วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2552

เงิน เงิน เงิน

ตอนเด็ก ๆ ข้าพเจ้า
มักชอบดูภาพยนตร์กับพี่เลี้ยง
ซึ่งอายุห่างจากข้าพเจ้าเพียงไม่กี่ปี
ด้วยความที่พ่อกับแม่
นำข้าพเจ้ากับพี่มาฝากป้ากับอาให้เรียนหนังสือ

ด้วยความที่อยู่ไกล ไม่มีคนซักเสื้อผ้าให้
เพราะยังเด็กมาก เลยต้องจ้างพี่เลี้ยงให้มาช่วยดูแล
ช่วยซักเสื้อผ้า และทำงานบ้านแทนให้
สมัยก่อนยังไม่มีเครื่องซักผ้า ถ้ามีก็คงจะราคาแพงมาก
จ้างพี่เลี้ยงคนอีสาน ราคาไม่แพงเท่าไรมั้ง

พี่เลี้ยงเลยคล้ายเป็นเพื่อนเล่นของข้าพเจ้าในตัวด้วย
ข้าพเจ้าเลยรับประทานส้มตำเป็น
และฟังภาษาอีสานพอได้ อิอิ :))
เพราะทหารเกณฑ์ กับพี่เลี้ยง เป็นคนอีสาน
ภาคเดียวกัน คุยกันก็เว่ากันมันส์ไปเลย ^__^

ส่วนเรื่องภาพยนตร์สมัยก่อน
มักจะชอบออกแนวหนังเพลง ไม่รู้เป็นไรเหมือนกัน

สงสัยจะติดจากยาย ที่ชอบพาดูหนังแขกตามโรงตอนเล็ก ๆ ^__^
ดีที่ว่าหนังไทย ถึงจะเป็นหนังเพลง แต่ก็ไม่มีบทพระเอกนางเอก
วิ่งไล่กันเกาะตามต้นไม้จนเหนื่อย 555
ภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ที่จำได้ คือเรื่อง เงิน เงิน เงิน
มีเพลงประกอบที่ฟังแล้วให้ข้อคิดดีนะ

"เงิน เท่านั้นเสกสรรค์ให้เราได้สบายทุกคนเป็นใหญ่ได้ด้วยเงิน...


เงิน เงิน เงิน ผู้คนบูชา
มีเงินเงินพาอุราป่วนปั่น
ยามเฮงเรารวยยามซวยบุกบั่น
ต่างกัดฟัน หาเงินกันไป
คนชอบเราก็เพราะเงิน
เพราะเงินเป็นสิ่งที่ต้องใจ
เงินนั้นคือสื่อสายใย
หัวเราะร้องไห้ได้ด้วยเงิน
เหล็กที่แข็งเราง้างด้วยเงินอ่อนทันใด
ร้อนเงินพาร้อนใจ
ขวนขวายเท่าไรไม่พอ
เงิน เงิน เงิน"

มีอยู่ช่วงนึง ที่ข้าพเจ้าฮิต ซื้อตำราเกี่ยว ๆ เงิน ๆ ทอง ๆ มาอ่าน
พ่อพูดว่า ไปซื้อมาอ่านทำไมให้เสียเงินเสียทอง
สมัยก่อนไม่เห็นต้องอ่านเลย เขาก็รวยกันได้
ก็อย่าใช้มากกว่า เงินที่หาได้ซิ มีเงินอยู่ 1 บาท
แต่ใช้ 2 บาท แล้วมันจะรวยได้อย่างไร
หลักง่าย ๆ แค่นี้ ต้องไปซื้อมาอ่านไม่เห็นจะเข้าท่าเลย ….ฯลฯ
แล้วพ่อก็บ่นข้าพเจ้ากระป่อด กระแป่ด ไปตามประสาคนสูงวัย ^_^
แต่ก็จริงอย่างที่ท่านพูดนั่นแหล่ะ!

พ่อข้าพเจ้าค่อนข้างเป็นคนประหยัด
ยิ่งสูงวัยขึ้น ท่านยิ่งประหยัดในการใช้จ่ายมากขึ้น
ลูก ๆ ให้เงินใช้ ก็ไม่ค่อยจะใช้ เก็บลูกเดียว
บ่นว่าเสียดายเงิน เวลาไม่มี จะไปบากหน้า
ยืมใครเขาได้ล่ะ พี่น้อง ก็พี่น้องเห่อะ!
เงินทอง ไม่พี่น้องด้วยหรอกนะ
เราต้องยืนด้วยตัวเอง รู้จักใช้จ่าย
ยิ่งถ้าพี่น้อง ต่างไปมีครอบครัวของตัวเองแล้ว

เขาก็คงช่วยเหลือเราไม่ได้มากนักหรอกนะ
เพราะต่างคนก็ต่างมีภาระของตนทั้งนั้น
ท่านมักเตือนข้าพเจ้าบ่อย ๆ คงเห็นว่า
ข้าพเจ้าชอบยืมตังค์พี่สาวได้กระมัง ^_^


ยิ่งพ่อเห็นลูกใช้เงินหมดเปลืองไปกับสิ่งไม่จำเป็น
ก็อดตำหนิไม่ได้
คนแก่ก็เป็นห่วงลูก ๆ หลาน ๆ แบบนี้นี่แหล่ะ
ท่านมักจะบอกว่า มีเงิน มีทอง ก็เก็บ ๆ รองรังไว้บ้าง
เผื่อฉุกเฉิน เวลาเจ็บป่วยบ้างนะ….

เอ้! แล้วแบบนี้ เราจะไปเที่ยวได้หรือนี่
คงสนุกตายล่ะ หึ หึ หึ

ว่าจะพูดเรื่องเงิน ๆ แต่ไฉนไปลงที่เจ็บป่วยได้ล่ะเนี่ยะ!
ก็เงินสำรองงัย! (หาเรื่องจบจนได้แหล่ะน่า)
คิด คิด เลยคิดหนัก หนัก
ไม่ค่อยเบาเลยอ่ะจิ
^__^

โดย คิดแล้วเขียน V:)

วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2552

ทางเลือก

ในชีวิตประจำวัน ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ
ว่าจะเลือกเส้นเดินทางไหน
อย่างบางครั้ง เราสามารถกลับบ้านได้หลายเส้นทาง
ก็อยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง
บางวันก็เบื่อ จะหนีไอ้พวกหมาเฝ้าประตู
(ผลัดกันเฝ้า เช้า กลางวัน และเย็น)
ก็ต้องทุลักทุเล รีบกลับกับเพื่อน
ชีวิตนี้ เกิดมาสวย(ยังไม่เสร็จ)
ก็เลยซวยแบบนี้นี่เอง 555 :P

ตอนนี้ข้าพเจ้ากำลังสับสนวุ่นวายชีวิตเป็นอย่างยิ่ง
ระหว่างจะไปปฏิบัติธรรมช่วง 12 พ.ย.-19 พ.ย.52 นี้กับแม่
และช่วงธันวาคม ที่บ้านจะไปเที่ยวคุนหมิง ตาหลี่ หลีเจียงกัน
เห็นเขาบอกว่าสวย (ข้าพเจ้าไม่เคยคิดจะไปด้วยอ่ะจิ)
เราก็พักเที่ยวมานานแล้วเหมือนกันนะ อยากไปทั้ง 2 แห่งเลย
แต่ลาหยุดบ่อย ๆ เจ้านายคงเขม่นหน้าดู
อีกอย่างต้องใช้ตังค์เยอะ
ถ้ามีสปอร์เซอร์ออกให้ก่อนก็ดีอ่ะดิ อิอิ :))
(แต่ดูแล้วเศรษฐกิจแบบนี้
คงไม่มีใครเซ่อมาช่วยออกหรอก 555 ท่าจะยาก!)

คิดแล้วปวดหัว ตัดสินใจไม่ได้สักอย่าง
ไปทำอย่างอื่นดีกว่า แล้วค่อยว่ากันใหม่
สงสัยไม่ได้ไปทั้ง 2 ทางแน่เลย
หวังอะไรไม่เคยได้อย่างใจเล้ย!
มีอุปสรรคตลอด ให้ตายเห่อะ!
งั้นก็ไม่ต้องคิด และไม่ต้องหวัง

ถ้าจะได้ไปมันก็คงได้ไปเองนั่นแหล่ะ
คิดแล้วปวดสมอง อย่าคิดดีกว่า
(เดี๋ยวผมร่วง :P)

สงสัยคืนก่อนฝันว่า ลืมกระเป๋าเงินวางไว้
ทำเงินหมื่นหาย (ตื่นมายังรู้สึกเสียดายอยู่เลย)
เอ้! จะเป็นลางบอกเหตุให้เราเสียเงินหรือเปล่านะ?

ปล. จุ๊ ๆ เงียบไว้ เดี๋ยวคอยดูนะว่า
จะมีพวกอยากจัดโปรแกรมไปคุนหมิงบ้าง ไม่เชื่อคอยดูดิ!

โดย คิดแล้วเขียนV:)

วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2552

การเรียนรู้จากประสบการณ์ย่อมดีกว่า "ตำรา"

หลายบริษัทฯ ต้องการพนักงานที่เคยผ่านงาน
หรือมีประสบการณ์ด้านต่าง ๆ มาแล้วไม่น้อยกว่ากี่ปี ๆ ก็ว่าไป
ผู้ที่เปลี่ยนงานใหม่ ในสายตาของคนไทย
มองว่าเป็นเรื่องไม่ดี อาจหมายถึงว่า คนที่เปลี่ยนงานบ่อย
คือคนที่มักทำงานร่วมกับผู้อื่นไม่ได้ หรือ????? มากมาย

แต่ในสายตาและความคิดของข้าพเจ้าคิดว่า
การเรียนแต่ตำราอย่างเดียวบางทีอาจทำให้ไม่เห็นภาพ
เมื่อเจอปัญหาจริง ๆ ตำราที่เขียน ๆ ไว้อาจใช้ไม่ได้
หรือใช้ได้ไม่ทันเหตุการณ์ต่าง ๆ

สมัยนี้คนส่วนมากแห่ไปเรียนกันสูง ๆ
ความรู้ก็จากตำราเดียวกัน สถาบันเดียวกัน
แต่สิ่งที่จะทำให้คนแตกต่างจากคนอื่นได้
นั่นคือ ตัวประสบการณ์นี่เอง (ชั่วโมงบิน)

บางคนจบนอก จบด๊อกเตอร์ แต่สอนงานคนอื่นไม่ได้
เพราะคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่องเพราะ Ego สูง
พี่สาวข้าพเจ้าก็เคยเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเหมือนกัน
เพราะคิดว่าตนเอง มีความรู้เยอะกว่าชาวบ้าน
ไม่รับฟังความคิดเห็นคนอื่น
จริง ๆ แล้ว เวลาพูด บอกกล่าวนั้นง่ายมาก
แต่ในทางปฏิบัติเป็นไปได้ยากยิ่ง
หากไม่ได้ทำงาน หรือสัมผัสงานเองก็มักจะไม่เจอปัญหาหรอก

ก็เหมือนช่างเทคนิค
ที่เรียนมาน้อยแต่มีประสบการณ์ในด้านการทำงานสูง
เวลาเจอปัญหาในการทำงาน เขาสามารถแก้ไขได้ดีกว่า
เจ้านายบางคนที่ไม่ได้ไต่ระดับขึ้นมา พอจบมาปุ๊ป
ได้ตำแหน่งใหญ่โตเลย ...พวกนี้มักจะแก้ไขปัญหาไม่ค่อยได้

พี่สาวเคยคุยเรื่องนี้กับข้าพเจ้า
ว่าเห็นเด็กสมัยนี้ขยันเรียนเพิ่มเติมกันเข้าไป
แต่เวลาไปทำงานทีไร โทร.มาปรึกษา
ปัญหากับพี่สาวข้าพเจ้าบ่อย ๆ
คือ เรียนแต่ในตำราอย่างเดียว
สังคมภายนอกไม่รู้
เวลาไปเจอปัญหาแก้ไม่ได้
ยิ่งทำงานกับคนต่างชาติ
วัฒนธรรมของเขาไม่เหมือนกับของคนไทย
ยิ่งมีข้อจุกจิกมากมาย
สรุปแล้วว่า บางคนเรียนตามเพื่อน
จบออกมาแล้วไม่ได้ใช้วิชาชีพที่เรียนมา
นำมาใช้ประโยชน์ให้สูงสุด

ข้าพเจ้านำนิทานธรรมะมานำเสนอ
ลองอ่านดูเล่น ๆ เพื่อให้ข้อคิด
สำหรับเด็กรุ่นใหม่ ที่คิดว่ารู้
คิดว่าเจ๋งกว่าคนอื่นนั้น เป็นอย่างไร?

เรามักจะได้ยินใครต่อใครพูดเสมอว่า คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เมื่่อเกิดมาแล้ว เลือกทางเดินชีวิตได้ มีบางคนเลือกไม่ได้เพราะมัันเป็น "กรรมลิขิต" คำว่า "กรรม" แปลว่า การกระทำรวมไปถึงกรรมในอดีตที่จะต้องเกี่ยวข้องกับการกระทำในปัจจุบันนี้ด้วย มีบางชีวิตที่ยังไม่พบคำตอบให้กับตัวเองว่า "เกิดมาทำไม !"

เรื่องของชายหนุ่มที่จะเล่าต่อไปนี้ อาชีพที่เขากำลังทำอยู่คงไม่ใช่เพราะความต้องการ แต่เป็นเพราะความจำเป็นบังคับให้เขาต้องทำ เขามีอาชีพแจวเรือจ้าง นับแต่เช้าจรดเย็นต้องกรำแดด กรำฝน ต้องเหน็ดเหนื่อยที่จะต้องรับผู้โดยสารจากฝั่งนี้ไปฝั่งโน้น... จนกว่าจะหมดเวลาของแต่ละวัน ขณะนี้มันเป็นเวลาจวนจะพลบค่ำ ดวงตะวันกำลังจะลับเหลี่ยมฟ้าทางทิศพายัพ

มีชายร่างสมาร์ทแต่งตัวภูมิฐานผูกเนคไท เดินตรงมาแล้วบอกว่าเจ้าของเรือว่าจะข้ามไปทำธุระ เด็กหนุ่มเจ้าของเรือกล่าวต้อนรับให้ลงนั่งไปในเรือ เขารีบจ้ำรีบพายเรือด้วยความชำนาญ แขกผู้มาเยือนเริ่มเปิดบทสนทนา

"เฮ้ย! เอ็งนี่ ต้องทำงานหนักน่าเห็นใจนะ แสดงว่าเอ็งนี่เรียนน้อยด้อยการศึกษา จึงต้องพาตัวลำบาก คนที่ไม่ได้รับการศึกษาก็เท่ากับตายไปแล้วครึ่งตัว..."

"ครับ ครอบครัวผมยากจน พ่อไม่มีเงินส่งเรียน ผมจึงต้องยอมลำบาก แต่มันเป็นอาชีพสุจริต ที่ผมพอใจ"

"เอ็งรู้มั๊ย... ข้านี่ด๊อกเตอร์ เว้ย"

พูดสนทนากันเพียงชั่วครู่ ลมเริ่มกรรโชกแรง ฝนเริ่มเทลงมา เรือทำท่าจะล่ม มองดูด๊อกเตอร์หน้าจืด...

"เฮ้ย ! เรือเอ็ง จะล่มหรือเปล่าว๊ะ"
"ไม่แน่ครับ อาจจะล่มก็ได้ ท่านด๊อกเตอร์ว่ายน้ำเป็นหรือเปล่าล่ะ"
"ไม่เป็น ไม่เป็น โว้ย"
"เมื่อครู่นี้ ท่านบอกกับผมว่า คนเรียนน้อยก็เท่ากับตายไปแล้วครึ่งตัว แต่ท่านนั้นแหละ กำลังจะตายทั้งตัว..."

ด๊อกเตอร์ทั้งเจ็บ ทั้งอายที่ถูกเด็กมันหยาม ครู่ต่อมา... เรือล่ม จมหายไปกับสายน้ำ.....
เด็กหนุ่มเจ้าของเรือพาด๊อกเตอร์เข้าฝั่่งได้อย่างทุกลักทุเล

คติธรรม : "มีความรู้ หรือจะสู้ ผู้มีคุณธรรม"

เก็บมาจาก
หนังสือนิทานธรรมะ ชนะความเครียด(อินเทอร์เน็ต)

-----------------------------------------------------------
สมัยนี้คนมีเงิน ก็ขยันเรียนกันเข้าไป
แต่จริง ๆ แล้วเรียนกันไป
แล้วสามารถนำความรู้ที่เรียนมานั้น
เป็นประโยชน์แก่คนอื่นได้หรือเปล่า?

ด๊อกเตอร์ในบ้านเราเลยเกลื่อนเมือง
แต่ถ้าให้ทำงานแล้ว ทำไม่เป็น
จึงมักมีเห็นอยู่บ่อย ๆ (ดีแต่เปลือก)
ระหว่างคนที่ความรู้น้อยด้อยปัญญา
แต่แก้ไขปัญหาได้
กับคนความรู้มากแต่เอาตัวไม่ค่อยรอด
แบบไหนจะดูดีกว่ากันล่ะเนี่ยะ!

เพราะฉะนัั้น อย่าได้ไปดูถูกคนอื่น
ว่ามีความรู้ด้อยกว่าตน
เพราะยังมีสิ่งอื่น ๆ ในโลกนี้อีกมากมาย
ที่หลาย ๆ คนอาจยังไม่รู้

คนที่คิดว่ารู้แล้ว อาจยังไม่รู้ก็ได้

โดย คิดแล้วเขียน V:)

มองรอบด้านผ่านวิกฤติ : ว.วชิระเมธี

หลายวันก่อนข้าพเจ้าเจอหนังสือธรรมะเล่มใหม่
เรื่อง "การเดินทางของความคิด 1 "
(เข้าใจว่าอาจมีเล่มต่อ)
เป็นการถกสัจธรรมชีวิตกับนักคิดผู้มีชีวิตชัดเจน
จากสถานีวิทยุอสมท. FM 96.5 คลื่นความคิด

เลยซื้อเก็บไว้อ่าน 1 เล่ม
และซื้อให้พี่ที่รู้จักอีก 1 เล่ม
วันนี้ขอยกตัวอย่างบทความที่สุดฮิต
สำหรับวัยรุ่นบางคน ที่อกหัก รักคุด ตกงาน ^__^

เราควรมีหลักยึดอย่างไร เมื่อกำลังจะถูกทิ้งทั้งจากความรักและการงาน?

ความคิดเดินทาง ของพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี ให้แนวคิดกับเรื่องนี้ว่า

คนที่ถูกทิ้งมีอยู่ 2 ประเภท

1. มีคุณสมบัติพอที่เขาจะทิ้ง
คือ คนในบริษัท หรือคนที่คบกันอยู่
ไม่ใช่จะทิ้งกันง่าย ๆ จะถูกทิ้ง
มันต้องมีที่มาที่ไปพอสมควร
เขาไม่ทิ้งคนอื่นแล้วเขามาทิ้งเรา
ก็แสดงว่าคุณสมบัติเข้าขั้น

2. ได้รับความอยุติธรรม เขาจึงทิ้ง
คือฉันไม่ได้แย่หรอก แต่ถูกกลั่นแกล้ง
หรือว่าบริษัทอาจจะไปไม่รอด ก็เลยตัดสินใจ
สละเรือ อาตมาก็ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลใดจึงถูกทิ้ง
ที่วัดป่าของอาตมา
อาตมาเดินมาแล้วสังเกตดูต้นมะกอกสูงชะลูดขึ้นไปไม่เหลือใบเลย
เห็นลูกมะกอกเต็มต้นไปหมด อาตมาก็คิดว่า
ทำไมมันสลัดใบ ก็เพราะจะเข้าหน้าแล้ง
จะต้องยอมทิ้งบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้อยู่รอด

ในชีวิตของเรามีการได้ มีการเสีย
มีการรับ มีการทิ้งอยู่ในชีวิตเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว
เราทิ้งบางสิ่งบางอย่างไป ไม่ได้หมายความว่า
เราต้องแย่ไปด้วย
บางทีใบไม้ที่ยอดปลิดตัวเองทิ้งขั้วลงไป
ทิ้งจมอยู่ใต้ต้นไม้ ก็เพื่อที่จะเป็นปุ๋ยให้กับต้นไม้
การที่เราทิ้งไป บางครั้งทำให้เราได้เจอสิ่งที่ดี
ไม่ได้หมายความว่า ทิ้งไปแล้วไปเจอสิ่งที่เลว

อาตมาเคยรู้จักดาราคนหนึ่ง ตอนนี้ยังโลดแล่นแสดงหนัง
แล้วก็มีชื่อเสียงในระดับที่เรียกว่า ดาวค้างฟ้า
วันหนึ่งก็มาหาอาตมา แล้วก็เล่าชีวิตให้ฟังว่า

ครั้งหนึ่งเคยถูกผู้กำกับใหญ่ทิ้ง ทั้ง ๆ ที่เรียกไปคุยก่อนใครเพื่อน
ว่าให้เล่นหนังใหญ่ กลับมาบ้านร้องไห้ 3 คืน ไป ๆ มา ๆ
โชคดีได้เล่นหนังที่ไม่ได้ใหญ่หรอก แต่ว่าเงินดีกว่าเดิม

แล้วตั้งแต่นั้นมา งานเข้าไม่เคยขาด
ปรากฎว่าเพื่อนที่มาเสียบแทนเธอปีนั้นได้เล่นหนังใหญ่
เรื่องนั้นเพียงเรื่องเดียว ในขณะที่เธอได้เล่นหนังเล็ก ๆ ธรรมดา
6-7 เรื่องต่อปี เฉลี่ยเป็นเงินเป็นทองแล้ว ชื่อเสียงมากกว่า
คนที่มาเสียบแทนเธอ 1 เรื่องเสียอีก

บางทีเราอย่าไปสรุปว่า การที่เราพลาดอย่างหนึ่งแล้ว
จะไปต่ออย่างอื่นไม่ได้
อาตมาขอเล่าเรื่องจริงของอาตมา
ตอนที่อาตมาภาพเป็นสามเณรน้อย
วันหนึ่งอาตมาเก็บข้าวเก็บของจะไปอยู่กรุงเทพฯ
แต่ก่อนเดินทางหลวงพ่อเรียกอาตมาไปหาบอกว่า
ปีหน้าค่อยไปได้ไหม อาตมาร้องไห้เลย
หาว่าหลวงพ่อกลั่นแกล้งเรา
เราจะไปเรียนมหาวิทยาลัยสงฆ์ไม่ให้เราไปเรียน
แต่เพื่อนเราปล่อยไปทีละ 5 รูป
แล้วหลวงพ่อให้ไปอยู่วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี

ปรากฎว่าที่นั่นเป็นสำนักวิปัสสนากรรมฐาน
อาตมาถูกปล่อยเกาะอยู่ที่นั่น 2 เดือน
พออาตมาได้เรียนวิปัสสนากรรมฐาน
อาตมาร้องไห้เลย
เพราะอาตมาได้รู่ว่า นี่คือ
วิชาที่ประเสริฐที่สุดที่พระพุทธเจ้าสอนเราไว้
เป็นพระ ถ้าไม่ได้เรียนวิปัสสนาเหมือน
เป็นทหารแต่ไม่ได้ออกสงคราม
มันไม่สมภาคภูมิ เราจะเอาแต่เรียนในเชิง
ปริยัติ เชิงทฤษฎีไม่ได้

ต่อมาเมื่ออาตมาโตขึ้น
อาตมาถึงได้รู้ว่า
ถ้าอาตมาไม่ได้เรียนวิปัสสนากรรมฐาน
อาตมามาบวชไม่นานขนาดนี้หรอก
ป่านนี้กิเลสเอาไปเรียบร้อยแล้ว
เพื่อนอาตมาที่ไปเรียนต่อวิทยาลัยสงฆ์
4 รูป เรียนจบปริญญาตรีทุกรูป
ลาสิกขาไปมีครอบครัวเล็ก ๆ

อาตมาก็มานั่งนึกดู เราไปเรียนวิปัสสนากรรมฐาน
2 เดือน แต่ผลของมันฉันจะได้ใช้วิชานี้ทั้งชีวิต
เราพลาดหวังจากการไปเรียนในวิทยาลัย

แต่เราได้วิชาที่ดีที่สุด คือ วิปัสสนากรรมฐาน
คืนมาให้ชีวิตเรา ในตอนนั้นอาตมาก็เสียใจมาก
แต่มานั่งนึก ตอนนี้อาตมาดีใจที่สุดเลย

และหลักธรรมทำให้ผ่านพ้นวิกฤติของชีวิตได้คือ
"อดทน" สักวันหนึ่ง สิ่งเลวร้ายก็จะผ่านไป

-----------------------------------------------
ข้าพเจ้าขอคัดลอกบทความบางส่วนมาให้อ่านเท่านั้น
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท
อยากได้ความรู้เพิ่มเติมหาซื้อหนังสือเล่มนี้ได้ร้านหนังสือทั่วไป
หรือไม่ใครมีเพื่อน มีพี่ มีน้อง
ก็แบ่งปันกันอ่านก็ได้ค่ะ ได้บุญดี อิอิ ^__^

โดย คิดแล้วเขียน V:)

วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2552

การเริ่มต้นกับธรรมะ

การเริ่มต้นอะไรก็แล้วแต่
ถ้าเราค่อย ๆ เริ่มทีละนิด ๆ เริ่มจักสิ่งเล็ก ๆ
แล้วจะทำให้เราไม่เหนื่อยจนเกินไป
เหมือนกับสะสมความรู้ในเรื่องที่ตนเองสนใจ

เมื่อก่อน ข้าพเจ้าเองก็เป็นเด็กธรรมดาทั่ว ๆ ไป
ไม่ได้สนใจ เคร่งเครียด ศึกษาแต่ตำราธรรมะอะไรเลย
เผอิญว่า เป็นคนที่ชอบเก็บเอาเรื่องต่าง ๆ
ของชาวบ้านมาคิดมากกว่าคนอื่น (อิอิ)
เวลาอ่านบทความธรรมะต่าง ๆ แล้วมัน คลิ๊ก! (ภาษาวัยรุ่น)
เลยทำให้จิตใจเริ่มเบี่ยงเบนชอบมาอ่านหนังสือธรรมะพวกนี้เอง

พี่สาวข้าพเจ้าเองเสียอีก แรก ๆ ก็ไม่ค่อยชอบ
แต่เห็นข้าพเจ้าอ่านมาก เขาก็เลยหันมาชอบศึกษาด้วย
ทีนี้ก็เลย หันมาสนใจมากกว่าข้าพเจ้าเสียอีก

ยิ่งตอนหลัง หันหน้าเข้าหาวัด
ไปปฏิบัติธรรม นั่งวิปัสสนาอยู่วัดได้เป็น 10 วัน
ก้าวหน้ากว่าข้าพเจ้าเสียอีก ^_^
ข้าพเจ้าติดภาระต่าง ๆ ยังวางเรื่องต่าง ๆ ไม่ลง
ก็เลยอาศัยอ่านธรรมะจากตำราไปพลาง ๆ ก่อน :))


แต่ข้าพเจ้าโชคดีอย่างคือ อ่านหนังสือธรรมะแล้ว
จะอ่านได้เข้าใจและเร็ว

พี่สาวคนโต เขาเพิ่งมาฮิตศึกษาธรรมะเบื้องต้น
จากหนังสือของท่าน ว.วชิระเมธีนี้เอง
เพราะอ่านง่าย ส่วนข้าพเจ้านั้น
จำได้คร่าว ๆ ว่าตนเองเคยอ่านงานของ ..ปิ่น มุทุกันต์
เริ่มต้นอ่านมาจะเกือบ 15 ปีได้แล้วมั้ง

แล้วก็พวกหนังสือธรรมะที่เขาแจกงานศพ
ที่บ้านป้ามีเป็นตั้ง ๆ บางทีที่ข้าพเจ้าไปทำบุญใส่บาตร
พระท่านก็แจกให้ฟรี (บ้านใกล้วัด)
กลับมาลองพลิก ๆ อ่าน เพราะเป็นเล่มบาง ๆ

ย้อนหลังไปสมัยเมื่อ 15 ปีก่อน
หนังสือธรรมะไม่ค่อยเผยแพร่เหมือนสมัยนี้
คนหนุ่มสาวก็ไม่ค่อยสนใจธรรมะเท่าไร
เพราะคนส่วนใหญ่อ่านแล้วมักจะง่วง
ไม่ค่อยมีแง่คิดชวนให้ติดตาม

อ่านหนังสือธรรมะให้เข้าใจ ต้องอ่านแล้วคิดตาม
ธรรมะเป็นสิ่งที่เรียนรู้ได้ง่าย เข้าใจได้ง่ายนะ
เพราะเป็นสิ่งที่พระ หรือคนแต่งเขาหยิบหยกมาจากชีวิตประจำวัน
จะทำให้เรานึกภาพได้ง่าย
เพียงแต่ลำบากนึดนึง ตรงที่บางคำ
บางประโยค เป็นภาษาบาลี หรือภาษาพระ
ซึ่งบัดนี้ข้าพเจ้าก็ยังไม่ค่อยจะเข้าใจเสียทีเดียว

อย่างบทสวดมนต์ ข้าพเจ้าสวดตามหนังสืองานศพของย่าข้าพเจ้าเอง
ซึ่งย่าเองเคยทำหนังสือธรรมะแจก
และมีคำแปลบทยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก
ก็ทำให้พอทราบใจความของบทสวดมนต์ได้บ้าง

หลัง ๆ มานี้ ตั้งแต่ทำงานไม่ค่อยได้สวดมนต์ยาว
อาจทำให้หลงลืมบทสวดไปบ้าง
แต่ถ้าวันไหนง่วงมาก ก็ อรหังสัมมาฯ 3 จบ
(ดีไม่บอก หลวงพ่อ เหมือนเดิม 555 :)))

เริ่มต้นกับธรรมะ ไม่ยากอย่างที่คิด ^__^

โดย คิดแล้วเขียนV:)

วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552

เครื่องหมายการค้า : brand

วันนี้พี่สาวใจดี ขับรถมาส่งข้าพเจ้าที่ทำงาน
เปล่าหรอก พอดีเขาจะไปซื้อของแถวนั้น ^__^
(ได้อานิสงค์ติดรถชาวบ้านมา อิอิ)

พี่สาวคุยให้ข้าพเจ้าฟังถึงเรื่องเจ้าลูกศิษย์
ไม่ทำงานตามบริษัทฯ ในสิ่งที่ตนเรียนมา
แต่ผันตนเองมาเปิดร้านกาแฟ
แถวที่ทำงานพี่สาวข้าพเจ้า
ลงทุนตกแต่งร้านไปตั้งมากมาย
แต่ค่าเช่ารายเดือนเป็นหมื่น
วันแรกขายกาแฟได้ 7 แก้ว
เพราะมีคู่แข่งด้านการตลาด
เจ้าเดิมที่เป็นเคาเตอร์รถเข็ญอยู่
ราคาต้นทุนเขาต่ำกว่า
เพราะฉะนั้น กาแฟของเขาจึงขายราคาได้ถูกกว่า
แล้วลองคิดดูว่า
ธุรกิจของเขาจะไปรอดไหม?
ในสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้

การทำธุรกิจไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ใจรักอย่างเดียวไม่พอ ...พี่สาวข้าพเจ้าก็ได้นั่งสงสารลูกศิษย์
เดือนนึง ๆ ต้องมีค่าใช้จ่ายค่าเช่าห้องรออยู่แล้ว
กดดันเขามิใช่น้อยเลยนะคะ
ทำไมไม่รู้จักลงทุนทำอะไร
ที่มันเล็ก ๆ ไปก่อน
เหมือนกับคนจีนสมัยก่อน
เสือผืน หมอนใบ ขายก๋วยเตี๋ยวข้างถนน
พอมีเงินมากหน่อยค่อยนำเงินนั้นไปลงทุนต่อ
โดยหาทำเลร้านใหม่ จัดร้านให้ดูขึ้นอีกนิด
จากรถเข็ญ ก็กลายเป็นห้องแถว
จากห้องแถวก็อาจจะเข้าระดับห้าง

นี่เริ่มจากศูนย์ไปเก้าเลย
แล้วลงทุน ซื้อเครื่อง ซื้อเฟอร์นิเจอร์
ตกแต่งร้านสวยหรู ปรากฎว่าลูกค้าไม่กี่ราย
อีกอย่าง คนทำการค้าขายต้องคล่องแคล่ว
ว่องไว และหน้าตารับแขกหน่อย

หากทำอะไรช้า ไม่ทันกินคู่แข่งเขาหรอก
วันนี้ก็คุยแลกเปลี่ยนกับพี่สาวในเรื่อง
การลงทุนทำธุรกิจส่วนตัว....


แล้วพวกเราล่ะ
แก่ตัวแล้ว เราจะไปทำอาชีพอะไรดีหนอ?
แต่ตอนนี้ข้าพเจ้าได้เครื่องหมายการค้า
สำหรับ blog นี้แล้วล่ะ














เป็นอย่างไรบ้างคะ brand ของ blog นี้
V มาจากคำว่า Victory
และ V มาจากคำว่า Various99

เลิศหรู อลังการ ซะไม่มี อิอิ ^__^
กว่าจะได้ยี่ห้อตัวเองแบบสมบูรณ์
งมอยู่ตั้งนาน
ก็ข้าพเจ้าเป็นประเภท
น้อง ๆ ของตะพาบน้ำอีกที อิอิ
สู้ ๆ ค่ะ เราสู้ไม่ถอยแม้เพียงก้าวเดียว



โดย คิดแล้วเขียน V:)

วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2552

นึกถึงย่า

วันนี้เป็นอีกวันนึง ที่พูดคุยกับพี่ที่ทำงานแล้ว
ทำให้เรานึกถึงตนเองตอนเด็ก ๆ (สงสัยเริ่มแก่ ^__^)
ย่ามีเชื้อสายจีน หน้าตาแกจะไปทางคนจีน
รูปร่างอ้วน ๆ ขาว ๆ มือป้อม ๆ ชอบทำกับข้าว
แล้วก็เป็นคนเจ้าอารมณ์ แถมขี้หึงปู่ด้วย 555 (เท่าที่จำได้) :P

ย่าจากข้าพเจ้าไปตั้งแต่ข้าพเจ้าเรียนชั้นมัธยมต้น
ด้วยโรคความดัน และเบาหวานขึ้นสมอง
ข้าพเจ้าจำได้ว่า เมื่อก่อนย่ากับปู่จะมาอยู่บ้านป้า ไป ๆ มา ๆ
ด้วยความที่ข้าพเจ้าเป็นเด็ก ย่ามักจะใช้ให้ข้าพเจ้านวด
โดยขึ้นไปเหยียบบนขาแก แล้วได้ตังค์กินขนม อิอิ ^_^
อีกอย่างเวลาปู่กับย่า ไปนอกบ้าน แกมักจะซื้อขนมกูลิโกะป๊อกกี้
มาฝากข้าพเจ้ากับพี่สาวประจำ
วันนี้เลยนึกถึงขนมที่ย่าเคยซื้อให้
ก็เลยพลอยนึกถึงย่า ผู้จากเราไปนานแล้วด้วย
นึกถึง ...

โดย คิดแล้วเขียนV:)

วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2552

ที่มาของสำนวน คำพังเพย


วันนี้มีคนซื้อผลมะกอกมารับประทานกัน
ก็เลยพูดถึงเรื่องสำนวน คำพังเพยไทยที่ว่า
"มะกอกสามตระกร้าปาไม่ถูก"
หมายถึงอะไร? เพราะตนเองไม่ค่อยชอบรับประทานผลไม้ดอง เลยไม่ทราบ

พี่ที่นั่งแถวข้าพเจ้า แกมักจะชอบ
ชวนข้าพเจ้าคุยนั่น คุยนี่ แกก็ไม่ทราบความหมายที่แท้จริงเหมือนกัน

ก็คิดกัน มีสำนวน เอ้! มันต้องมีที่มาซิ
เลยไปค้นคว้ามาได้ จึงรู้ว่าจริง ๆ แล้ว

ไม่ใช่เพราะลูกมะกอกกลม ๆ กลิ้งได้หรอก
แต่คงเป็นการละเล่นของคนสมัยโบราณ
ที่ใช้ผลมะกอก
ขวางให้โดนตัวผู้เล่น
ซึ่งผู้เล่นต้องมีอาการคล่องแคล่ว
ว่องไว หลบหลีกผลมะกอกได้ จึงไม่โดนปาถูกตัว

ก็เลยไปเก็บสำนวนมาฝาก สำหรับคนที่พูดเก่ง พูดคล่อง
ล้วนเป็นคนไม่ค่อยหน้าไว้ใจนัก ดังสำนวนไทยที่ว่า

มะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูก

(สํา) ก. พูดจาตลบตะแลงพลิกแพลง ไปมาจนจับคําพูดไม่ทัน. น. คนกลับกลอก.

การที่พูดเก่ง พูดกลับกลอกได้รอบตัว

หรือพูดจนจับคำไม่ทัน

ทำให้ไม่น่าเชื่อถือ และไว้ใจ

เปรียบเหมือนคนหลบหลีกได้คล่อง

ถึงจะเอามะกอกใส่เต็มตะกร้า 3-4 ตะกร้ามาขว้างปา

ก็ย่อมไม่มีวันปาถูกตัวได้

มักใช้เปรียบเปรยคนปลิ้นปล้อน ตลบตะแลง โกหกเก่ง


CAN'T HIT THE TARGET WITH THREE BUCKETS OF OLIVES
"SUPPERY AS AN EEL" [A GOOD LIAR]

อิอิ เหมือนภาษาไทยวันละคำเลย
ภาษานี่ ถ้าศึกษาให้ดี มีเรื่องให้เขียนอีกเยอะเลยนะเนี่ยะ!

โดย คิดแล้วเขียนV:)



วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2552

งานเลี้ยง

วันนี้มีเพื่อนที่ทำงานมาถามว่า
วันที่ ๒๓ กันยายน นี้
อยู่กินเลี้ยงตอนเย็นส่งเจ้านายระดับสูงหรือเปล่า
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนต้นคิด???
ใช่วันนี้หรือเปล่าหว่า!! ไม่สนใจจะจำ!
เพราะไม่ไป และไม่จ่ายเงินด้วย อิอิ :))
โดยปกติแล้ว ข้าพเจ้าไม่ค่อยชอบไปงานที่ทำให้กลับบ้าน
ค่ำ ๆ มืด ๆ เพราะเดินทางลำบาก เนื่องจากไม่มีรถส่วนตัว

จะทำอะไรก็แล้วแต่
ถ้าเป็นการทำให้คนอื่นเดือดร้อนด้วยแล้ว
ข้าพเจ้าจะไม่ทำ!


เมื่อก่อนยังพอไปบ้าง
แต่ระยะหลังชอบมีข่าว
เสีย ๆ หาย ๆ ในที่ทำงาน
เดี๋ยวจะถูกเหมารวมว่าเป็นอย่างเดียวกัน
คนยิ่งจ้องจะหาเรื่องอยู่!

ก็เลยต้องเลือกไปงาน จะว่าไม่ค่อยมีสังคมก็ไม่เชิง
เพราะขี้เกียจมานั่งแก้ข่าว (คาวโลกีย์)
สมัยนี้ปากคนยาวยิ่งกว่าปากกา

ทำอะไรก็แล้วแต่ อย่าพยายามให้ชาวบ้านเขาเดือดร้อน
มานั่งด่าทีหลัง จะได้ไม่คุ้มเสีย
บางคนมีภาระต้องกลับไปเลี้ยงดูแลครอบครัว
ไปงานเลี้ยงกลับดึก แถมยังต้องเสียเงินอีก
เลี้ยงกันไป ก็เลี้ยงกันมา ...

คนที่ทำงานเลยสมบูรณ์กันถ้วนหน้า
สมบูรณ์หนี้ด้วย ^__^ เพราะมีระบอบการกู้ที่ง่ายมาก
เลยใช้เงินสบายมือไปเลย แอ่ะอ่ะอะไรก็กู้ ๆ ๆ ๆ
ซึ่งจริง ๆ แล้วงานบางอย่าง เราสามารถเลือกไปได้

จำเป็นแค่ไหนที่จะต้องไปทุกงาน?
จะตกงาน เพราะไม่ไปงานที่เจ้านายเห็นหน้า
คงไม่ใช่หรอก เรื่องของเรื่อง
คนมันนึกอยากจะรับประทานนั่นแหล่ะ
ก็เลยหาเรื่องเลี้ยงกันได้ตลอด
ประมาณนี้!

พูดแบบนี้เหมือนคนขวางโลกเลยเรา อิอิ ^_^
ถ้าขวางโลก ไม่เป็นไปตามน้ำ(ซึ่งมักไหลลงสู่ที่ต่ำ)
ก็สมควรจะขวางมิใช่หรือ?

โดย คิดแล้วเขียนV:)

วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2552

ฟังเพลงกันเถอะ




เนื้อเพลง

เรื่องจริง

ขับร้องโดย ป๊อด
(ผู้ชายที่มีเสียงไพเราะเป็นเอกลักษณ์ของตน :)))


เสียงร้องที่เธอกำลังได้ยิน กลั่นออกมาจากใจจริงๆ
และเสียงเปียโนที่เธอได้ยิน ก็ออกมาจากใจจริงๆ
เพื่อระบายทุกสิ่งข้างใน ให้ได้ไหลรินออกจากหัวใจ
ไม่รู้จากนี้จะเป็นยังไง เมื่อเธอฟังแล้วจะเป็นยังไง
เธอจะเชื่อคำพูดฉันหรือไม่
กับเรื่องจริงต่อจากนี้ไป
กับเสียงเพลงที่พูดแทนหัวใจ
ว่าฉันรักเธอโดยที่ไม่รู้จัก
และฉันรักเธอตั้งแต่แรกพบหน้า
มากมายจนข้างใน ต้องระบายออกมา
ให้เธอ ได้ยิน
ว่าสำหรับฉันนั้นเธอคือทุกสิ่ง
เป็นแรงบันดาลใจเป็นทุกๆอย่าง
เธอเชื่อมให้ฉันเห็นภาพที่สวยงามของชีวิต
แม้ว่าเรายังไม่ทันได้รู้จัก กันเลย
ไม่มีเรื่องราวไม่มีอะไร ไม่มีเหตุผลที่มาที่ไป
เธอจะเชื่อคำพูดฉันหรือไม่
กับเรื่องจริงต่อจากนี้ไป
กับเสียงเพลงที่พูดแทนหัวใจ
ว่าฉันรักเธอโดยที่ไม่รู้จัก
และฉันรักเธอตั้งแต่แรกพบหน้า
มากมายจนข้างใน ต้องระบายออกมา
ให้เธอ ได้ยิน
ว่าสำหรับฉันนั้นเธอคือทุกสิ่ง
เป็นแรงบันดาลใจเป็นทุกๆอย่าง
เธอเชื่อมให้ฉันเห็นภาพที่สวยงามของชีวิต
แม้ว่าเรายังไม่ทันได้รู้จัก กันเลย
และเสียงเพลงต่อจากนี้ไป
จะเป็นเสียงเพลงที่พูดแทนหัวใจ
ว่าฉันรักเธอโดยที่ไม่รู้จัก
และฉันรักเธอตั้งแต่แรกพบหน้า
มากมายจนข้างใน ต้องระบายออกมา
ให้เธอ ได้ยิน
ว่าสำหรับฉันนั้นเธอคือทุกสิ่ง
เป็นแรงบันดาลใจเป็นทุกๆอย่าง
เธอเชื่อมให้ฉันเห็นภาพที่สวยงามของชีวิต
แม้ว่าเรายังไม่ทันได้รู้จัก กันเลย

------------------------------
วันนี้ฟังเพลงซึ้ง ๆ จากหนุ่ม
ที่มีเสียงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
มาฟังเพลงรักโรแมนติก

ที่หาในชีวิตประจำไม่ค่อยจะเจอ 555 :P

โดย คิดแล้วเขียนV:)

ตัวอย่างกรรมของแม่ชีทศพร

เมื่อคืนได้อ่านหนังสือธรรมะของ แม่ชีทศพร
เรื่อง "ตั้งใจวันละ ๑๐ นาที ชีวิตเปลี่ยน"
เลยเก็บมาฝาก ให้เป็นอุทธาหรณ์ว่า
การจะพูดนินทาใส่ร้ายป้ายสีใคร
โดยไม่รู้ข้อเท็จจริง เป็นบาปอย่างแรง
ยิ่งใส่ร้ายคนที่เขาปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ
ถือศีล ด้วยแล้ว ยิ่งบาปหนัก
กรรมจะส่งผลให้โดยเร็ว


แม่ชีบอกว่า เวลาสวดมนต์อธิษฐานให้เป็น
ก่อนสวดมนต์ทุกบท ควรสมาทานศีล ๕ ก่อน
แล้วจะได้อานิสงค์
ของศีลเต็ม ๑๐๐
เมื่อเราทำบ่อย ๆ ได้ทำเป็นประจำทุกวัน

อานิสงค์ของสัมมาวาจาที่กรองด้วยศีลแล้ว
จะส่งผลให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ขึ้น
อธิษฐานสิ่งใดในทางที่ดีก็จะสมปรารถนา



แม่ชีเล่าว่า มีโยมคนนึงมีเรื่องทุกข์ใจในการทำงาน
จึงนำเรื่องไปเล่าให้พี่สาวฟัง
ว่าเจ้านายไม่ชอบโยม
แล้วก็ตีไข่ใส่แป้งให้ทราบที่มาของทุกข์นี้ว่า
มีคนคอยกลั่นแกล้ง
พี่สาวโยมท่านนี้ก็เลยเขียนจดหมายมาหาแม่ชี
เพราะทุกข์ใจเช่นเดียวกัน
แม่ชีจึงนัดโยมมาที่วัดเพื่อปฏิบัติธรรม
เมื่อโยมมาปฏิบัติธรรมในวันเสาร์-อาทิตย์
โยมก็ได้บุญจากการปฏิบัติ
วันอาทิตย์เป็นหน้าที่ของแม่ชี
ที่จะบรรยายธรรมให้โยมฟังโดยเริ่มถามโยมว่า

  • แม่ชี : โยมแม่ชีพูดเรื่องของโยมได้ไหม
  • โยม : พูดได้ค่ะ พูดได้หมดเลย
  • แม่ชี : โยมเคยทิ้งบัตรสนเท่ห์ไหมคะ แม่ชีเห็นทุกข์
    ที่โยมเขียนเรื่องร้องเรียนใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น
    โดยที่เขาไม่มีความผิดอะไร
  • โยม : ไม่มีค่ะ ไม่เคยค่ะ
  • แม่ชี : ครั้งหนึง?
  • โยม : ไม่เคยค่ะ
  • แม่ชี : ครั้งหนึ่งโยม
  • โยม : อ๋อ จำได้แล้วค่ะ เขียนใบร้องเรียนแทนน้องชายนานแล้วค่ะ

  • แม่ชี : โยมไม่รู้จักเขา แต่โยมเขียนให้เขาเดือดร้อน
    น้องชายโยมอิจฉาเขา ที่เจ้านายไม่ชอบเพราะเขา
    ไม่รับผิดชอบงาน
    ความอิจฉาทำให้น้องโยมพูด
    ในเรื่องไม่จริงให้โยมฟัง
    ตอนนี้โยมก็ทุกข์ใจเรื่องครอบครัว
    เพราะพ่อแม่สามีไม่ชอบโยม
    เมื่อก่อนนี้เขารักใคร่เอ็นดูโยม
    แต่พอโยมเขียนบัตรสนเท่ห์ไป

    กรรมส่งผลให้เขาจับผิดโยมทุกเรื่อง
    แล้วเรื่องที่เขาจับจ้องโยม

    เพราะพ่อแม่สามีคิดว่า
    โยมยุแยงให้สามีคิดออกจากครอบครัว

    สามีเป็นลูกคนเดียว พ่อแม่หวังพึ่งเขา
    แต่ที่สามีคิดไปอยู่ที่อื่นเพราะ
    โยมเป็นต้นเหตุ
    ว่าพ่อแม่สามีคอยหาเรื่อง ก็จริงที่เขาหาเรื่อง

    เพราะกรรมที่โยมใส่ร้ายคนอื่น
    โยมรู้ไหมความอิจฉาของน้องชายโยม

    ไม่ว่าเขาจะไปอยู่กับใคร
    เขาก็จะอยู่ได้ไม่นาน เพราะเขาใจแคบ

    มีนิสัยเหมือนผู้หญิง
  • โยม : หนูเขียนครั้งเดียว
    แต่ทำไมถึงต้องรับผิดชอบกรรมมากมาย

  • แม่ชี : โยมที่โยมทำลงไป
    โยมที่เขาเดือดร้อนต้องออกจากงาน

    โดยไม่มีความผิด เขาไม่โทษใคร
    โยมคนนี้เขานั่งสมาธิ
    สวดมนต์ ภาวนาทุกวัน
    เขาคิดว่า เขาไม่อาฆาตมาดร้ายใคร

    เขาไม่จองเวรใคร แต่กฎแห่งกรรมไม่มียกเว้น
    เขาออกจากงาน
    โยมอยากออกจากบ้าน เคลียร์ไหมโยม

ท่านผู้อ่านอาจสงสัยว่า
ทำไมทำเพื่อน้องแล้วกรรมมาตกที่คนเขียนจดหมาย
แม่ชีไม่ตอบท่านผู้อ่านคิดเอาเองนะคะ

-------------------------------------------------------------
เรื่องนี้เป็นอุทธาหรณ์สอนใจคนที่ชอบใส่สีตีไข่
หรือเสี้ยมให้คนอื่นทะเลาะกันด้วยความอิจฉา- ริษยาได้ดีทีเดียว

โดย คิดแล้วเขียน V:)

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2552

อาการป่วย

วันนี้ไปหาหมอช่วงกลางวัน เป็นวันสุดท้าย
หลังจากที่เข้ารับการรักษามานานร่วมปี
เพราะข้าพเจ้าเอง มีภูมิคุ้มกันที่ไวเกิน
ได้รับเชื้ออะไรมานิดหน่อย จะเป็นได้ง่ายกว่าคนอื่น
ดีที่ว่า หมอยังไม่ได้วินิจฉัยว่า เป็นโรคพุ่มพวง SLE
หรือโรคลูปัส ( Systemic Lupus Erythematosus : SLE)

แต่ก็คงเป็นเชื้อแบบญาติห่าง ๆ ของ SLE ได้
หมอสั่งห้ามถูกแดดแรง ๆ ให้กางร่ม และก็อย่าเครียด
อย่าอดนอน (ข้าพเจ้าเลยชอบนอนตลอด 555 :))
เพราะพวกนี้จะเป็นตัวไปกระตุ้นภูมิคุ้มกันเรา
ให้นอนพักผ่อนเยอะ ๆ อยู่ในที่เย็น ๆ จะทำให้ภูมิแข็งแรง

5555 แหม! อย่างกะรู้ใจข้าพเจ้าเลยแน่ะ
ชอบนอน (ขี้เกียจ) อิอิ แค่นี้ก็ อ้วนจะเป็นตุ่มกลิ้งได้อยู่แล้ว
แต่ข้าพเจ้า ก็สังเกตตนเองเหมือนกันนะว่า
เวลาเครียด ช่วงอ่านหนังสือเยอะ ๆ หรือทำงานมาก ๆ
แบบรีบทำให้เสร็จนั้น ผมจะร่วงเยอะ ...
สงสัยจะจริงตามที่หมอวินิจฉัย อิอิ :))

คนทำงานจะไม่ให้เครียดก็กระไรอยู่หนา?
เพียงแต่อย่าหักโหม เวลาพักก็ต้องพัก อะไรประมาณนั้นแหล่ะ
วันนี้ยาที่หมอสั่งจ่ายให้ ก็เบิกไม่ได้อีก เพราะเป็นวิตามิน A
พี่เขาบอกว่า บำรุงสายตา แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นตัวสร้างภูมิคุ้มกันด้วย
บางคนจำได้ว่า วิตามิน A บำรุงสายตา อย่างเดียวไม่เกี่ยวกับผม
ซึ่งถ้าได้ไปอ่านตำราแพทย์นั้น วิตามิน A นี้สามารถสร้างเนื้อเยื่อต่าง ๆ ได้ด้วย
(เรื่องของเรื่อง เขาจะไม่จ่ายค่ายาให้เรานั่นแหล่ะ)
แต่ช่างมันเหอะ! โชคดีที่หมอนัดครั้งนี้ครั้งสุดท้าย

ซึ่งก่อนหน้านั้น ข้าพเจ้าเคยได้ยินหมอที่ทำงานพี่สาว
คุยเรื่องยาที่ขอเบิก พวกวิตามินทั้งหลาย
ต่อไปจะเบิกค่ายาตัวนี้ไม่ได้แล้ว
ก็เข้าใจนะ ว่าเป็นตัวบำรุง ตัวเสริม ไม่ใช่ยาตัวที่รักษา

หมอบอกว่า ถ้ามีอะไรผิดปรกติอีก ให้ติดต่อเขาได้ทุกเวลา

การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ
แก่ตัวไปทำไงล่ะทีนี้ ...ตอนนี้ทำงานอยู่ยังพอถู ๆ ไถ ๆ
เบิกค่ารักษาพยาบาลได้ เฮ้อ! อะไร ๆ มันก็ไม่แน่นอนเลยหนอ?!

โดย คิดแล้วเขียนV:(

วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2552

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2552

เกิดเป็นผู้หญิงแท้จริงแสนลำบาก

วันนี้ ไฟที่บ้านช๊อต! หัวปลั๊กต่อคอมฯ ช๊อต
ทำให้ไฟดับทั้งบ้าน ดับตอนหัวค่ำด้วย
ทีนี้ล่ะเรื่องยุ่งเลย ผู้หญิงกับไฟฟ้าถูกกันซะทีไหน
ขนาดวันนี้ไปเดินซื้อ Hub ต่อ Notebook ที่ IT
ยังถูกร้านที่ซื้อประจำโก่งราคาซะ!
เจ็บใจตรงที่ว่า ข้าพเจ้าเคยซื้อร้านนี้ประจำ
เพราะขายราคาไม่แพง แถมบางครั้งถูกกว่าร้านอื่นอีก
ด้วยความรีบ ไม่ได้เดินดูให้ทั่วก่อน
ปรากฎว่าวันนี้ร้านเจ้าประจำ ไอ้เจ้าลูกน้องขาย
คงเห็นข้าพเจ้าเป็นผู้หญิงด้วยกระมัง
เลยโก่งราคาซะเต็มที่ ด้วยความที่เราซื้อบ่อยก็เชื่อใจ
เชื่อใจในราคาของร้านนี้ ขายไม่แพง ทีไหนได้
ไปเจออีกร้านนึงถูกกว่าตั้ง 100 บางแน่ะ
เจ็บใจซื้อของแพง :(
แถมเป็นร้านที่เราเคยซื้อประจำ
มันเจ็บใจตรงนี้แหล่ะ

วันหลังไม่เอาแล้ว ไม่มีเจ้าประจำ!
ต้องท่องให้ขึ้นใจ
ถ้าลองแบบนี้ต้องเดินให้ทั่วก่อน
ไว้ใจร้านประจำไม่ได้แล้ว
มิน่าล่ะ เพิ่งเห็นร้านเขาที่เป็นเครือข่ายข้าง ๆ
ปิดร้านไปแล้ว ขายของราคาขึ้น ๆ ลง ๆ แบบนี้
ลูกค้าหายหมด! ...ได้ข้อคิดในการทำธุรกิจได้ 1 อย่าง
(จงซื่อสัตย์กับลูกค้า แล้วลูกค้าจะซื่อสัตย์กับเรา)

พูดถึงเรื่องไฟฟ้าต่อ ...
ไฟฟ้าดับต้องโทรตามหาป๊ะป๋ารีบมาด่วน
เพราะบ้านสาวโสด ๆ ไม่มีปัญญาแก้ไฟกัน
นี่ยังนั่งนึกอยู่ถ้าป๊ะป๋าไม่อยู่ (...)จะทำงัยล่ะทีนี้
กลางค่ำกลางคืนซะด้วย ...
สงสัยต้องเรียกช่างไฟฟ้ามาดูไฟ
และเดินสายไฟใหม่แล้วมั้ง
เพราะบ้านหลังที่อยู่สร้างมา 20 กว่าปีได้แล้ว

นึก ๆ แล้วมีบ้านก็มีภาระเหมือนกันนะ
มีก็ต้องคอยดูแลรักษา ซ่อมตรงนั้น ซ่อมตรงนี้
ทำไม่เป็นก็แย่เลย ...

นี่ดีนะ ที่ข้าพเจ้าตัดสินใจถูกที่ไม่คิดจะซื้อรถยนต์
เพราะดูเครื่องยนต์ไม่เป็น ถ้ามีก็ต้องเรียนรู้กับเจ้านี่อีก
หากรถไปเกิดตายกลางทาง ถ้ามืด ๆ ค่ำ ๆ ทำงัยล่ะ!
ขนาดเครื่องคอมพ์ ยังไม่ค่อยจะรอดเลย ให้ตายเหอะ!
ดูเครื่องไม่เป็น ก็โดนคนที่รู้หลอกได้ ก็ตรงจุดนี้
เป็นผู้หญิงก็ลำบากตรงนี้นี่แหล่ะ

ถ้าไม่มีซะ ก็ไม่ต้องยุ่งยาก
ชีวิตก็ง่ายขึ้น ไม่งั้นต้องมานั่งศึกษา
ทำความรู้จักกับเครื่องใช้ต่าง ๆ
ชีวิตคนมันซับซ้อน ปวดหัวขึ้น
ก็ตรงคำว่า "มี" จุดนี้ด้วยกระมัง
ถ้าคำว่า "มี"แล้วทำให้ชีวิตสบายขึ้น จริงหรือ!?






สงสัยอนาคตได้อยู่วัดแน่เลยเรา อิอิ
ปรากฎว่า วัดก็ไม่รับอีก เพราะเป็นผู้หญิง
เกิดเป็นผู้หญิงแท้จริงแสนจะลำบากก็ตรงนี่แหล่ะ!
วันนี้แค่มาเขียนบ่น ๆ เฉย ๆ ^___^

ปล. อ้าว! ตกลงข้าพเจ้าเป็นผู้หญิงหรอกหรือนี่! อิอิ
(ไม่ช่ายมั้ง ในฝัน!)

โดย คิดแล้วเขียนV:)

วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2552

ปากมีหู ประตูมีช่อง

ใครทำอะไร ไม่ใช่ว่าไม่มีใครเห็น
บางทีเขาเห็น แต่เขาไม่พูด
หากเป็นเรื่องที่เขาเสียประโยชน์แล้ว
เขาสามารถนำเรามาประจานได้เหมือนกัน

เหตุการณ์ที่บางทีเราไม่คาดคิด
อาจจะเจตนาหรือไม่เจตนาก็ไม่มีใครรู้
แต่คนอื่นเขามองเรา เขาก็ว่าเรามีเจตนาไม่ดีได้เช่นกัน

วันนี้คนในที่ทำงาน เก็บกระดาษรีไซเคิล
พวกซองเอกสารที่ไม่ใช้แล้ว โดยฉีกทำลาย
และให้รถที่รับซื้อกระดาษมาชั่งน้ำหนักแล้วขนไป
ซึ่งทำมาหลายครั้งแล้ว เจ้านายก็ไม่ได้ว่าอะไร
เพราะเงินที่ได้รับมาเข้าส่วนงาน


ปรากฎว่า มีชายผู้หนึ่งที่ทำงานอยู่แถวนั้น
เขาสังเกตพฤติกรรมว่า พวกเราทำกันมาหลายครั้งแล้ว
เงินที่พวกเราขายกระดาษได้ตั้งมากมายนั้นไปไหน
เขาเห็น เขาก็ถ่ายรูปเก็บไว้
เขาบอกว่ากระดาษเป็นงบของบริษัทฯ
เงินที่ได้ต้องเข้าองค์กร ไม่ใช่เข้าส่วนงาน

ข้าพเจ้านึกแล้วเชียวว่าสักวัน
ต้องมีคนที่ไม่พอใจ นำเรื่องนี้ไปพูด
แล้วก็จริง ๆ แต่กลับมาเจอแจ๊คพ๊อต
ตรงเปลี่ยนเจ้านายคนใหม่ซะด้วย
ไม่รู้ว่าใครจะโยนอุจจาระ ให้นายคนใหม่ด้วยหรือเปล่า?
เพราะที่ทำงานเดี๋ยวนี้ มักเล่นใต้กระโปรง

เอ้ย! ไม่ใช่ ...เล่นใต้โต๊ะ
เกมส์การเมืองในที่ทำงานกันสนุกมันส์ไปเลย
จะอะไรก็แล้วแต่ หากเราทำในสิ่งที่ถูกต้อง
แม้ว่าเราจะไม่ได้มีเจตนาก็ตาม
ใครก็ไม่สามารถเอาผิดเราได้

ระบบการทำงานสมัยนี้ ใช้คำว่า หยวน ไม่ได้
เราต้องมีวินัยพอสมควร
หากเราทำตามกฎระเบียบของบริษัทฯ
หรือทำตามกฎหมาย
หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเช่นวันนี้
ใครก็ไม่สามารถเอาผิดเราได้

ก็คล้ายตำรวจ วันนึงนึกอยากจับผิด
วันนึงปล่อย หยวน ๆ ไป
แต่ถ้าวันใด ตำรวจมันอยากรีดเงิน
มันก็หาข้ออ้างเอาผิดเราจนได้
หากเราทำถูกกฎ ถูกระเบียบ
หรือถูกข้อบังคับเสียแล้ว
มันก็ไม่สามารถเอาผิดเราได้เช่นกัน
เพราะเราทำถูกกฎกติกา




ทางที่ดี เราต้องทำให้ถูกกติกา
หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
ก็ไม่มีใครหน้าไหนสามารถเอาผิดเราได้

ทำผิดครั้งแรก อย่าปกปิดความผิด
อย่าอายที่จะกล้ารับผิด
แล้วจะไม่มีคำว่า ถลำลึก!
หรือสายเกินไป


ข้าพเจ้าได้รับบทเรียนจากหลาย ๆ อย่าง
อย่างการทำงานที่ผ่านมา
ทำเกี่ยวกับเอกสาร ซึ่งบางครั้งดูว่าไม่มีสาระสำคัญอะไร
แต่มันมี! หากคนมาเจอที่เราทำผิด แล้วเราแก้ไขโดยผละการณ์
ไม่มีหลักฐาน รู้กันเฉพาะหัวหน้าบางคนเท่านั้น

หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน เกิดงานนั้นมีปัญหา
หรือโดนสอบสวนขึ้นมา
ทีนี้แหล่ะ น่าอายกว่าหลายเท่า
สู้เรารู้ว่าตนเองทำผิด แล้วยอมรับผิดตั้งแต่แรก
ว่าเราทำงานผิด และพลาดไป
คนที่เขาทำงาน เขาก็ต้องเข้าใจ
ทำงานทุกอย่างจะให้ perfect ทั้งหมดเป็นไปไม่ได้
เพราะคนที่ทำงาน ไม่มีใครเลยไม่เคยทำงานผิด
เพียงแต่ครั้งต่อไป เราต้องระวังมากขึ้น! เท่านั้นเอง

อย่าอายที่จะยอมรับผิดในครั้งแรก
เพราะไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย
ดีกว่า คอยปกปิดความผิดของตนเองไปเรื่อย ๆ ๆ
ทีนี้ก็กลายเป็นทำผิดซ้ำซาก และถลำลึกยิ่งขึ้น

เหมือนกับหนังละคร ที่ตัวร้ายฆ่าคนตาย 1 คนเพื่อปิดบังความผิดของตน
แต่มีคนมาเห็นว่าตนฆ่าคนตาย ต้องการปกปิดความผิด
ทีนี้ก็ต้องฆ่าคนต่อไปเรื่อย ๆ ๆ เพื่อปิดความผิดนั่นเอง

นี่คือข้อคิดที่ได้จากการทำงาน และการดูละคร อิอิ ^__^


โดย คิดแล้วเขียนV:)

วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2552

ไดอารี่ออนไลน์

วันแรกของทำงานก็เหนื่อยซะแล้ว
เช้ามาก็เข้าประชุมแต่เช้าเลย
ตอนบ่ายก็ต้องไปเป็นกรรมการฯ
ยุ่งทั้งวัน วันนี้เหนื่อย ๆ ก็ไม่อยากเขียน
เพราะช่วงนี้มักจะตื่นสาย แถมมีเจ้านายคนใหม่
ท่าทางพี่ท่าน work น่าดู :)
มาแต่เช้า เข้าประชุม กลับทีหลังลูกน้องอีก
แบบนี้ ส่วนงานเราคงบ่นกันอุบ!
หลังจากที่มีนายใจดี
สบายเสียจนเคยตัวกัน!

ตอนนี้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากันดี
คนที่เคยมาสาย ก็มาเช้าขึ้นหน่อย
แต่ของตัวข้าพเจ้าเองนั้นแล้วแต่
วันไหนเหนื่อยก็นอนยาวเหมือนกัน ^_^
เดี๋ยวนี้รถติดประจำ ออกสายนิดเดียว
ทำอย่างกับบ้านอยู่ต่างจังหวัดเลย
ปรากฎว่าไปเสียเวลาติดบนท้องถนนเป็นชั่วโมง
จากที่บ้าน ไปถึงที่ทำงาน ประมาณ 8 กิโลเมตรเองนะ
แต่ถ้าออกสายเลย 7 โมงนี่ไม่ต้องพูดถึง
ไปถึงที่ทำงานแปดโมงกว่าทุกวัน

วันนี้ก็มีพี่เขาสงสัยอะไรก็ไม่รู้ มาถามว่าแถวบ้านรถติดเน๊อะ!
ข้าพเจ้าก็นึกในใจ ก็เออน่ะซิ! นึกว่าบ้านข้าพเจ้าอยู่อยุธยากระมัง อิอิ ^_^
หลายคนสงสัย ก็ปล่อยให้สงสัยไป อยากสงสัยกันนัก!
แล้วนี่ก็เป็น web ส่วนตัว ถ้าเกิดปากเสียด่าใครไม่เจตนาก็ช่วยไม่ได้นะคะ
เพราะไม่ได้เอ่ยชื่อ ...ใครไม่จริงใจมา ก็ต้องโดนแบบนี้แหล่ะ ^__^
เพราะไม่รู้ใครเป็นใคร ก็เหมือน นกพิราบกับนกเหยี่ยว อยู่ในแมกไม้เดียวกัน
นกพิราบพักผ่อน แต่อีนกเหยี่ยวดันหากินกลางคืน ...คิดดูอะไรจะเกิดขึ้น
....มันวุ่นวาย....ใครจะเปิดเผยอย่างไรไม่ทราบ แต่ฉันเป็นแบบนี้
ใครรับไม่ได้ ก็ช่วยไม่ได้เหมือนกัน เพราะที่ผ่านมาตรูเดือดร้อนทุกที!

จะจับผิดไอ้คนมันเป็นอีแอบด้วยนั่นแหล่ะ
หากใครรู้ตัว ก็เลิกเล่นบทอีแอบซะซิ

เพราะข้าพเจ้าก็ไม่ไว้ใจใครเหมือนกัน ^__^
ทำดีไม่ต้องกลัว กลัวแต่ว่าไม่ดีจริงอ่ะดิ
แบบมีอะไรซ่อนเร้นแอบแฝง
คบกับคนฉลาดก็เป็นแบบนี้แหล่ะ
ไว้ใจยากหน่อยเน๊อะ!

ช่วงนี้หมอดูในทีวี เขาทำนายไว้ด้วยว่า
ราศี...จะถูกจับได้ว่ามีกิ๊ก 555
ใครแอบมีกิ๊ก เตรียมตัวไว้ให้ดี
มิน่าเริ่มร้อน ๆ หนาว ๆ รีบเปิดเผยซะ
ที่ผ่านมาไม่ยักกะเป็นแบบนี้เลย ผับผ่าซิ!
เอ้! ตกลงข้าพเจ้าเป็นผู้หญิง หรือผู้ชายกันแน่เนี่ยะ
เดี๋ยวคืนนี้ไปฝันก่อน แล้วพรุ่งนี้จะมาบอก
555 ใกล้บ๊องแล้วเรา อิอิ :P

โดย คิดแล้วเขียนV:)

วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2552

บทความธรรมะ(๒)

วันนี้ได้อ่านนิตยสารธรรมะ เห็นดีมีประโยชน์
ให้หลาย ๆ คนที่ไม่ค่อยสนใจธรรมะได้อ่านบทความนี้กัน

ตายอย่างไรไม่ตกนรก
: เรื่องจาก พระอาจารย์ชาญชัย อธิปญโญ

แต่จะสรุปเนื้อหาสั้น ๆ ให้ฟังก็แล้วกัน
เพราะขี้เกียจพิมพ์เหมือนกัน อิอิ ^__^

พระอาจารย์ท่านนี้
มีโอกาสรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับความตายหลายเรื่อง
เช่น คนที่เขารักเป็นโรคมะเร็งขั้นสุดท้าย
แต่ก่อนที่ผู้ป่วยจะตาย ก็พยายามหาวิธีรักษาทุกวิถีทาง
เพื่อให้หาย ทำอย่างกับว่าจะมีวิธีชนะความตายได้
ถึงแม้บางอย่างจะไม่เห็นด้วย
แต่ผู้ป่วยก็ไม่ขัดใจบรรดาผู้หวังดีทั้งหลาย
ซึ่งจะทำอย่างไร คนที่เขารักก็ตาย

คนส่วนใหญ่ขาดความเข้มแข็งทางจิตใจ
หรือขาดปัญญาที่จะรู้ความเป็นจริง
เมื่อมีทุกข์มีภัยมาถึงตัว ไม่รู้ว่าทางที่จะแก้ปัญหา
ก็จะยึดเอาความเชื่อผิด ๆ ตามคำบอกเล่ากันมา
ซึ่งบางอย่างก็ไม่เป็นแก่นสารสาระมาประพฤติปฏิบัติ

คนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ยอมรับความจริง
ไม่กล้าที่จะเผชิญกับความจริง
โดยเฉพาะความจริงในเรื่องกฎแห่งกรรม
และความเป็นจริงที่ทุกคนจะต้องพลัดพราก
จากสิ่งที่ตนได้ มี เป็น อันเป็นกฎธรรมชาติ

ครั้นเมื่อต้องพลัดพรากจากผู้ที่ตนรัก
ไม่ว่าจะจากเป็น หรือจากตายก็ตาม
ต่างก็พยายามที่จะต่อสู้เพื่อยื้อยุดสิ่งนั้นไว้
กับตนให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้
ในที่สุด ก็ไม่สามารถเอาชนะกฎธรรมชาติได้

มีคนมาปรึกษาพระอาจารย์ว่า เขาป่วยเป็นมะเร็ง
เขาควรจะทำอย่างไร นี่ไม่ใช่รายแรกที่มาปรึกษา
ทุก ๆ รายพระอาจารย์ไม่เคยบอกเลยว่า
ไม่เป็นไรหรอก ทำบุญสะเดาะเคราะห์
อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรเสีย
อีกไม่ช้าโยมก็จะหาย
นอกจากนี้พระอาจารย์ก็ไม่ได้แนะนำผู้มาปรึกษาว่า
หมั่นสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิแผ่เมตตา
ให้เจ้ากรรมนายเวรเสียอีกไม่ช้าโยมก็จะหาย
เพราะพระอาจารย์ไม่แน่ใจว่า
วิธีดังกล่าวจะเป็นการรักษาโรคมะเร็ง หรือโรคร้ายอื่น ๆ
ให้หายได้หรือไม่

หากวิธีเช่นนี้รักษาได้จริง
โรงพยาบาลคงไม่มีผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็งหรือโรคร้ายแรงมารักษา

พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญา
เป็นศาสนาที่ว่าด้วยเหตุและผล
ไม่ใช่ศาสนาของการวิงวอนร้องขอ
หรือบนบานศาลกล่าวจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย

พระพุทธองค์ตรัสว่า สิ่งทั้งหลายเกิดจากเหตุ เมื่อเหตุดับไปผลย่อมดับเป็นธรรมดา

สิ่งที่พระอาจารย์แนะนำผู้ป่วยก็คือ ชีวิตเรามีร่างกายกับจิตใจ
มะเร็งเป็นที่กาย ต้องให้หมอรักษา
ความทุกข์เป็นเรื่องของใจ เราต้องรักษาใจของเราเอง
หากใจเราวิตกกังวลเศร้าหมองไปกับโรคร้าย
จะทำให้เม็ดเลือดขาวในร่างกายอ่อนแอลง
มีผลต่อให้ร่างกายทรุดโทรม
เท่ากับว่าเป็นการซ้ำเติมให้อายุของตนสั้นลง

แต่หากเรารักษาใจไม่ให้เศร้าหมอง
ตรงข้าม กลับพัฒนาให้ใจมีความผ่องใส

ก็จะช่วยกระตุ้นให้เม็ดเลือดขาวแข็งแรง
ช่วยรักษาร่างกายได้ทางหนึ่ง

การปฏิบัติสมถวิปัสสนากรรมฐาน
นอกจากจะช่วยให้ใจมีความสงบผ่องใส

ผู้ปฏิบัติยังรู้ความเป็นจริงของชีวิตสามารถปล่อยวางความยึดมั่น
สำคัญผิด
อันทำให้ใจเราเศร้าหมองลงได้
มีผู้ปฏิบัติหลายรายที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งขั้นสุดท้าย

แทนที่จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินหนึ่งปี เมื่อมาปฏิบัติกรรมฐาน
สามารถยืดอายุออกไปได้ 3-5 ปี

ส่วนผู้ป่วยเป็นมะเร็งระยะแรก ๆ นอกจากรักษาด้วยยาแล้ว
การปฏิบัติกรรมฐานได้ช่วยให้เขาหายขาดจากโรคมะเร็งได้
กรณีดังกล่าวมีประจักษ์พยานปรากฎไม่น้อย

เมื่่อไม่นานมานี้
พระอาจารย์ได้รับนิมนต์ไปเยี่ยมผู้ป่วยรายหนึ่ง
เธอนอนป่วยมานานหลายปี ด้วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย
เธอมีบุตร 2 คน กำลังเรียนชั้นมัธยมด้วยกันทั้งคู่
เธอเพิ่งแยกทางกับสามีเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง
นอกจากจะต้องต่อสู้กับโรคแล้ว
ยังต้องต่อสู้กับสงครามชีวิตอีกด้วย
นับว่าเธอเป็นสตรีแกร่งผู้หนึ่ง

พระอาจารย์ไปถึงโรงพยาบาลเวลาบ่ายคล้อย
ทันทีที่พบกัน ความรู้สึกบอกว่า เธอคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน
สภาพร่างกายของเธอเหมือนผลไม้ที่จวนจะหลุดจากขั้ว
เธอยิ้มต้อนรับพระอาจารย์ เป็นรอยยิ้มบนความอ่อนล้าของร่างกาย

พระอาจารย์แนะนำเธอว่า ให้มีความกล้าหาญ
อย่าหวั่นไหวที่จะต้อง เผชิญกับสิ่งต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น
ชีวิตของเรามีร่างกายกับจิตใจ
ธรรมชาติของร่างกายนั้นต้อง แก่ เจ็บ และตายไปในที่สุด
ไม่มีใครรักษาร่างกายเอาไว้ได้
คนเราไม่ได้ตายไปจริง ๆ หรอก
เพียงแต่ร่างกายแตกดับไปตามอายุขัย
แต่จิตใจยังมีแรงปรารถนาอยู่(ตัณหา) จะไปเกิดอีก
ร่างกายเปรียบเสมือนบ้าน
จิตใจเปรียบเหมือนผู้มาอาศัยบ้านหลังนี้อยู่
เมื่อบ้านชำรุดทรุดโทรมผุพังจนไม่สามารถที่จะอาศัยอยู่ต่อไปได้
ก็ไม่ควรที่จะต้องไปอาลัยอาวรณ์ ให้คิดเสียว่า เราทิ้งบ้านหลังนี้ไป
เพื่อไปอยู่บ้านหลังใหม่ที่ดีกว่า

พระอาจารย์ขอให้เธอนึกถึงคุณงามความดีต่าง ๆ ที่ได้ทำไว้อยู่เสมอ
พยายามรักษาใจให้มีความสงบ
อย่าได้ฟุ้งซ่านไปกับอารมณ์ที่เศร้าหมอง
ยามใดที่ใจเผลอคิดไปในเรื่องต่าง ๆ ที่ทำให้ไม่สบายใจ
ก็ให้รู้ตัวกลับมาอยู่ที่ลมหายใจเพื่อให้มีสมาธิ

หรือสวดมนต์บทที่เคยสวดเป็นประจำก็ได้
โดยเฉพาะในยามที่จะสิ้นลมให้มีสติตั้งมั่น
ไม่ต้องห่วงใยในสิ่งต่าง ๆ
ขอให้นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง
ให้ท่านนำพาชีวิตไปสู่สุคติภพด้วย

ผู้ป่วยรับฟังด้วยความตั้งใจ ใบหน้าแสดงการตอบรับข้อแนะนำ
เป็นระยะ ๆ พระอาจารย์ถามเธอว่า
ได้รับความเจ็บปวดจากโรคที่เป็นมากไหม
เธอสั่นศีรษะ ถามเธออีกว่า
มีความห่วงหรือกังวลต่อสิ่งใดบ้าง
เธอตอบว่า ไม่ห่วง
พระอาจารย์กล่าวกับเธอว่า "ดีแล้วที่โยมทำใจได้
มีใจเข็มแข็งกล้าหาญดี หลวงพ่อขอให้โยมรักษาใจไว้
ให้ดีนะ เรื่องร่างกายอย่าไปห่วงมันเลย
มันจะเป็นเช่นใดก็ปล่อยให้มันเป็นไป

รักษาใจอย่าให้เศร้าหมองเป็นดีที่สุด
พระพุทธองค์ตรัสว่า
เวลาจะสิ้นใจ หากมีใจผ่องใสจะไปเกิดในสุคติภพ"

ก่อนจากกัน พระอาจารย์ให้พรเธอ เธอพนมมือรับด้วยความปีติ
พระอาจารย์รู้สึกขอบใจโยมที่นิมนต์มาพบเธอ
เพื่อให้พระอาจารย์ได้มีโอกาสทำหน้าที่ของตน

สองวันต่อมามีผู้โทรศัพท์มาบอกว่า ผู้ป่วยเสียชีวิตแล้ว
ในวันรุ่งขึ้นหลังจากที่ได้พบพระอาจารย์
พระอาจารย์กล่าวกับผู้ที่โทรศัพท์มาบอกว่า ดีแล้ว
เธอจากไปในเวลาที่เหมาะสม ในสภาพที่จิตใจ
มีความกล้าหาญ มีสติที่จะปล่อยวางสิ่งต่าง ๆ ในชีวิต
หากเนิ่นนานไปกว่านี้ ไม่แน่ว่า สภาพร่างกาย
และจิตใจของเธอจะเป็นเช่นไร

พระอาจารย์เชื่อว่า เธอผู้นั้นสามารถรักษาจิตใจให้ผ่องใสได้ในวาระสุดท้ายของชีวิต

------------------------------------------------------------------------------

อ่านบทความนี้แล้ว
ได้ข้อคิดที่ว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในชีวิต

พยายามรักษาใจของตนไว้ให้ดีที่สุด
ความเข้มแข็งของจิตใจ
จะเป็นแรงบรรดาลใจ
ให้ชีวิตเราไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า

ชอบบทความนี้
เพราะพระท่านเข้าใจเปรียบ
ว่าร่างกายเหมือนบ้าน
หากบ้านเราเก่าหรือชำรุด
เราก็ต้องย้ายที่อยู่ใหม่ (กรณียังต้องเกิดอีก)

และที่สำคัญ หมอรักษากาย
แต่ยารักษาใจ ก็คือ ธรรมะคำสอน
ของพระพุทธเจ้าดี ๆ นี่เอง

พระท่านสอนให้คนเราพยายามนึกถึงความดีของตนเอง
ที่ทำไว้ในวาระสุดท้ายของชีวิต
เพราะจะเป็นแรงกุศลให้เราไปเกิดในที่สุคติภพ

สิ่งสำคัญคือ เวลาไปงานศพใครก็ตาม
มักจะเห็นญาติ ๆ ร้องไห้อาลัยอาวรณ์
ข้าพเจ้าก็เข้าใจว่า
นี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งเหมือนกัน
ที่ทำให้คนตาย เป็นห่วง และไม่สามารถไปเกิดที่ใหม่ที่ดีได้

เพราะต่างคน ต่างก็ไม่อยากจากคนที่ตนรัก
ก็เลยทำให้จิตของวิญญาณยังคงวนเวียน ห่วงนั่น ห่วงนี้
ไม่ได้ไปเกิดสักทีได้เหมือนกัน

เวลาใครไปงานศพของคนในอนาคต
ไม่อยากเห็นคนร้องไห้
เพราะจะทำให้จิตของผู้ตายเศร้าหมองไปด้วย
พูดง่าย แต่ทำยากเน๊อะ ^___^

นั่งเขียนบทความนี้
ทำไมมีเสียงสุนัขหอนหว่า!!!
ไปนอนดีกว่า อิอิ ^__^

โดย คิดแล้วเขียนV:)

วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2552

บทความธรรมะ

จริง ๆ แล้วอยากเขียนอีก blog นึงคือที่ web ASTV
แต่เบื่อ ๆ เลยแวะมาเขียนส่วนตัวหน่อยใน blog นี้ดีกว่า
คนน้อยดี ^__^
ขี้เกียจนั่งตอบ comment
อยากเขียนอะไรก็เขียน
เขียนเอาไว้ให้คนที่หาข้อมูล search มาเจอ web นี้เอง อิอิ :))
เก็บมาแปะ ^_^

พระโอวาทของท่านอรหันต์จี้กง

อ่านแล้วเก็บรักษา บุญรักษาเนืองนอง
รู้แล้วบอกทั่วกัน บุญกุศลเรืองรอง

  1. ชีวิตย่อมเป็นไปตามลิขิต (ละชั่วทำดี) วอนขออะไร
  2. วันนี้ไม่รู้เหตุการณ์ในวันพรุ่งนี้ กลุ้มเรื่องอะไร
  3. ไม่เคารพพ่อแม่แต่เคารพพระพุทธองค์ เคารพทำไม
  4. พี่น้องคือผู้ที่เกิดตามกันมา ทะเลาะกันทำไม
  5. ลูกหลานทุกคนล้วนมีบุญตามลิขิต ห่วงใยทำไม
  6. ชีวิตย่อมมีโอกาสประสบความสำเร็จ ร้อนใจทำไม
  7. ชีวิตใช่จะพบเห็นรอยยิ้มกันได้ง่าย ทุกข์ใจทำไม
  8. ผ้าขาดปะแล้วกันหนาวได้ อวดโก้ทำไม
  9. อาหารผ่านลิ้นแล้วกลายเป็นอะไร อร่อยไปใย
  10. ตายแล้วบาทเดียวก็เอาไปไม่ได้ ขี้เหนียวทำไม
  11. ที่ดินคือสิ่งที่สืบทอดแก่คนรุ่นหลัง โกงกันทำไม
  12. โอกาสจะได้กลายเป็นเสีย โลภมากทำไม
  13. สิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่เหนือศีรษะเพียง 3 ฟุต ข่มเหงกันทำไม
  14. ลาภยศเหมือนดอกไม้ที่บานอยู่ไม่นาน หยิ่งผยองทำไม
  15. ทุกคนย่อมมีลาภยศตามวาสนาที่ลิขิต อิจฉากันทำไม
  16. ชีวิตลำเค็ญเพราะชาติก่อนไม่บำเพ็ญ แค้นใจทำไม (บำเพ็ญไวไว)
  17. นักเล่นการพนันล้วนตกต่ำ เล่นการพนันทำไม
  18. ครองเรือนด้วยความประหยัดดีกว่าไปขอพึ่งผู้อื่น สุรุ่ยสุร่ายทำไม
  19. จองเวรจองกรรมเมื่อไรจะจบสิ้น อาฆาตทำไม
  20. ชีวิตเหมือนเกมหมากรุก คิดลึกทำไม
  21. ฉลาดมากเกินจึงเสียรู้ รู้มากทำไม
  22. พูดเท็จทอนบุญจนบุญหมด โกหกทำไม
  23. ดีชั่วย่อมรู้กันทั่วไปในที่สุด โต้เถียงกันทำไม
  24. ใครจะป้องกันมิให้มีเรื่องเกิดขึ้นได้ตลอด หัวเราะเยาะกันทำไม
  25. ฮวงซุ้ยที่ดีอยู่ในจิตไม่ใช่อยู่ที่ภูเขา แสวงหาทำไม
  26. ข่มเหงผู้อื่นคือทุกข์ รู้ให้อภัยคือบุญ ถามโหรเรื่องอะไร
  27. ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม
วันนี้อากาศร้อน ๆ และเปิด web ร้อน ๆ ด้วย
เลยต้องหาพระธรรมมาข่มกิเลส ดับร้อนสักหน่อย
เดี๋ยวจิตจะกระเจิงก่อนอายุ 40 อิอิ :P

จริง ๆ แล้วเป็นคนชอบอยากรู้ อยากเห็นเกือบทุกเรื่องนั่นแหล่ะ
เพียงแต่ว่า สิ่งที่อยากรู้อยากเห็นของตนเอง
ไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้ใคร มันก็ดีไปอย่าง
รู้เรื่องต่าง ๆ ไว้จะได้ไม่ถูกต่อว่า Idiot หรือ อินโนเซ้นต์กว่าอายุจริงมากนัก
(ชอบถูกหาว่าเป็นเด็กเรื่อยเลย เด็กโข่ง 555 ^_^)


จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย

พระพุทธองค์ทรงสอนสัตวโลกไว้ว่า สัพเพสังขาราอนิจจา สัพเพสังขาราทุกขา สัพเพธัมมาอนัตตาติ ฯ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับทุกชีวิตนั้นเป็นเรื่องธรรมดาของธรรม มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย มีรัก มีชอบ มีสุข มีทุกข์ สลับคลุกเคล้าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน การดำเนินชีวิตไปบนทางแห่งความดีจึงต้องมีความเข้าใจธรรมะและมีความหนักแน่นมั่นคงซื่อตรงต่อปณิธานเป้าหมาย

ในการประกอบอาชีพหรือทำงาน ต่างๆ มักจะได้ยินกันเสมอว่า มีการขัดแข้งขัดขา มีการสกัดดาวรุ่ง มีการทรยศหักหลัง มีการกำจัดหอกข้างแคร่ มีการลอบทำร้ายกันลับหลัง มีความเปลี่ยนแปลงจากมิตรเป็นศัตรู เหล่านี้ล้วนเป็นสถานการณ์ธรรมดาของวิสัยปุถุชน ที่มีรักมีชังสุมแน่นอยู่ในใจ วันนี้ดี พรุ่งนี้ด่า วันต่อไปนินทา วันที่หายหน้าก็คิดถึงกัน

จึงเป็นเรื่องที่ไม่มีใครฝืนได้ หากไม่หัดฝืนกิเลสที่อยู่ภายในตนเสียก่อน บางคนที่มากด้วยความยึดถือในตัวตนหรือมีอัตตามีความลำพองมาก มักจะแสดงกิริยาอาการดูถูกคนอื่น อวดตนว่าอยู่เหนือผู้อื่นเสมอ และหากเกิดความขัดแย้งกับใครก็มักจะสร้างพลังอคติรวบรวมสมัครพรรคพวกเข้าฝ่ายตนให้มาก เพื่อที่จะตั้งฝักฝ่ายปะทะต่อต้านกันต่อไป

ได้ฟังมาว่า มีอาจารย์ท่านหนึ่งทำงานหนักทำผลงานวิชาการมากขึ้น และมีการพัฒนาตัวเองให้มีองค์ความรู้ใหม่ๆเพิ่มมากขึ้น เพื่อที่จะนำไปใช้พัฒนาและสร้างนักศึกษา จึงกลายเป็นคนที่เด่นมากขึ้นในมหาวิทยาลัย ซึ่งแน่นอนว่าในสังคมปัจจุบันซึ่งมีการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันสูงนี้ย่อมไม่มีใครอยากเห็นใครได้ดี เมื่อเวลาผ่านไป ทั้งผู้หลักผู้ใหญ่ที่เคยให้การสนับสนุนก็เปลี่ยนท่าทีไปในทางไม่ยอมรับและพยายามสร้างข้อตำหนิให้เกิดขึ้น ทั้งเพื่อนฝูงก็กลายมาเป็นคู่แข่งขัน การกลั่นแกล้ง หลายรู้แบบก็เริ่มตามมา บางครั้งรุนแรงจนแทบทำให้เสียสุขภาพจิต และความมั่นใจในตัวเอง และบางครั้งถึงขนาดคิดว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป จนเมื่อเข้ามาพึ่งทางธรรมเธอคนนั้นจึงสามารถสงบใจลงได้

ในลักษณะนี้ทำให้ย้อนนึกถึงคำประพันธ์ของหลวงวิจิตรวาทการว่า

"อันที่จริงคนเขาอยากให้เราดี
แต่ถ้าเด่นขึ้นทุกทีเขาหมั่นไส้
จงทำดีแต่อย่าเด่น จะเป็นภัย
ไม่มีใครอยากเห็นเราเด่นเกิน"



การทำความดีนั้นย่อมได้ผลดีแน่ และทำความชั่วก็ย่อมได้ผลชั่ว อันเป็นกฎธรรมดาของความจริงที่ปลูกพืชอย่างไรก็ย่อมได้รับผลอย่างนั้น แต่การทำความดีนั้นต้องใช้ศิลปะ คือต้องทำความดีนั้นจะต้องทำให้ถูกกาละเทศะให้ถูกจังหวะ และพอเหมาะพอสมไม่เกียจคร้าน และไม่ล้ำเส้นใคร

การทำความดีนั้นจะต้องดูความเกี่ยวข้องกับบุคคลด้วย ต้องรู้จักวางตัวให้ดีอย่าให้มีลักษณะอันใดส่อให้เห็นว่า จะทำให้ผู้หลักผู้ใหญ่กระทบกระเทือนหรือขุ่นเคืองใจ โดยเฉพาะอย่าให้ผู้หลักผู้ใหญ่รู้สึกว่ามีความสามารถด้อยกว่า เพราะในสังคมคนธรรมดานั้นมากไปด้วยความริษยาและหวาดระแวงกัน รวมทั้งมีคนบางพวกพร้อมที่จะจับผิดและทำลายอยู่ตลอดเวลา

อย่างเรื่องในพุทธกาลก็มีอยู่ว่า พันธุละเสนาบดีแห่งแคว้นโกศลได้รับการร้องเรียนเกี่ยวกับเรื่องการวินิจฉัยคดีที่ไม่ซื่อตรง จึงไปนำเรื่องมาวินิจฉัยใหม่แล้วตัดสินไปตามความจริง ซึ่งมหาชนก็เปล่งเสียงไชโยโห่ร้องกันอย่างสนั่นหวั่นไหว จนพระเจ้าปเสนทิโกศลได้ยินและเกิดความสงสัย และเมื่อพระราชารู้เรื่องราวต่างๆ แล้วก็ให้ปลดตุลาการเดิมออกแล้วให้พันธุละเสนาบดีไปทำหน้าที่แทน ต่อมาพวกตุลาการรุนเก่าๆ ขาดรายได้จากการวิ่งเต้นคดี จึงพากันไปยุยงพระราชาว่า "พันธุละเสนาบดีต้องการเป็นพระราชา"

ด้วยความด้อยสติปัญญาพระราชาได้เชื่อคำของอำมาตย์เหล่านั้น และยิ่งเพิ่มความหวาดระแวงในตัวพันธุละเสนาบดีว่าจะมาชิงราชบัลลังก์และเป็นที่รักของประชาชนมากกว่าตน จึงได้ออกอุบายให้พันธุละเสนาบดีไปปราบโจรที่ชายแดน แล้วให้ราชบุรุษตัดศีรษะของพันธุละเสนาบดีพร้อมบุตรชายทั้งหมดก่อนที่จะเดินทางกลับมาพระนคร และเมื่อการต่างๆ ได้สำเร็จลงแล้ว พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงได้รู้สึกตัวในภายหลังว่า ได้ตกหลุมพรางของอำมาตย์จนสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวง

ฉะนั้น การทำความดีจึงต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญในการที่จะรักษาไว้ไม่ให้กระทบกระเทือนต่อผู้ใด จนไปกระตุ้นกิเลสของคนรอบข้างขึ้นมา การทำความดีจึงต้องมีศิลปะในการทำความดีและรักษาความดีไว้ให้เจริญยิ่งขึ้น ต้องรู้จักถอยออกมาจากภาวะที่คับขันเพื่อผ่อนคลายสถานการณ์ และรอเวลาที่เหมาะสมเพื่อสร้างรอยต่อของความดีขึ้นมาใหม่อย่างไม่กระทบกระเทือนใคร



ที่มาของบทความบางส่วน
copy มาจาก web ธรรมะ
web ไหนไม่รู้ เยอะมาก อิอิ :))

โดย คิดแล้วเขียนV:)