วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ครอบครัวหรรษา


ช่วงนี้ ดวงข้าพเจ้าค่อนข้างเป็นชีพจรลงเท้า
(หลังจากที่อยู่กับบ้านมานาน
เพราะความไม่พร้อมของสมาชิก)

ช่วงนี้อยู่ไม่ค่อยติดที่ ...และก็เป็นช่วงที่เงินเข้า ๆ ออก ๆ
จากกระเป๋าตลอดเวลา อิอิ ^_^
ไม่มีเรื่องให้ซื้อ แต่ถ้าได้ออกจากบ้าน
มันก็ต้องเสียเงินเป็นธรรมดา
ข้าพเจ้าเลยชอบอยู่บ้านมากกว่า :))
แต่อยู่บ้านมาก ๆ ก็เป็นตุ่มเหมือนกันนะ
เพราะกินแล้วก็นอนน่ะซิ

วันนี้พี่สาวเลี้ยงฉลองล่วงหน้าวันคล้ายวันเกิด
เนื่องจากอาทิตย์หน้าพี่บางคนไม่ว่าง
อาจจะรวมตัวกันลำบาก
วันนี้ข้าพเจ้าเลยได้รับเลี้ยงจากพี่ ๆ
ซะอิ่มแปล้ไปเลย ^__^

เก็บรูปมาฝากยั่วน้ำลายคนเล่น อิอิ :))
มีพี่ที่น่ารักก็ดีอย่างนี้ล่ะน้า

วันนี้เป็นวันฮาโลวีน
แต่สำหรับข้าพเจ้าเป็นวันที่อิ่มแปล้วันนึงทีเดียว
^___________^

คิดแล้วเขียน :)V

วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2552

นับถอยหลัง?

(ลอยกระทง : ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต)


ช่วงนี้ข้าพเจ้ากำลังเตรียมตัวจะเดินทางไปจีนแล้ว
(วัยรุ่นปลาย ๆใจร้อน) :P
จนที่บ้านข้าพเจ้าอดหัวเราะไม่ได้ ... เริ่มทยอยเตรียมไว้หมด
แต่คนยังหาได้ไม่ครบ ยังไม่รู้ชะตากรรมเลย
trip คุนหมิงนี่ อาบอกว่าต้องจัด group ให้ได้ 16 คนขึ้นไป
ไม่งั้นค่าที่พัก ตั๋วเครื่องบินจะไม่ได้ในราคาที่ตั้งไว้

ไม่รู้ว่าทางเพื่อนอา หาได้กี่คนเหมือนกัน
และอากาศไม่รู้จะหนาวมากหรือเปล่า
แต่คิดว่าคงหนาวแน่ เพราะไปเที่ยวช่วงธันวาคม
นี่ก็นับถอยหลังเหลือแค่เดือนเดียวเอง
แป๊ปเดียวเท่านั้น คิดดูซินี่ก็ใกล้ครบรอบ
ฉลองอายุอีกและ จะไม่ให้แก่ได้งัยล่ะ
จริง ๆ แล้วเลข 9 คนไทยถือว่าเป็นวันมงคล
เพราะเก้า ไปพ้องเสียงกับคำว่า ก้าวหน้า
เลยถือเป็นเลขดี แต่ข้าพเจ้าก็คิดว่า
มันอาจจะไม่จริงแบบนั้นก็ได้
เพราะเลข 9 ถ้ากลับหัวลง ก็เป็นเลข 6
ซึ่งมันก็มีนัยยะที่ไม่ดีได้เช่นกัน
(แต่เราก็ต้องคิดในแง่บวกไว้ก่อน)

ดังที่หลาย ๆ คนที่มีอายุเบจญเพส 19 29 59 79
อะไรประมาณนี้ว่า มักจะหมดอายุในช่วงนี้
บ้างก็ว่า.... ก้าวไม่พ้น ...
ไม่อยากให้คนไทยบ้าเลข 9 กันเกินไป
เห็นอะไรเดี๋ยวนี้ก็ 999
เพื่อนข้าพเจ้าก็เกิดวันที่ 9 กันหลายคน
ที่ห้องนี่นับได้ 4 คนขึ้นไปนะ
แถมบางคนแย่งจองเลขงาน
หรือแม้แต่แค่เซ็นชื่อเวลามาทำงาน
ยังต้องแย่งลงด้วย 9 เลย
(อะไรมันจะบ้าขนาดนั้น!)
คนทำดี ไม่ได้อยู่ที่เลข หรืออยู่ที่ชื่อหรอก
อยู่ที่การกระทำ กับใจของคนคนนั้นมากกว่า

เอ้า! บรรยายไปไกลเลย ...วกกลับมาใหม่ ...
ยังงัยก็ให้ผ่าน ลอยกระทง น้ำนองตะหลิ่งก่อนก็แล้วกัน ^_^

เดี๋ยวจะเป็นแม่สายบัว แต่งตัวเก้อ ฮิ้ว ๆ ....
ลอยกระทงปีนี้ก็คงเหมือน ๆ ทุกปีนั่นแหล่ะ
ประมาณว่า งานประเพณีพวกนี้เป็นเรื่องของคนหนุ่ม คนสาว
ที่พาคู่รักไปลอยกระทงด้วยกัน ...หรือไม่คนที่มีครอบครัว
พาลูกเด็กเล็กแดงไปเที่ยวงาน -วัด ดูประเพณี จุดพลุกัน
ส่วนคนชรา ไม่ค่อยสนใจในงานเหล่านี้สักเท่าไร
คงผ่านวัยนั้นมานานแล้ว เลยรู้สึกเฉย ๆ

ยิ่งบิดาข้าพเจ้าแล้ว ยิ่งไม่ค่อยให้ความสำคัญเลยล่ะ
ไม่รู้ว่า เมื่อก่อนตอนจีบแม่ พาแม่ไปลอยหรือเปล่า? จำไม่ได้
พอดียายที่เลี้ยงข้าพเจ้ามา ท่านเสียไปหลายปีแล้ว
ไม่งั้นจะได้ถามยายได้ ^_^

แต่จำได้ว่า ยายเคยเล่าให้ฟังว่า
แม่เคยงอนพ่อ ตอนพาอดีตคู่หมั้น
ซึ่งมาหาพ่อ นั่งสามล้อผ่านหน้าบ้านแม่
รู้แต่ว่า แม่สับผ้าที่พ่อซื้อให้มาไม่เป็นชิ้นดี
แถมหนีไปอยู่ต่างจังหวัดอีกแน่ะ
(ความรักหนุ่มสาวอ่ะนะ)^_^

ฟังเรื่องพ่อกับแม่ตอนหนุ่มสาว ๆ จากคนรอบข้างแล้ว
ข้าพเจ้านั่งอมยิ้ม ปนขำทุกที อิอิ :))

กว่าจะผ่านด่านมรสุมมาได้ ก็หนักเหมือนกัน
แต่ถ้าคิดว่า มีความเชื่อใจ ซื่อสัตย์ต่อกันแล้ว
อะไร ๆ ก็คงผ่านพ้นไปได้ด้วยดี (ข้าพเจ้าคิดงั้นนะ)

เอ้! พูดเรื่องจะไปเที่ยวไฉนมาพูดเรื่องบิดา- มารดาได้
เอาใจช่วยให้หนุ่มสาวทุกคู่ ได้ฉลองประเพณีกับแฟนตัวเองก็แล้วกัน
ส่วนใครยังไม่มีแฟนก็ ลอยกระทงบนหน้าจอคอมพ์ไปก่อนก็แล้วกันนะ
ดีเสียอีก กระทงจะได้ไม่หลงทางไปไหน ^__^

เอ้! ตกลงข้าพเจ้านับถอยในเรื่องอะไรดีล่ะเนี่ยะ!
(จะไปเที่ยวหรืออายุ) อิอิ ^__________^

คิดแล้วเขียน :)V

วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เพื่อนเล่าให้ฟัง

วันนี้เพื่อน ๆ ที่ทำงานกลับมาจากการไปเที่ยวลาวใต้กัน
ฟังเขาเล่าก็ขำ ๆ กับเพื่อนบางคนที่มีนิสัยเจ้าอารมณ์
มักจะเอาแต่ใจตัวเอง ทำให้คนรอบข้างเอือมระอา
แต่ด้วยความที่คบกันมานาน ทำงานด้วยกันมาตั้งแต่สาว ๆ
พี่คนนี้ อารมณ์แกไม่เคยเปลี่ยน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย
อะไรไม่พอใจ พี่แกไม่เก็บอารมณ์เลย มีอะไรปล่อยออกมาหมด
เวลาอารมณ์ไม่ดี เสียงจะดังมากกกกกก ...
คนรอบข้างรับไม่ทัน ...สักประเดี๋ยวกลับมาหัวเราะใหม่ได้
^_^ ...

พี่คนนี้ เป็นคนตรวจงานให้กับเพื่อน ๆ ทุก ๆ คน
พูดง่าย ๆ ว่าเป็นคนกรองให้เจ้านายใหญ่อีกที
ซึ่งข้าพเจ้าก็ชมในความสามารถแกว่า
แกเป็นคนที่ละเอียดมากกกก
ตรวจเกือบทุกตัวอักษร ไอ้ที่เราว่าตรวจดีแล้ว
แกก็หาจนเจอ หรือบางอย่างไม่ได้ดังใจแก
แกก็ไม่เอา จนเป็นที่เรืองลือในหมู่คนที่ทำงาน

เจ้านายบางคนยังต้องตามแกเลย ...แกทำงานดี อันนี้ไม่เถียง
แต่เจ้าอารมณ์เหลือประมาณ ....บทดี ก็ดีใจหาย
บทร้าย ไอ้ที่ดี ๆ หายเหมือนกัน 55555 :))

ฟังพี่ ๆ เขาเล่าแล้วก็ขำ ๆ แต่ก็ยังเห็นไปเที่ยวกันอยู่
รักมาก เพื่อนเลยพยศใส่มาก ^__^
พี่คนนี้ แกเลยที่เล่าขาน
เป็นตัวตลกร้ายในหมู่เพื่อน ๆ ไปโดยไม่รู้ตัว อิอิ ^_^
(เป็นพี่ผู้หญิงไม่เต็มร้อยอ่ะค่ะ อารมณ์เลยแปรปรวนง่าย ฮา)

วันนี้เพื่อนไม่ได้นินทาเพื่อนหรอกนะ เพราะเรื่องเล่าวันนี้
ดังทั้ง Floor ฮา ๆๆๆๆ

คิดแล้วเขียน :)V

วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2552

อดเปรี้ยว ไว้กินหวาน


การบังคับตัวเองค่อนข้างเป็นเรื่องลำบากเหมือนกัน
ถ้าไม่ได้รับการฝึกฝนมาตั้งแต่เด็ก
มนุษย์เราเกิดมาทุกคนต้องถูกฝึกให้มีวินัยในตนเอง
เมื่อก่อนข้าพเจ้าทำได้ แต่หลัง ๆ ชักจะขี้เกียจ
มักจะตามใจตัวเองบ่อย ๆ หลายครั้งก็ใจอ่อนกับตัวเอง
ต้องฝึกบังคับตนเองให้อยู่ในระเบียบบ้าง
ไม่ใช่ปล่อยชีวิตตามยถากรรม
ลมพัดมาทางใด ก็ปลิวไปทางนั้น
(กระแสความนิยม)
ซึ่งพระท่านเวลาเทศน์ก็สอนให้เด็กทุกคน
ต้องรู้จักวินัยและหน้าที่
ซึ่งเป็นตัวฝืน ให้เราเป็นคนที่ดีได้
เพราะการทำความดีทุกอย่าง มันต้องฝืนและต้องฝึก
ถ้าไม่ฝึกหรือไม่ฝืน มันก็ไหลลงต่ำไปเรื่อย ๆ

จำได้ว่าตอนเด็ก ๆ อยู่กับป้ากับอาซึ่งเป็นครู
ค่อนข้างจะจู้จี้จุกจิกกับเรามากกว่าพ่อแม่เราเสียอีก
สังเกตได้ว่า ถ้าตนเองอยู่กับพ่อกับแม่จะดื้อได้
แต่อยู่กับคนอื่นไปดื้อหรือพยศใส่เขา
เขาก็ว่าเอาให้ซิ เป็นธรรมดาของเด็ก
หากใครตามใจ ก็มักจะพยศกับคนนั้นมากหน่อย :))

แต่ข้าพเจ้าพยศกับใครมากไม่ได้หรอก
เผลอๆ พ่อกับแม่ช่วยกระหน่ำ summer sale อีกแรงหนึ่งด้วย :))

ใครที่ไม่เคยถูกฝึก ไม่รู้รสของความขมแบบมะระ
ตอนแรก ๆ ขม แต่เคี้ยว ๆ ไปเราจะรู้ว่ามันหวานนะ
ตอนเด็ก ๆ ตื่นนอนก็ต้องตื่นแต่เช้า
รับประทานอาหารต้องเป็นเวลา
เป็นอะไรที่น่าเบื่อสำหรับข้าพเจ้าที่สุด
แต่ก็ต้องฝืนทำ ...ผู้ใหญ่เขาสอนเพื่อให้เราได้ดี
ก็ต้องอดทน!

โตมาเพิ่งถูกปล่อย เพราะผู้ใหญ่ท่านชรามากแล้ว (ไม่มีแรงว่า)อิอิ ^_^
เลยทำให้โตมานิสัยเริ่มเสีย ก็โดนต่อว่าหลายครั้งเหมือนกัน
อย่างวันนี้ ไปห้างฯ แถวบ้าน เห็นหนังสือออกใหม่มากมาย
พี่สาวยังถามเลยว่า ปีนี้เธอไม่ไปงานสัปดาห์หนังสือหรือ?

อยากไปอยู่หรอก แต่ต้องเก็บเงินไว้เที่ยวช่วงธันวา :)
เดี๋ยวตังค์ไม่พอใช้ ....หนังสือที่ซื้อประจำอยู่ก็ยังอ่านไม่หมดเลย
ถ้าไปงานสัปดาห์หนังสือฯ อีกคงหมดหลายตังค์
ข้าพเจ้าเป็นโรคบ้า หนังสือ เห็นหนังสือดี ๆ ไม่ได้ชอบซื้อ
ตอนหลัง ๆ เพลา ๆ ลงได้บ้าง เพราะไม่มีที่เก็บ ^_^

เมื่อคืนฝนตกหนัก ยังนอนคิดอยู่เลยว่า ถ้าน้ำท่วมบ้าน
หนังสือเหล่านั้นคงละลายไปกับน้ำแน่ ๆ
คิดแล้วก็เครียดเหมือนกันนะเนี่ยะ!
เอาเถอะอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
ก็ไม่รู้จะหนีน้ำไปอยู่แถวไหนเหมือนกัน
แต่ที่แน่ ๆ เตรียมใจรอเที่ยวอย่างเดียว ....^_^
อดเปรี้ยว ไว้กินหวาน
ไม่รู้ว่ามันจะหวานได้ใจ แบบที่คิดหรือไม่

คิดแล้วเขียน :)V

วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2552

แม่ชีทศพร : ยกตัวอย่างธรรมะ

บทความเรื่อง :ความชั่วส่งให้ผลเป็นความเศร้า



นรชนผู้ทำกรรมชั่ว ย่อมเศร้าโศกในโลกนี้ จากโลกนี้ไปแล้ว ย่อมเศร้าโศกใน

โลกหน้า เขาย่อมเศร้าโศกเสียใจ ในโลกทั้งสอง ย่อมเดือดร้อนใจ เพราะพิจารณา

เห็นความเศร้าหมองแห่งการกระทำของตน

ธรรมภาษิตนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสปรารถนายจุนทะ คนฆ่าหมู ดังมีเรื่องเล่า

ย่อๆดังต่อไปนี้

นายจุนทะ คนฆ่าหมูคนนี้ มีนิวาสสถานอยู่ที่เมืองสาวัตถี ในเวลาที่เกิดข้าวยาก

หมากแพง เขาจะเอาข้าวเปลือกบรรทุกเกวียน เดินทางไปตามหมู่บ้านในชนบท

ได้เอาข้าวเปลือกแลกลูกหมู ตัวละถังสองถัง จนหมดข้าวเปลือก จึงนำลูกหมูมาเลี้ยง

ไว้ในคอกหลังเรือน ปรนเปรอมันด้วยอาหารและผัก จนลูกหมูเหล่านั้นโตอ้วนท้วน

ถึงขนาดแล้ว จึงนำมันมาฆ่า เอาเนื้อมาทำอาหารบริโภคภายในครอบครัวส่วนหนึ่ง

ที่เหลือได้นำไปขายแลกเงิน

นายจุนทะประกอบอาชีพเลี้ยงหมูและฆ่ามานานถึง 55 ปี ในระยะเวลาช่วงนี้

นายจุนทะไม่เคยให้ทาน รักษาศีล ฟังธรรมอะไรเลย แม้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

และภิกษุสงฆ์จะประทับอยู่ที่วิหารเชตวัน ซึ่งอยู่ใกล้กับบ้านของเขา ก็ไม่ทำให้

นานจุนทะเกิดกุศลจิตขึ้นมาเลย

แต่ทุกชีวิตไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ ย่อมหนีกฎแห่งกรรมไม่พ้น
เป็นแต่กรรมนั้น

จะให้ผลช้าหรือเร็วก็เท่านั้น และนายจุนทะก็ตกอยู่ในอำนาจของมัน เวลาผ่านไป

วัยของเขาก็ค่อยๆ แก่ลง สุดท้ายก็ล้มเจ็บ และอาการได้ทรุดหนักลงเรื่อยๆ แต่ก่อน

ที่เขาจะตาย 7 วัน ความร้อนของเปลวไฟจากมหานรกขุมอเวจี ได้มาปรากฏแก่เขา

ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ นายจุนทะเกิดความเร่าร้อนในจิตเป็นกำลัง ได้ส่งเสียงร้องเหมือน

หมูที่ถูกเชือด เที่ยวคลานสี่เท้าไปทั่วเรือน แม้คนในเรือนจะพยายามช่วยกันอุดปาก

ไว้ก็ไม่อยู่ เป็นความจริงทีเดียวว่า ผลของกรรมนั้นไม่มีใครจะห้ามได้ เสียงร้องของ

นายจุนทะ ทำเอาผู้คนที่อาศัยอยู่โดยรอบชั่ว 7 หลังคาเรืองไม่เป็นอันหลับอันนอนกัน

เพื่อจับนายจุนทะไม่อยู่ พวกญาติจึงจับเอาขังไว้ในเรือน แล้วจัดเวรยามคอยระวังอยู่

ด้านนอก

นายจุนทะเที่ยวคลานสี่เท้า ส่งเสียงร้องเหมือนหมู อยู่อย่างนี้ถึง 7 วัน พอรุ่งขึ้น

ในวันที่ 8 เขาก็สิ้นใจ เพราะอกุศลแห่งการทำปาณาติบาตไว้มาก จึงส่งให้เขาไปเกิด

ในมหานรกขุมอเวจี เสวยกรรมชั่วที่นั่น(ความร้อนของเปลวไปนรก สามารถเผาหิน

ก้อนใหญ่ๆ ให้ละลายได้ในชั่วพริบตาแต่สัตว์นรกนั้นจะเป็นเหมือนคลอดออกมาจาก

ครรภ์ของมารดา)

ก่อนที่นายจุนทะจะสิ้นใจ มีพระภิกษุกลุ่มหนึ่ง เดินผ่านบ้านของเขาไปยังเชตวัน

ได้ยินเสียงนายจุนทะร้องก็เข้าใจว่าเป็นหมูที่ถูกฆ่า เมื่อเข้าไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แล้วจึงกราบทูลว่า พระเจ้าข้า ที่บ้านนายจุนทะเขาฆ่าหมูกันมา 7 วันแล้ว เห็นทีจะมีงาน

มงคลอะไรบางอย่าง พวกเขาฆ่าหมูกันอย่างปราศจากความเมตตากรุณาพวกข้าพระองค์

ยังไม่เคยพบเห็นคนที่กักขฬะหยาบช้าอย่างนี้เลย พระเจ้าข้า

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงตรัสแก่ภิกษุเหล่านั้นให้ทราบว่า ภิกษุทั้งหลายที่บ้านนาย

จุนทะ ไม่มีการฆ่าหมูตามที่พวกเธอเข้าใจ แต่ว่าผลกรรมได้มาปรากฏแก่นายจุนทะคือ

ไฟนรกได้มาปรากฏแก่เขา ทั้งในขณะมีชีวิตอยู่ เขาเที่ยวเดินสี่เท้า ส่งเสียงร้องเหมือน

หมูอยู่ภายในบ้านเจ็ดวัน นายจุนทะเพิ่งเสียชีวิตไปในวันนี้เอง และได้ไปเกิดในที่ๆมี

ความเศร้าโศกทุกข์ทรมานอีก

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรับรองคำของภิกษุทั้งหลายว่า อย่างนั้นภิกษุ

ทั้งหลาย บุคคลผู้ประมาทแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคฤหัสถ์หรือพระก็ตามย่อมจะต้องประสบ

ความเศร้าโศกในโลกทั้งสองเหมือนกันจากนั้นพระพุทธองค์จึงทรงตรัสประพันธ์

ภาษิตต่อไปอีกว่า

นรชนผู้ทำกรรมชั่ว ย่อมเศร้าโศกในโลกนี้ จากโลกนี้ไปแล้ว ย่อมเศร้าโศก

เสียใจในโลกทั้งสอง ย่อมเดือดร้อนใจ เพราะพิจารณาเห็นความเศร้าหมองแห่งการ

กระทำของตน

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++





บทความเรื่อง :
เห็นเขารวย อย่าหลงคิดว่าเขารอด

มีคนถามแม่ชีว่า เห็นคนที่เขาขายเหล้า ขายเบียร์ ยาดอง ค้าขายชีวิตสัตว์ ทำไมเขา

ร่ำรวย เจริญรุ่งเรืองจัง เราไม่ได้อยู่กับเขาตลอด เราจะรู้ได้ยังไง เงินมากไม่ใช่ว่ามีความ

สุขนะ เขาก็มีกรรมกับเรื่องนี้ คนเราประกอบอาชีพอะไรก็แล้ว แต่ก็เกิดมาจากกรรมทั้งนั้น

ขายหมูก็ขายชีวิตเขา ขายไก่ก็ขายชีวิตเขา คือแม่ชีเห็นคนที่เป็นอาจารย์เคยทำมาหากิน

เกี่ยวกับฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมาก่อน แล้วอยู่ ๆ มาเปิดโรงเรียนสอนคนหูหนวก แล้วก็เปิดโรงเรียน

สอนพวกดาวน์ซินโดรม แล้วก็คนที่ค้าขายแบบนี้ ค้าขายแบบที่โยมว่าค้าขายชีวิต ค้าขายเป็ด

ไก่ก็รวยขึ้นมา ทุกคนแยกออกมาทำธุรกิจส่วนตัว ทำไมไม่ทำสิ่งที่แบบสื่อสารกันได้ชัดเจน

แหล่งที่มาของเงินทำให้ไปตั้งโรงเรียน พอตั้งโรงเรียนแล้วคนที่เข้ามาในโรงเรียนก็ไม่ปกติ

เลยสักคน ลูกคนที่ได้มานี่ก็ไม่ปกติ หูตึง พูดไม่ได้ แล้วเราจะมีความสุขหรือ สอนเขาก็ไม่รู้

เรื่อง แหล่งที่มาของเงินมันมายังไงมันก็จะต้องไปอย่างนั้น

ธรรมะที่จะเอาตัวให้รอด คือเราต้องมีสติ
มันต้องมีสติรู้ให้เท่าทันกับสิ่งที่ทำลงไป ต้องมี

สติว่าสิ่งที่เราทำลงไป ที่เรามีความทุกข์ทุกวันนี้ ที่เราเอาตัวไม่รอดทุกวันนี้ เพราะบางทีเรา

โลภเกินไป เราโกง เราไม่ซื่อสัตย์ซื่อตรง เพราะเราก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เราทำลงไป มันจะส่งผลถึง

ชีวิต อนาคตของเรา จะทำให้เราเอาตัวไม่รอด ความจริงถ้าเรามีสติ มีความรู้สึกตัว มี

สัมปชัญญะที่จะเตือน อันนี้ของๆ เรา เราทำอาชีพอะไรจะให้เจริญรุ่งเรืองเราต้องซื่อสัตย์นะ

ไม่ใช่เราทุจริต เราต้องซื่อสัตย์ ขายก๋วยเตี๋ยวก็คงสภาพเอาไว้ว่า สูตรมันต้องอยู่แบบนี้ ไม่ใช่

พอเห็นคนเยอะก็เปลี่ยนเพื่อจะให้กำไรมากขึ้น ใครมีหน้าที่อะไรก็ควรรู้ว่าจะต้องปรับปรุง

พัฒนาตัวเองยังไงที่จะให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น แล้วก็อยู่ให้รอด แต่แม่ชีว่าเรื่องของกรรมมันไม่มี

อะไรมาล้างได้ กรรมดีก็ส่งผลมาทำให้เรามีช่องทางที่จะไปได้ตลอดไป แต่กรรมที่ไม่ดีมัน

ก็ส่งผลมาเหมือนกันว่าในขณะที่ธุรกิจกำลังก้าวหน้าเราก็ถูกบั่นทอนด้วยโรคร้าย เราไม่ได้ไป

คลุกคลีกับเขา เราไม่ใช่เขา เราก็จะมองว่า เขาดูดีนะ เขาดูร่ำรวยแต่ทำไมเขาถึงระบายความ

ทุกข์อยู่ตลอด นั่นคือเอาตัวไม่รอด “การเอาตัวรอดไม่ใช่ว่ารอดเพราะมีเงิน
การเอาตัวรอดคือ

ใช้ชีวิตยังไงให้มีความสุขกับนาทีนี้


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


บทความเรื่อง : เราจะบริหารชีวิตของเราอย่างไร

เราจะบริหารชีวิตของเราอย่างไรในเมื่อเรารู้ผิดไม่รู้ถูก พระพุทธเจ้าท่านเสียสละ

ทุกอย่างเพื่อชาวโลก ทุกชาติทุกภาษา สอนให้ทำในสิ่งที่ถูกต้องเพื่อจะได้รู้ทุกข์ รู้เหตุ

ทุกข์ เพื่อดับทุกข์แล้วอยูกับความเจริญอย่างประเสริฐ คือมรรคมีองค์ ๘

ในชีวิตประจำวันแต่ละวันของแม่ชี แม่ชีได้พบเรื่องราวมากมายที่น่าศึกษาว่า

มรรค ๘ ที่ท่านกล่าวว่าเป็นความประเสริฐ คือ ความสุจริต มีความเพียงเอาชนะกิเลส

ตัณหาจากความโลภ ความโกรธ ความหลง

มันเป็นเรื่องยากสำหรับมนุษย์ทุกคนที่ต้องต่อสู้เลี้ยงชีพ เลี้ยงร่างกาย จนนาที

สุดท้ายเอง ชีวิตดูได้จากอาการของผู้ที่กำลังจะจากโลกนี้ไปว่า ไปแบบไหน สุขหรือ

ทุกข์ ถ้าไปแบบทุกข์ก็ทรมานจนสิ้นใจ ถ้าไปแบบสุขหลับสงบนิ่ง หมายถึง สู่สุคติ

แต่คนที่ยังไม่ตาย บางคนเหมือนอยู่ในนรกทั้งยังคงถูกทุบตีทุกวัน เหตุใดทำให้

คนเหล่านี้ต้องรับกรรมเช่นที่เป็นอยู่

นั้นเพราะความไม่เคารพเชื่อฟังพ่อแม่ แม้ไม่นำอาวุธใดฆ่าเขา แต่ใช้คำพูด

เชือดเฉือดให้เสียน้ำตา เวลาใช้คืนก็ต้องถูกทุบตีจากคนที่เรารักเช่นเดียวกัน

มีลูกตีพ่อ มีพ่อตีลูก ลูกก็สู้ มีแม่ตีลูกผูกขามัดแขนตี เพราะอารมณ์โกรธจนบังคับ

ไม่อยู่ สร้างความเกลียดชัง ในแม่และพ่อ

ถึงจะคิดอย่างไร ทำอย่างไร พูดอย่างไร ก็ต้องรับกรรมกันไปเป็นเผ่าพันธุ์ ของ

ตระกูลไปว่าตระกูลนี้เขาฆ่ากันมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย พอมาถึงรุ่นลูกต้องรับโทษกันไป

ตามบุญตามกรรม

-----------------------------------------------------------------------------


พรสวรรค์.....วิชาจากอดีต

คุณพ่อ คุณแม่ที่มีลูก ควรหมั่นสังเกตในสิ่งที่เด็กๆชอบเป็นพิเศษ โดยสังเกตดูว่า

ภายในบ้านเด็กๆ ที่เป็นลูกของเราชอบไปคลุกคลีกับสิ่งไหนเป็นพิเศษหรือไม่ แน่นอน

ว่าหากเป็นการคลุกคลีเป็นพิเศษกับสิ่งดีๆ เช่นเครื่องดนตรีบางชิ้น อุปกรณ์กีฬาบางอย่าง

ดอกไม้ต้นไม้ การวาดภาพ ปากกาดินสอ หรือแม้กระทั่งพระเครื่องพระบูชา สิ่งเหล่านี้

กำลังบอกคุณเป็นนัยๆ แล้วว่านั่นอาจเป็นสิ่งที่ลูกคุณคุ้นเคยมาแต่อดีตชาติ หากคุณ

ส่งเสริมในเรื่องนั้นย่อมเป็นผลดีแก่ตัวเขาอย่างสูงสุด รหัสกรรมแบบนี้แหละที่ปัจจุบัน

เราเรียกว่า พรสวรรค์

พรสวรรค์ ก็คือรหัสกรรมในแง่ที่ดี เป็นผลกรรมทางด้านกุศลที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด

สืบเนื่องมาจากอดีตชาติ โดยมาก พรสวรรค์มักเป็นความสามารถจากอดีตชาติที่ใกล้ๆ

เช่นสองสามชาติที่ผ่านมา แต่ก็มีบ้างที่พรสวรรค์บางอย่างเป็นสิ่งที่ติดตัวและได้รับการ

พัฒนามาอย่างต่อเนื่องในทุกภพทุกชาติ เช่นคนบางคนสามารถปฏิบัติได้ง่าย เข้าใจธรรม

ได้เร็ว ในกรณีเช่นนี้คือการสั่งสมมา ทุกครั้งที่มีการเกิด เด็กเริ่มพูด เริ่มเดินก็จะพยายาม

เข้าหาสิ่งนั้นทันที และหากเป็นรหัสกรรมที่ไม่ดีก็จะมีความหวาดกลัวให้เห็น บางครั้งอาจ

โผล่ขึ้นมาทางความฝัน ซึ่งผู้เป็นพ่อเป็นแม่ควรสังเกตให้มากก็จะเป็นประโยชน์ไม่น้อย

เพราะจะทำให้คุณเข้าใจตัวของลูกและสามารถพัฒนาเขาไปในแนวทางที่ถูกหรือรีบทำการ

แก้ไขสิ่งที่ติดมาแต่อดีตได้ทันเวลา

เพราะอย่างไรก็ตาม เราสามารถหัดนิสัยใหม่ให้แก่เด็กได้และสามารถลบอุปนิสัยที่

ไม่ดีทิ้งไป ทั้งนี้จำเป็นที่ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจ ความโอบอ้อมอารีจากผู้ที่เป็น

พ่อและแม่ ทั้งอาศัยระยะเวลา หากได้ผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญก็ย่อมเป็นสิ่งที่ดีไม่น้อย

เลยทีเดียว รหัสกรรมบางอย่างแก้รหัสไม่ยาก บางอย่างไม่จำเป็นที่ต้องเข้าไปรู้ แต่เมื่อ

รหัสบ่งบอกออกมาก็รีบทำการแก้ไขในสิ่งที่ไม่ดีหรือเป็นการลบรหัสนั้นทิ้งไปโดยไม่จำ

เป็นต้องขุดรากเหง้ามาดู

การแก้ไขนั้นไม่ใช่เรื่องยาก คือการเริ่มปลูกฝังอุปนิสัยใหม่ โดยส่งเสริมความกล้า

ทั้งจากกำลังใจของพ่อแม่ ส่งเสริมคุณงามความดีในจิตใจเด็กตั้งแต่ยังเยาว์ เช่น การ

พาเข้าวัดสวดมนต์แต่เล็กๆ ยังมีวิธีการมากมายที่จะเป็นการเสริมพลังใจแก่เด็ก เมื่อ

พลังใจที่ดีเกิดขึ้นมาแล้ว อำนาจจากจิตที่เป็นบุญก็จะเริ่มลบล้างรหัสอกุศลกรรมเก่าที่

ติดมาเอง เหมือนน้ำใหม่ไล่น้ำเก่านั่นเอง



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++=


ข้อคิดที่ได้จากการฟังธรรม :
การทำความชั่วทุกชนิด ย่อมก่อให้เกิดความเศร้าหมอง
ถ้าอยากให้ชีวิตมีแต่ความสุข ต้องละเลิกในสิ่งที่ผิดศีลธรรม


ฟังธรรม อ่านธรรมะ ช่วงถือศีล :)
โดย คิดแล้วเขียน V:)


วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2552

e-mail ล่ม

ช่วงนี้ mail ข้าพเจ้ากำลังโดนผู้ไม่ประสงค์ดีโจมตี
สืบเนื่องจากที่ทำงาน พาสเวิร์ด เข้าระบบที่ทำงานไม่ผ่าน
แล้วก็ส่งพาสเวิร์ดใหม่มาให้ที่ mail ข้าพเจ้าสำรองไว้
ซึ่งก็ลองเข้าใช้เครื่องอื่นดู ก็เข้าได้
โชคดีที่ check หลายเครื่อง
แต่เครื่องที่เราใช้ประจำเข้าไม่ได้
ตอนหลังเลยเปลี่ยน พาสเวิร์ดใหม่เองหมด
ไม่ได้กด Attack file ที่ส่งพาสเวิร์ดใหม่มาให้
เข้าใจว่า บางทีมีโทรจัน แฝงมาให้เรากด
คงเป็น spyware ที่จะมาดูข้อมูลเรามากกว่า

นี่ mail อันนึงก็เดี้ยงไปแล้ว
เข้าไม่ได้ log in เข้าไปแล้ว ก็โหลดหน้าอยู่นั่นแหล่ะ
ไม่มาสักที ....จนต้องขึ้นว่า ระบบขัดข้อง
สงสัยโดนโจมตีอีกแล้ว

ขอร้องเหอะ! ไม่รู้มันจะอะไรนักหนา!
อยากรู้มา มาถามกันซึ่ง ๆ หน้าดีกว่า
ไม่ชอบเลยแบบนี้ เป็นใครก็ไม่รู้
ชอบเจออะไรแปลก ๆ ประจำ
บางคนอาจจะสนุก อาจจะพอใจ
แต่สำหรับข้าพเจ้าไม่ชอบ!
การให้เกียรติทั้งต่อหน้าและลับหลัง
ควรเป็นสิ่งที่บุรุษพึงกระทำ!

บางทีเราก็คิดว่า มันจะใช่เพื่อนเราส่งมาแกล้งเราหรือเปล่า?
ถึงจะเป็นเพื่อน แต่ควรจะบอกกล่าวให้เจ้าตัวเขารู้ก่อน
อยากรู้ความลับของคนอื่น
เออว่ะ! มันก็เลยชอบอยู่แบบแอบ ๆ
สงสัยอยากจะแอบตลอดชีวิต :))

หรือว่า เป็นศัตรูที่จ้องจะปลอมเป็นเพื่อนเราเข้ามา
ก็ไม่รู้อีกเหมือนกัน เพราะเราอยู่ในที่แจ้ง
ก็ไม่รู้ใครเป็นใคร บางทีก็โมโหนะ ก็ด่ากราดไปเหมือนกัน
โดนใครเข้าก็รับไปก็แล้วกัน เพราะไม่ค่อยชอบวิธีการแบบนี้เท่าไร
มันเหมือนตรูบ้าอยู่คนเดียว....เคยไหมแบบเอาผ้าปิดตาน่ะ
แล้วลองคลำดูว่า ไอ้คนข้างหน้าเป็นใคร? ...

ถ้าไม่อยากตาบอดชาติหน้า ก็อย่าทำในสิ่งที่คนอื่นไม่รู้เรื่องด้วยเลย
เดี๋ยวชาติหน้าจะต้องมานั่งปรึกษาแม่ชี
"แม่ชีครับ แม่ชีขา หนูมีกรรมอะไรหรือครับ (คะ)
ทำไมมองไม่เห็น? "
"อ้อ! โยม ชาติที่แล้วน่ะ คุณชอบแอบไปแกล้งในสิ่งที่คนอื่นไม่รู้
ทำอะไรโดยไม่บอกเจ้าของเขา ซึ่งมันเป็นกรรมอย่างหนึ่ง
ทำให้เจ้ากรรมนายเวรเข้าโกรธเอา

ชาตินี้คุณก็เลยมองไม่เห็น" (ลองจินตนาการดู) :P

มันไม่ค่อยสนุกนักหรอก ...
คนเราควรจะมีความละอายในสิ่งที่ควรละอาย
และควรจะกล้าก็ควรจะกล้า
ไม่ใช่กล้าทำอะไรบ้า ๆ บอ ๆ
จนทำให้คนรอบข้างเดือดร้อนไปด้วย
ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรเหมือนกัน ....

เวรกรรมมีจริงนะจะบอกให้ ลองไปฟังที่แม่ชีทศพรสนทนากับคนอื่นดูซิ
แล้วจะรู้ว่า "อย่าล้อเล่นกับสิ่งที่ไม่รู้ จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจในการกระทำทีหลัง"

เตือนด้วยความหวังดีนะ
(ปล. ข้าพเจ้าถือว่า ได้บอกกล่าวแล้ว
แต่ถ้าใครกระทำการต่าง ๆ
โดยไม่บอกกล่าวข้าพเจ้า
ถือเสมือนไม่เป็นมิตรกับข้าพเจ้าโดยแท้)

จริง ๆ แล้วข้าพเจ้าสงสัยในเรื่องนี้หลายครั้งแล้วล่ะ
ก็พยายามมองโลกในแง่ดี ...แต่ถ้ามองในแง่ดีมากไป
ตัวข้าพเจ้าเองจะมีอันตรายไม่รู้ตัว? เพราะไม่รู้ว่าเป็นใคร?
เขาต้องการอะไรกันแน่?! ...
ใช้วิธีพูดดี ๆ คุยดี ๆ ถามดี ๆ ไม่เป็นหรือ?
ถึงต้องใช้วิธีแบบนี้น่ะ ...อะไรอยู่เบื้องหลังในการกระทำเหล่านี้?

โดย คิดแล้วเขียน :V

วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ธรรมะจากโต๊ะกินข้าว

ช่วงเย็นข้าพเจ้ารับประทานอาหารกับพี่สาว
พอดีเปิดสารคดีเรื่องเกี่ยวกับสิงโตทะเลอยู่

ก็คุยสัพเพเหระเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตบนโลก
พอดีนึกขึ้นได้ว่า ได้อ่านหนังสือเล่มนึง
เรื่องไดโนเสาร์ขึ้นมา เป็นหนังสือของ
หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก เล่มนึง
บอกว่าสาเหตุที่ไดโนเสาร์สูญพันธุ์
ไม่ใช่ลูกอุกาบาตจากนอกโลกตกใส่
แต่เกิดจากโรคระบาด ...(พระบอก)

ข้าพเจ้าก็ลองอนุมานว่า ถ้าลูกอุกกาบาตตกใส่
สิ่งมีชีวิตทุกชีวิตต้องตายเรียบหมด
แต่นี่ยังเหลือสัตว์บางชนิดมาถึงปัจจุบันได้
เช่น ช้าง เต่า จระเข้ (พวกสัตว์โบราณ)
เพียงแต่ตัวเล็กลงกว่าเดิมเท่านั้น
และยังพอมีซากไดโนเสาร์เหลือให้เราศึกษา
ถ้าเป็นลูกไฟ มันต้องเผาผลาญราบเป็นหน้ากลองซินะ
(ลองคิดถึงเหตุผลเล่น ๆ ) ....ก็พอจะเข้าเค้าตามที่พระบอก...
ข้าพเจ้าก็ลองยกข้อมาเหตุผลมาคุยกับพี่สาว

พระที่นั่งกรรมฐานนี่ เขาบอกว่าเห็นแบบนั้นนะ
แล้วก็บอกว่า ภูเขาที่ท่านปฏิบัติธรรมอยู่
แต่ก่อนเป็นทะเล ตอนหลังพื้นดินดันตัวสูงขึ้น
จากทะเลก็กลายเป็นดิน

พี่สาวเห็นด้วยว่า แผ่นดินที่เป็นภูเขา
เกิดจากเปลือกโลกเคลื่อนตัวดันแผ่นดินขึ้นมา
ซึ่งเทือกเขาหิมาลัย
ก็เกิดจากอินเดียชนกับทวีปเอเชีย
จึงดันเป็นเทือกเขาหิมาลัยนี่เอง

ตอนนี้พี่สาวกำลังจะสอนเด็กเรื่อง
ให้แปลเกี่ยวกับแผ่นดินไหวด้วย
ซึ่งประเทศญี่ปุ่น เป็นแนวตะเข็บของโลก
อยู่รอยต่อระหว่าง 3 ทวีป
เวลามีการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก
ญี่ปุ่นมักจะโดนก่อน เพราะมีจุดศูนย์กลางที่โตเกียว
(อันนี้ฟังพี่สาวเล่ามาอีกที เห็นแกบอกว่า
วันหลังเอารายละเอียดให้ดู)
ก็พูดกันถึงเรื่องใต้โลก แผ่นดินไหว
พี่สาวก็บอกว่า ใต้โลกนะเป็นของเหลวทั้งนั้น
เวลาเปลือกโลกเคลื่อนตัว ของเหลวก็มักจะดันออกมา
ตามแนวตะเข็บ ซึ่งบางแห่งก็เกิดเป็นภูเขาไฟขึ้นมา
เช่น ภูเขาฟูจิ ....เปลือกโลกมีความหนานิดเดียว
ประมาณ 60 กิโลเมตรเอง ....
หลักวิทยาศาสตร์เหล่านี้
เรา ๆ ก็เคยเรียนผ่านมาแล้วทั้งนั้น
เรื่องเปลือกโลก ของเหลว
ใต้โลกที่เรียกว่า แมกม่า
แต่พอไหลออกมาจากแผ่นดิน เรียกว่า ลาวา
อะไรประมาณนี้ ....

ข้าพเจ้าก็เข้าเรื่องได้อีก
ก็บอกว่า ศาสดาพระพุทธเจ้าเรานี่เก่งนะ
ไม่ต้องวิจัยอะไร แค่นั่งกรรมฐานอย่างเดียว ^_^
สามารถล่วงรู้สรรพสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ได้หมด
ใต้โลกที่เรียกว่า ไฟนรกโลกันต์ ก็คงเป็นพวกแมกม่า
ที่ไหลวนอยู่ภายในโลก และโลกก็หมุนเป็นวงกลม
เหมือนวงล้อเกวียน ทุกอย่างมีขึ้น มีลง มีเกิด มีดับ
๒๕๐๐ ปี ก่อนวิทยาศาสตร์จะค้นพบ
ท่านทราบหมดทุกอย่างแล้ว ....น่าทึ่งเน๊าะ!!

นักวิทยาศาสตร์หลายคนต่างก็ทึ่งในอัจฉริยะภาพ
ศาสดาของเรา และพยายามหาทางพิสูจน์
สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน สมัยนี้ชาติตะวันตก
หันมาสนใจการนั่งวิปัสสนากรรมฐานกันมากขึ้น
มีพระต่างชาติ ก็สนใจในธรรมะมากขึ้น

คนไทยเราเองกลับไปสนใจสิ่งแปลกประหลาด
กับพวกสัตว์ 2 หัว 6 ขา 4 ตา แล้วตีเป็นหวยกัน
แต่ไม่ค่อยสนใจที่มา หรือที่ไป
พูดง่าย ๆ ว่า ได้รับอะไรมา แล้วไม่ค่อยคิดต่อ
หรือตั้งข้อสงสัยน่ะ ... ถ้าทุกคนหัดตั้งข้อสังเกต
หรือตั้งข้อสงสัยกับสิ่งที่เห็น
คงมีนักวิทยาศาสตร์ในประเทศไทยอีกเยอะ

ส่วนมากคนไทย
ตั้งข้อสงสัยในเรื่องที่ไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าใดนัก
อิอิ ...สมัยนี้ต้องเปลี่ยนหลักสูตรให้เด็กคิดให้เป็น
มากกว่า สอนป้อนข้อมูลให้เด็กจำอย่างเดียว
เพราะคงไม่เกิดประโยชน์เท่าใดนัก
เพราะความจำมักจะอยู่ได้ไม่นาน ....

วันนี้ได้ธรรมะจากโต๊ะกินข้าว
เลยนำมาบอกต่อ เขียน blog นี่แหล่ะ
หม่ำเจให้อร่อย ก็ต้องมีธรรมะกลับแกล้มด้วย อิอิ ^_^

โดย คิดแล้วเขียน :)V