้คนไทยมีระบบการตัดสินใจในแบบ ธัมมาธิปไตยคือ ตัดสินใจโดยยึดเอาความจริง ความถูกต้อง ประโยชน์สุขของคนส่วนใหญ่ที่ยั่งยืน เป็นบรรทัดฐานได้เมื่อไหร่ ระบอบประชาธิปไตยในเมืองไทยก็จะเข้มแข็ง รากฐานของนิติรัฐ (ซึ่งต้องอยู่ที่ใจ อยู่ที่จิตสำนึก หรืออยู่ที่ค่านิยมของคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่ในกระดาษเท่านั้น) ก็จะมั่นคง

แต่ถ้าเรายังคงปล่อยให้มีระบบการตัดสินใจในทางการเมืองการปกครองกันแบบอัตตาธิปไตย คือ ฉันต้องการอย่างนี้ ทุกคนต้องว่าตามฉัน หรือ โลกาธิปไตย ประชาชนว่าอย่างนี้ ใครหน้าไหน ก็ต้องฟังประชาชน (ถ้าเสียงประชาชนนั้น เป็นเสียงบริสุทธิ์ที่แท้จริงก็ต้องฟัง แต่ถ้าเป็นเสียงซึ่งสะท้อนออกมาเพราะถูกวางเงื่อนไขหรือถูกซื้อ แม้เป็นเสียงประชาชนก็ต้องฟังอย่างไว้หู ไม่ใช่ฟังแล้วต้องเอาตามไปเสียทั้งหมด การฟังเสียงประชาชนทุกฝ่ายนั้น หากไม่ระวังให้ดี คือ ไม่ฟังอย่างมีสติ ก็จะกลายเป็นการประจบประชาชนหรือหลอกใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือ และยิ่งทำให้ประชาชนอ่อนแอลงไป และต้องหลอกล่อกันด้วยอามิสสินจ้างไม่จบสิ้น) ระบอบประชาธิปไตย ก็จะยังไม่หยั่งรากอย่างมั่นคงลงสู่สังคมไทย

ระบบการตัดสินใจในแบบ ธัมมาธิปไตยนั้น เป็นหัวใจของประชาธิปไตย
ถ้าประชาชนถือหลัก ธัมมาธิปไตยคือ ยึดหลักความจริง ความถูกต้อง (นิติธรรม) และประโยชน์สุขของส่วนรวมเป็นใหญ่อย่างเข้มแข็งมั่นคงได้อย่างแท้จริงเมื่อไหร่ เมื่อนั้นแหละที่ประชาธิปไตยที่แท้จริงจึงจะเกิดขึ้นได้ในทุกๆ สังคม

กล่าวอีกนัยหนึ่งว่าประชาธิปไตย ก็คือ การปกครองของประชาชนที่ถือหลักการตัดสินใจในแบบธัมมาธิปไตยเป็นใหญ่ โดยประชาชน และเพื่อประชาชนเวลานี้ เราคนไทยต่างต้องการประชาธิปไตยที่แท้ และพยายามแสวงหาวิธีการที่จะทำให้เกิดประชาธิปไตยที่แท้ขึ้นมาในประเทศชาติบ้านเมือง โดยกระบวนการต่างๆ แต่แล้ว เราคงลืมไปว่า รากฐานของประชาธิปไตยที่แท้อยู่ที่ระบบการตัดสินใจของประชาชนถ้าเรามองข้ามวิธีคิด วิธีตัดสินใจของประชาชน แล้วมัวแต่ไปออกแบบ เครื่องมือเพื่อสร้างประชาธิปไตย แต่ไม่ออกแบบวิธีการตัดสินใจของประชาชนให้เป็นรากฐานของประชาธิปไตยเสียก่อน ก็เชื่อได้เลยว่า การปฏิวัติ รัฐประหาร และการทำร้ายกันระหว่างคนไทยด้วยกันเองเพราะวิกฤตการเมืองจะยังคงมีอยู่ต่อไป ดังนั้น จึงขอฝากมายังเราคนไทยทุกภาคส่วนที่อยากให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยว่า เราต้องช่วยกันออกแบบวิธีตัดสินใจทางการเมืองของคนไทยให้เป็นประชาธิปไตยเสียก่อน ถ้าแก้เรื่องนี้ได้แล้ว รัฐธรรมนูญก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อีกต่อไป ขอให้เราดูอย่างอังกฤษ อเมริกา อินเดีย ฝรั่งเศส เป็นต้น ประเทศเหล่านี้ เขามีประชาชนที่มีจิตสำนึกประชาธิปไตยเพราะเขาถือหลัก ธัมมาธิปไตยคือ ระบบที่เกื้อกูลต่อประโยชน์สุขของประเทศและประชาชนสำคัญกว่าผลประโยชน์ส่วนบุคคล เขาจึงไม่ต้องมากังวลกับการแก้รัฐธรรมนูญซ้ำซาก

ย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า อย่ามัวแต่แก้ที่กลไก แต่ต้องช่วยกันแก้วิธีตัดสินใจของประชาชนให้เป็นประชาธิปไตยด้วยจะดีกว่า เมื่อทั้งประชาชนและกลไกได้มาตรฐานแล้ว รัฐประหาร ปฏิวัติ จะเป็นส่วนเกินของประชาธิปไตยไปโดยอัตโนมัติ แต่หากเรายังมัวแต่แก้กลไก ไม่แก้ระบบการตัดสินใจของประชาชน ก็เชื่อเถิดว่า เมืองไทยจะยังไปไม่ถึงประชาธิปไตยที่แท้จริง ต่อให้ใช้เวลาอีก ๑๐๐ ปี ภาพเก่าๆ เช่นทุกวันนี้ ก็จะหวนกลับมาซ้ำรอยเดิมอีกไม่จบสิ้น

--------------------------------------------------------------------------------
เริ่มมั่วแล้ว
พอคนกลุ่มคนเสื้อหลายสี ต่างมารวมตัวกันต่อต้านคนเสื้อแดง
เริ่มมีการเจรจาใหม่ พอรัฐบาลไม่ยุบสภาภายใน 30 วัน
มันให้คนเปลี่ยนสีเสื้อใส่
ถามจริงเหอะ! ตกลงคนเสื้อแดงมันทำเพื่ออะไรกันแน่?
อยากยุบสภาเสียจริง เพราะถ้ายุบแล้วมันต้องทุ่มทุน
ซื้อเสียงกลับเข้ามาอีก ทีนี้แหล่ะ รัฐธรรมนูญแก้ต่างให้ไอ้ทรราชเป็นแน่!
แล้วก็จะมีเสื้อสีเหลืองและชมพูออกมาต่อต้านรัฐบาลเสื้อแดงอีก

วัฎจักรไม่จบสิ้น
เพราะการเมืองของไทยตอนนี้
มันอยู่ในมือของคนมีเงิน
ไม่ได้มีปัญญา!

คิดแล้วเขียน :(^

วันศุกร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2553

สงสารในหลวง

ข้าพเจ้าประชาชนคนไทย
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ไปร่วมชุมนุมต่อต้านคนเสื้อแดง
แต่ก็จงรักภักดีต่อในหลวง
เพราะตั้งแต่เกิดมาก็เห็นพระบรมฉายาลักษณ์
ของพระองค์ท่านที่โรงเรียน
วาดรูปก็เคยวาดพระองค์ท่าน
ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กว่า
เรามีพระเจ้าอยู่หัวเป็นพระประมุข
ซึ่งพระองค์ท่านก็มีน้ำพระราชหฤทัย
ใส่ใจคนชนบทมากกว่าคนในเมือง

ออกเสด็จพระราชดำเนินไปตามที่แห้งแล้ง กันดาน
สร้างฝายน้ำ ทำฝนเทียม เพื่อให้พสกนิกรชาวไทย
โดยเฉพาะชาวเกษตรกรได้มีน้ำดื่ม น้ำใช้กัน

มีพระมหากษัตริย์ในโลกใด ที่เป็นแบบพระองค์ท่านบ้าง
ข้าพเจ้าไม่เห็นกษัตริย์ราชวงศ์ไหน ทำอะไรให้ประชาชน
ได้มากมายเพียงนี้เลย แล้วนี่หรือการกระทำของคนเสื้อแดง
คิดล้มล้างระบอบกษัตริย์ ใช้อะไรคิด ? (สงสัยตีนตบ)
หรือเงินตราที่ถูกจ้างวานมา มันมีค่ามากกว่า
ตลอดชีวิตที่เราได้เห็นน้ำพระราชหฤทัยของในหลวงหรือ?
อย่ามาอ้างเลยว่าจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
การกระทำมันสวนทางกับคำพูด


คนไทยบางคนลืมไปแล้วหรือว่า
พระองค์ท่านยังทรงครองราชย์อยู่
ถึงแม้ว่าจะมีคนใส่ร้ายใครก็ตาม
ไม่ว่าเป็นฝ่ายใด ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย
ที่จะดึงพระองค์ท่านลงมา
ใช้ตราสัญลักษณ์ของพระองค์ท่าน
เป็นเกราะป้องกันความเลวของพรรคพวกตนเอง

มันก็เหมือนลูกทรพี ขี้แล้วให้พ่อล้างก้นให้
ทำแบบนี้ถูกต้องแล้วหรือ?!

ใครเรียนผูก คนนั้นก็ต้องเรียนแก้เอาเอง
แต่ที่พ่อยอมไกล่เกลี่ยทุกครั้ง เพราะไม่อยากเห็น
คนบริสุทธิ์ตายเพราะความบ้าอำนาจ
ของคนอยากยิ่งใหญ่ ซึ่งนับวันจะมีเพิ่มขึ้นทุกที
มันคงนั่งหัวเราะในใจนะว่า แค่นี้ใช้เงินซื้อ
มันก็ทำให้ตั้งมากมายแล้ว

แต่ขอให้รู้ไว้เถอะว่า
เงินมันไม่สามารถซื้อความรักและจริงใจ
จากใครได้

คิดแล้วเขียน :(

วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2553

อากาศร้อน = อารมณ์ร้อน

วันนี้ตอนเย็นข้าพเจ้าติดรถเพื่อนพี่ผู้หญิงที่กลับบ้านทางเดียวกัน
โดยปรกติ ถ้าจังหวะเวลาพร้อม พี่เขาจะชวนข้าพเจ้ากลับด้วยเสมอ
กันครหาว่านัดกับผู้ชาย (มั้ง)^_^ ...แต่อย่างว่าอ่ะนะ ...จะอยู่ที่ไหน
ถ้าคนสันดานมันเลว ต่อให้เฝ้าจับตาดูอย่างไร คนมันจะเลวอ่ะนะ
จะไปห้ามมันได้หรือ มันก็หาโอกาสชั่วได้อยู่ดี
แม้กระทั่งอยู่ในบ้านตัวเอง ถ้ามันไม่อายผีสางนางไม้ที่บ้านได้
ที่อื่นก็คงไม่ต้องพูดถึง!

วันนี้เป็นอีกวันนึงที่อารมณ์ข้าพเจ้าอุณหภูมิขึ้นสูงกว่าปรกติ
เพราะนั่งรถมากับพี่ผู้หญิงด้วยกัน แล้วเจอรถผู้ชายวัยทำงาน
(ขับรถสีขาว yaris หรือ Jazz นี่แหล่ะ หมายเลขทะเบียน
มีตัว ณ 6899 กรุงเทพฯ ประมาณนี้ ข้างรถมันแปะสติกเกอร์สีขาว)
ตัวมันผิวคล้ำตัวขนาดปานกลาง
ใส่เสื้อโปโลสีน้ำเงิน หน้าอกปัก AIS

มันขับรถพยายามจี้จะแทรกเข้าระหว่างรถพี่เขา (ไม่ให้มันก็จี้อีก)
มันแทรกอย่างเดียวไม่พอ เสือกจ้องหน้า แล้วพูดคำว่า
"ควาย" ไม่มีสระ "อา" ด้วย

ทีนี้เอาล่ะซิ ข้าพเจ้ากับพี่ก็เกิดอาการ
ปรี๊ดแตก! แซงไม่ได้ผู้ชายสันดานหมา แจกของให้ด้วย
ก็เลยให้พี่เขาขับรถชะลอ ข้าพเจ้าก็ขอเปิดหน้าตาจ้องหน้ามัน
ยกนิ้วให้มันด้วย (ควาย ไม่มีสระอา กูก็มีวะ)

มันเลยขอคุยข้างถนน ....ตอนลงมาทำท่าทาง
เหมือนจะเอาเรื่อง มันก็บอกว่า มันร้องเพลงในรถ
แล้วพวกเราเห็นได้อย่างไรว่ามันพูดอะไร

กูจ้อง 2 ตา แถมพี่เขาก็ดูกระจกหลัง ดูว่ามันมีท่าทางฮึดฮัด
ปากมึงพูดออกมาแบบไม่มีเสียง แถมจ้องหน้า
เหมือนจะเอาเรื่อง ทำไมจะดูไม่ออกวะ!

ข้าพเจ้าเลยตะโกนถามมันว่า "คุณเป็นลูกผู้ชายหรือเปล่า?"
ทำแบบนี้น่ะ (ดีตรูไม่ด่าไอ้หน้าของผู้หญิง)
(เท่านั้นแหล่ะ ท่าทางมันหาย กร่างลงมาหน่อย)
ขับรถจี้ แทรกคนอื่นเข้ามาแล้วยังมาพูดจาแบบนี้อีก
มันบอกว่า มันพูดว่า "ขอเข้าแค่นี้ก็ไม่ได้"
ข้าพเจ้ายืนยัน นั่งยันได้ว่า มันไม่ได้พูดแบบนี้
ไม่งั้นของตรูคงไม่ขึ้นหรอก!

มันคงเห็นข้าพเจ้าและพี่เป็นผู้หญิงมั้ง เลยทำท่าทางกร่าง
มันถามว่า มันไม่ได้พูด มันร้องเพลงในรถ
(แม่งร้องเพลง เสือกจ้องหน้าพวกกูนี่นะ ส้นตีนดีแท้)
มันบอกว่า จะให้มันทำอย่างไร
ข้าพเจ้าก็เลยตะโกนมันว่า ให้มันขอโทษ
พูดเป็นหรือเปล่า?
มึงเจือกมาแทรกกู แล้วยังมาด่ากูอีก
ดีกูไม่ด่ามันบ้าง "ไอ้หน้าของผู้หญิง"
เวรจริง ๆ เจอไอ้พวกเศษสวะสังคม บนท้องถนน
เสียอารมณ์แต่หัววันเลย!

สงสัยถ้าข้าพเจ้าเป็นผู้ชาย มีเรื่องชกหน้าไอ้เอี้ย!
นั่นไปนานแล้ว เวรจริง ๆ ปล่อยให้ไอ้พวกอ่อนแอ
ทางสังคมเที่ยวไปทำกับคนอื่นแบบนี้ได้หรือ?
ถึงจะเป็นผู้หญิง ก็มีมือมีเท้าเหมือนกัน!

ข้าพเจ้าไม่กลัวคนเลว! เพราะไม่ได้อ่อนแอ
ที่ยอมทนให้ ไอ้คนสันดานไม่ดี
มาเอาเปรียบ ....ถ้าสันดานไอ้เอี้ย! นั่นเป็นแบบนี้อีก
สักวันมันจะเจอของจริง!! ที่ไม่ใช่แค่คำขอโทษ!

คิดแล้วเขียน :(

วันพุธที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2553

เรื่องอย่างว่า...?

หลังจากฟังธรรมะกันมาบ้างแล้ว
วันนี้ขอมาทางโลกีย์ บ้าง

คือ ข้าพเจ้าก็ยังไม่ใช่นักบวช
แต่ก็ถือศีลฆราวาสอยู่นะ

การที่อยู่ในสังคมโลกมนุษย์
บางครั้งศีลบางข้อ
อาจทำให้ข้าพเจ้าพร่องไปบ้าง
เพราะอยู่กับคนหมู่มาก ๆ ความคิดเห็นแตกต่างกัน
อะไรที่ไม่ลงรอย อาจทำให้มีการพูดจาเสียดสีกันบ้าง
ซึ่งเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าถนัดนัก อิอิ (ผิดศีลข้อ 2)
ก็เป็นธรรมดา แต่ก็จะพยายามประคับประคองตัวเอง
ไม่ให้ปากเสีย โดยไม่จำเป็น อะไรที่เป็นเรื่องของคนอื่น
ก็จะผ่านไป แต่ถ้าเกี่ยวกับข้าพเจ้าเมื่อไร ก็ไม่แน่
แต่ก็จะพยายามให้ตนเองมีศีลฆราวาสครบ 5 ข้อ
(ศีลที่ทำให้เป็นมนุษย์สมบูรณ์)
เพื่อว่า ถ้าเกิดชาติหน้า (อาจจะได้เกิดอีก)
จะได้ไม่ตกไปเดรัจฉานภูมิ (ดู VDO ข้างล่าง)

ช่วงนี้ข้าพเจ้าได้อ่านข่าวบันเทิง ก็เห็นคู่รักดารา
หลายคู่คบกันมาตั้งนาน พอแต่งไม่เท่าไร
ก็หย่าร้างกันซะแล้ว เสียดายเหมือนกันนะ

ตอนที่เป็นแฟนกัน ก็เห็นรักกันดี
หรือว่า ยังไม่ได้อยู่ด้วยกัน เลยยังไม่เห็นตัวตนที่แท้จริงกัน
อีกอย่างข้าพเจ้าคิดอยู่เหมือนกันนะว่า

ารคบกันเป็นแฟน และเป็นเพื่อน
มันคงไม่เหมือนเป็นสามี ภรรยา กันหรอก
ตอนก่อนแต่ง กับหลังแต่งมันต้องมีข้อแตกต่างกันนั่นแหล่ะ

อาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องอย่างว่า(ติดเรท)ด้วยส่วนหนึ่ง
ข้าพเจ้าสันนิษฐานเอาเองนะ เพราะสังเกตแต่ละคู่
ตอนก่อนแต่งกับหลังแต่ง (มีอะไรกัน)มันคงจะต่างกันเยอะ
ไม่งั้นเขาจะเลิกกันทำไม?

ความต้องการของคู่ที่เลิก ๆ กันนั้น
อาจไม่ตรงกัน บางคนเลิกกันแล้ว
ก็เข้าใจกัน กลับมาเป็นเพื่อนกันก็มี
แต่บางคนไม่ยอมเลิกด้วยดี ก็อาจมีเจ็บตัว
และเจ็บกาย หรือเจ็บใจกันบ้าง
เพราะเห็นคู่ตนเองนอกใจ ไปมีอื่น

ฝรั่งเขาถึงชอบที่จะทดลองกันอยู่ก่อนแต่ง
ซึ่งหลายคนก็พยายามตะเกียกตะกายหาคู่เดท
(ดูได้จากภาพยนตร์ฝรั่งหลาย ๆ เรื่อง)
ซึ่งก็คงต้องทนเปลี่ยนคู่นอนไปเรื่อย ๆ จนกว่า
จะเจอคนที่ถูกใจ (คิดแล้วเปลืองตัวอิ๊บอ๋ายเลย)
ถ้าเป็นผู้ชายอาจเปลืองเงินในกระเป๋า

แต่ก็อีกอ่ะนะ ฝรั่งมันจึงไม่ค่อยคิดที่จะแต่งงานกัน
ก็ในเมื่อ อยู่ ๆ กันมาแล้ว
แล้วจะตำน้ำพริกละลายแม่น้ำทำไม?

สมัยนี้ ความรัก มักไม่ค่อยมีคำว่า "อดทน"
กันแล้ว เพราะต่างคน ต่างพึ่งตัวเองได้
แล้วฉันจะแต่งงานเพื่อทน? อะไรหรือ?
จะว่าไปชีวิตคู่ นี่รู้สึกยุ่งยาก ซับซ้อน
กว่าชีวิตโสดมากเลยนะ
แต่ทำไม พ่อกับแม่เรา ถึงอยู่กันมาได้นาน ๆ
ขนาดนี้? หรือว่ายุคสมัยของสังคมมันเปลี่ยนไป
แล้วคุณล่ะ เมื่อไรจะแต่งงานสักที!!!

จากบทความข้างต้น เพิ่มเติมธรรมะจาก
คุณดังตฤณ นักเขียนแนวธรรมะชื่อดัง ให้ ^_^

แค่ถือศีล 5 และทำทานสามารถไปนิพพานเลยได้ไหม(ไม่เกิดอีก)





คิดแล้วเขียน :)V

วันอังคารที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2553

กรรมที่ทำในสิ่งไม่ถูกต้อง




พอดีวันนี้ได้ฟังธรรมของแม่ชีทศพร บางส่วน
เกี่ยวกับกรรมในการหลบเลี่ยงภาษี ทำให้เราป่วยได้

บางคนอาจเห็นว่ากรรมเป็นเรื่องที่เราไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า
ที่แม่ชีพูดมาเชื่อได้หรือไม่ แต่แม่ชีถือศีล
ข้าพเจ้าคิดว่า ถ้าแม่ชีโกหก กรรมก็ตกอยู่ที่แม่ชี
แต่ถ้าเราดูแคลนนักบวช กรรมก็ตกอยู่ที่เราเช่นกัน

กรรมบางอย่างเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็นก็จริง
นอกจากผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบเท่านั้น
ที่จะมองเห็นทะลุกรรมได้
เรื่องนี้ บางคนหาว่าโง่งมงาย (มองทะลุกรรม)
แต่ถ้าเป็นเรื่องที่เกิดกับคนในครอบครัวตนเอง
คงไม่อาจเห็นว่า สิ่งที่แม่ชีพูดมาทั้งหมดเป็นสิ่งเท็จได้

เรื่องบางเรื่อง ถ้าเรารู้แล้วไม่สบายใจ ก็อย่าไปรู้เลย
คนที่มองเห็นชะตากรรมของคนอื่นได้
ไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไป เพราะถ้าเป็นคนใกล้ตัว
แล้ววันนึง เราเห็นว่าคนนั้นใกล้จะตาย
คงรู้สึกทุกข์ใจมิใช่น้อย (ด้วยความรู้สึกถึง
ความผูกพัน) ต่คนที่เขาปฏิบัติธรรม
เขาจะมีวิธีในการเห็น คือเห็นแล้ววาง
ไม่เข้าไปจับในทุกข์
ของผู้อื่น
เขาจึงสามารถดูกรรมของคนอื่นได้หมด

แล้วตนเองไม่รู้สึกเป็นทุกข์กับเขาไปด้วย

คนที่ระลึกชาติได้
ไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไป
เช่น ถ้ามีผู้ชายเคยเป็นสามีของผู้หญิงคนนึง
แต่ด้วยชะตากรรม ทำให้เขาตายไป
แล้วไปเกิดเป็นเด็กในละแวกบ้านใกล้เรือนเคียง
เขาจำภรรยาของเขาได้ แต่เขาจะอยู่ในสถานะใด
ในเมื่อ สภาพร่างกายของเขาไม่ใช่สามี
ของผู้หญิงคนนั้นอีกต่อไป ....เป็นเรื่องที่น่าคิดนะ
เขาคงจะรู้สึกทุกข์ใจมิใช่น้อย

แต่ถ้าคนที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบรู้กรรม
แล้วเขาบอกเล่าถึงสาเหตุผลกรรมอันนั้น
ก็เป็นผลดีในหลาย ๆ แง่
เพราะสิ่งที่เขาเห็นแล้วนำมาบอกเล่าต่อ
สิ่งนั้น ก็จะได้เป็นครูสอน(วิทยาทาน)

เตือนใจให้คนอื่นไม่คิดประกอบกรรมชั่ว
แบบที่คนอื่นได้รับผลกรรมที่ทำอยู่ปัจจุบันนั่นเอง

และข้าพเจ้าก็เชื่อว่า เงิน หรือสิ่งของ หรืออะไรก็แล้วแต่
ที่ได้มาจากการประพฤติไม่สุจริต
มันมักจะอยู่กับเราไม่ได้นาน
เช่น
เงินที่คนเขาโกงเราไป
มันก็ต้องจ่ายคืนกลับไปที่อื่น ไม่รูปใดก็รูปหนึ่ง
เพราะมันเป็นของร้อน สิ่งอะไรที่ได้มาง่ายแบบนั้น
มันก็จะสลายหายไปได้ง่ายที่สุด
เพราะฉะนั้น ไม่ไปต้องแช่งใครหรอก
การกระทำมันให้ผลตามวาระ ของมันเอง

เรื่องกรรมเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
สุดแต่ใจ จะไขว่คว้า ....

คิดแล้วเขียน :)V

วันเสาร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2553

เปลี่ยนกรรมใหม่เพื่อชีวิตที่ดีกว่า

  • กรรมกับครอบครัว
กรรมที่ทำให้ไม่มีลูกหลาน

มีเหตุมาจาก เคยทำร้ายชีวิตลูกของสัตว์อื่น
พรากลูก พรากพ่อพรากแม่คนอื่น
รวมทั้งข่มเหงรักแกลูกของคนอื่น
ตลอดจนไม่พร้อมของร่างกายแม่ และไม่มีสัตว์ (ปฏิสนธิจิต)
ที่จะมาเกิดในครรภ์นั้นด้วย

ให้เปลี่ยนกรรม ด้วยการรักษาศีลให้มั่นคง ลดการกินเนื้อสัตว์
และหมั่นทำบุญด้วยการปล่อยปลา ปล่อยนก บริจาคทรัพย์ให้กับหน่วยงาน
หรือมูลนิธิสัตว์ หรือเด็กกำพร้าอย่างต่อเนื่อง และใช้แรงอธิษฐาน
ขอด้วยความตั้งใจ และวาดภาพแห่งความสำเร็จไว้ในใจ

กรรมที่ทำให้คนในครอบครัวสร้างปัญหาบ่อย ๆ

มีเหตุมาจาก ขาดความยุติธรรม มีความลำเอียงกับคนในครอบครัว
ตลอดจนเอารัดเอาเปรียบคนในครอบครัว สร้างความลำบากใจให้พ่อแม่
และญาติ ขาดความเมตตากับสัตว์ที่เป็นบริวาร

ให้เปลี่ยนกรรม ด้วยการหมั่นสวดมนต์ไหว้พระ และแผ่เมตตาให้กับ
ผู้ที่สร้างความลำบากใจให้ มีโอกาสให้บวชเป็นพระ บวชสามเณร
หรือบวชชีพราหมณ์ ด้วยอานิสงค์ที่มากจะช่วยให้ครอบครัวได้
โดยใช้หลักพรหมวิหาร ๔ คือ มีเมตตา กรุณา มุติตา อุเบกขา
และไม่ลำเอียงกับคนในครอบครัว ตลอดจนขออธิษฐานให้
ครอบครัวมีความสุขมากขึ้นด้วย

  • กรรมกับความรัก
กรรมที่ทำให้ผิดหวังความรัก
มีเหตุมาจาก ชาติที่แล้วไม่มีความจริงใจให้กับใคร

ให้เปลี่ยนกรรม
ด้วยการประพฤติปฏิบัติดีทั้งต่อหน้าและลับหลัง
แล้วใช้หลักธรรมะที่เรียกว่า "สัจจะ" ในการดำเนินชีวิต
ตนเองให้มากยิ่งขึ้น

กรรมที่ทำให้อาภัพคู่หรือไร้คู่
มีเหตุมาจาก ผิดศีลข้อ 3 เป็นประจำ

ให้เปลี่ยนกรรม
ด้วยการสร้างความจริงใจให้กับชีวิตตัวเอง
และไม่ล้อเล่นกับเรื่องความรักของคนอื่น
หรืออิจฉาความรักของคนอื่น
จนทำให้ความสัมพันธ์นั้นถึงขั้นแตกแยกกัน

กรรมที่ทำให้เป็นเมียน้อยหรือเมียเก็บของคนอื่น
มีเหตุมาจาก เคยผิดศีลข้อ 3 มาก่อน ทำลายความสัมพันธ์
ที่ดีงามของคู่รักของคนอื่นอยู่บ่อย ๆ

ให้เปลี่ยนกรรม
ด้วยการอธิษฐานขอให้สมหวัง และหมั่นรักษาศีล 5 ให้มั่นคง
โดยเฉพาะข้อ 3 ตลอดจนการทำบุญของที่เป็นคู่
เช่น ถวายธงคู่ ธูปคู่ เชิงเทียนคู่ อย่างใดก็ได้ที่มีประโยชน์กับทางวัด
หาโอกาสบวชชีพราหมณ์ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
เพื่ออุทิศให้กับเจ้ากรรมนายเวร ที่เคยล่วงเกินมาให้ได้รับกุศล
ตลอดจนไปช่วยงานแต่งงานของคนอื่นด้วย

  • กรรมกับความมั่งคงของชีวิต
กรรมที่ทำให้ต้องอยู่โดดเดี่ยวยามบั้นปลายชีวิต
มีเหตุมาจาก กักขังชีวิตของผู้อื่นมาก่อน หรือทรมานให้ชีวิตอื่น
ต้องแยกออกจากกันด้วยเจตนาที่เป็นกรรมชั่ว

ให้เปลี่ยนกรรม ด้วยการทำบุญปล่อยปลา ปล่อยนก
ไถ่ชีวิตสัตว์ นำเด็กกำพร้ามาเลี้ยง หรืออุปถัมภ์เด็กที่ขาดการศึกษา
และรู้จักร่วมทำบุญกุศลกับผู้อื่นอยู่เสมอเมื่อมีโอกาส
  • กรรมกับการงาน
กรรมที่ทำให้ไม่เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
มีเหตุมาจาก เคยชักจูงคนอื่นให้ทำชั่ว หรือล่อลวงคนอื่น
ให้เดินทางในเส้นทางที่ผิด ตลอดจนเบียดเบียนความเจริญของคนอื่น

ให้เปลี่ยนกรรม ด้วยการรักษาศีล 5 ให้เคร่งครัดขึ้น
ถือศีล 8 ในวันพระ ร่วมทำบุญเมื่อได้ข่าวจากคนอื่น หรืออนุโมทนา
ในความดีของคนอื่น และหมั่นทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน
อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรอย่างสม่ำเสมอ

คนเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกัน New

คนวัยเดียวกัน หรือเป็นฝาแฝด หน้าตาเหมือนกันแต่ความรู้
ไม่เท่ากัน บางคนมักถูกตำหนิด้านความไม่รู้ ความไม่เท่าทัน
คนอื่นอยู่บ่อย ๆ มักตกเป็นลูกน้อง หรือต้องเป็นเหยื่อให้กับผู้ที่
เหนือกว่าเพราะเกิดมาในชาตินี้เราได้นำสิ่งเดิมมาด้วย คือ เวทนา
(ความรู้สึก) สัญญา(การจำได้) สังขาร (สิ่งที่ปรุงแต่งใจ)
และวิญญาณ(การรับรู้)เว้นไว้แต่รูปเดิม คือ ร่างเดิม ของเรา
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าแต่ละคนนั้นแตกต่างกันไปอย่างชัดเจน

ความไม่เท่าทันคนอื่น หรือหัวไม่ดีนั้น หากมองด้วยเรื่อง
ของกรรมแล้ว
ก็มีสาเหตุที่เกี่ยวข้องด้วยสิ่งเหล่านี้
  • การชอบดูถูกคนอื่นที่ด้อยกว่า หรือการอิจฉาผู้ที่เหนือกว่า
  • คนที่ขัดขวางด้านการศึกษาของคนอื่น (ในปัจจุบันที่เห็น
    ได้ชัดคือ ผู้ที่เผาทำลายโรงเรียน หรือก่อความไม่สงบในสังคม)
  • ไม่นิยมส่งเสริมการศึกษา แถมยังดูถูกผู้ที่แสวงศึกษา
  • ไม่นิยมคบผู้รู้ (บัณฑิต) แต่นิยมคบคนพาล
  • เวลาผู้อื่นหมั่นท่องสวดมนต์ไหว้พระ มักคิดว่าเป็นเรื่องงมงาย
    ไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ
  • แสดงความอวดดีกับผู้รู้ทั้ง ๆ ที่ตนเองไม่รู้จริง
  • การดูถูกผู้ใหญ่กว่าด้อยการศึกษา ไม่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน
  • ไม่ยอมแสวงหาความรู้ประดับสติปัญญาของตนเอง

    ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นประเด็นที่เกี่ยวกับการศึกษา
    การแสวงหาความรู้

    หากว่าเป็นเรื่องในอดีตที่ยังส่งผลมาปัจจุบันชาติ
    ก็ให้สร้างกรรมใหม่
    ด้วยการหมั่นแสวงหาความรู้ให้มาก ๆ
    ด้วยการคบหาบัณฑิต หรือผู้รู้
    ในสังคมนั้น
    และเรียนรู้สิ่งที่ท่านเหล่านั้นปฏิบัติมาด้วยความตั้งใจ

    รวมทั้งการรู้จักแสวงหาความรู้ที่หลากหลายในปัจจุบัน
    และใช้วิธีสร้างกรรมดีเป็นแรงหนุนนำ
    เพื่อให้ประสบความสำเร็จยิ่งขึ้น

    ด้วยการทำกรรมดี ต่าง ๆ ต่อไปนี้อย่างสม่ำเสมอ

  • ส่งเสริมด้านการศึกษาทุกรูปแบบ ทั้งบริจาคทรัพย์
    เพื่อการศึกษา อุปกรณ์การศึกษา ส่งเสริมให้มีการเรียนรู้ขึ้น
    เช่น การอบรมให้ความรู้ในด้านต่าง ๆ เพื่อให้ผู้อื่นมีโอกาส
    ได้เข้ามาศึกษาด้วย

  • บูชาและปฏิบัติตามพระราหุล ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้รักการศึกษา
    มากที่สุดด้วยการทำตนเป็นที่รองรับความรู้ใหม่ ๆ
    ทุกวันเมื่อเริ่มวันใหม่

  • หมั่นถวายหนังสือธรรมะให้แก่พระสงฆ์ และหน่วยงานต่าง ๆ
    เช่น ห้องสมุด โรงเรียน โรงพยาบาล วัด เป็นต้น

  • หมั่นศึกษาด้วยการฟัง พูด อ่าน และเขียนให้มาก ๆ
    โดยมีผู้รู้คอยชี้แนะ

  • หมั่นสวดมนต์อยู่เนืองนิตย์

  • ยกย่องผู้รู้ และเรียนรู้วิถีทางของท่านเหล่านั้นอย่างตั้งใจ

  • การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอย่างน้อย ๑๕ วันต่อปี

หลังจากที่ได้ส่งเสริมและช่วยเหลือด้านการศึกษาแล้ว
ขอให้อธิษฐานจิตด้วยความตั้งใจว่า "ขอให้ข้าพเจ้ามีสติ
ปัญญายิ่ง ๆ ขึ้นไปทั้งชาตินี้ และชาติหน้า อันจะก่อให้เกิด
ประโยชน์แก่ตัวข้าพเจ้าและผู้อื่น เพื่อความสุขสรรพชีวิตตลอดไป"

ข้าพเจ้าขอนอบน้อมธรรมะของพระท่านนี้
เป็นหนทางช่วยขจัดปัญหาให้ตนเองและผู้อื่นให้เบาบางลง

เจตนาเพื่อเผยช่วยเผยแพร่เป็นธรรมทานด้วยส่วนหนึ่ง
และส่วนหนึ่งให้ผู้ที่สนใจศึกษาธรรมะ

หาอ่านรายละเอียดเนื้อหาเพิ่มเติม
ได้ที่หนังสือ "เปลี่ยนกรรมทำแล้วรวย"
ของ พระไทร ไทรสังขชวาลลิน

คิดแล้วเขียน :)V