วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

แม่ชีสอนนั่งกรรมฐาน

ให้ดูกายในกาย
อย่าส่งจิตออกนอก



ทำจิตของตนให้บริสุทธิ์

เรื่องของกรรม

ชีวิตไม่แน่นอน
ไม่มีอะไรที่แน่นอน
ฟังธรรมะนี้แล้วเราจะเข้าใจขึ้น
ทำดีไว้ไม่เสียหลาย

บางคนบวชมานาน ก็ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ทุกคน
บางคนไม่ได้บวช แต่หมั่นศึกษาธรรม
ก็สามารถมีความเข้าใจ ในหลักธรรม
สามารถบรรลุโสดาบันได้ก็มี
ในโลกนี้ มีเหตุและปัจจัยหลายอย่าง
ที่สามารถทำให้เราพลิกชะตาตนเองได้

ทำดีไว้ไม่เสียหลาย
ไม่ขาดทุน
รีบทำดีไว้เถอะ เมื่อถึงจุดหนึ่ง
ความดีก็ส่งผลคอยเกื้อหนุน
ผู้ที่ทำความดีนั่นเอง











คิดแล้วเขียน V:)

วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ทำดีไว้ สวรรค์ดลใจ

หลายคนแปลกใจ วันลอยกระทงที่ผ่านมาว่า
ข้าพเจ้าแอบหนีเที่ยวหรือเปล่า
จริง ๆ แล้ววันนั้นบอกที่บ้านไว้แล้วว่าจะไปอบรม
ซึ่งในตอนแรก โปรชัวร์การอบรมบอกเป็นวันที่ 27 พ.ย.53 ด้วยซ้ำ
แต่ในอินเตอร์เน็ท เป็นวันที่ 21 พ.ย.53 ข้าพเจ้าต้องสอบถามให้แน่ใจ
เพื่อมิให้โปรแกรมที่วางไว้ชนกัน ได้ความสรุปว่า เป็นวันที่ 21 พ.ย.53

ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจสมัคร แต่ดันมาชนเทศกาลวันลอยกระทงพอดี
ซึ่งสถานที่ ที่เขาจัดอบรมก็ต้องผ่านแม่น้ำเจ้าพระยา
เพราะอยู่คนละฝั่งกัน จะไปทางบก หรือทางน้ำ
ก็ต้องผ่านแม่น้ำเจ้าพระยา
แต่ข้าพเจ้าถนัดทางน้ำ เพราะเคยลงเรือบ่อยครั้ง

อีกทั้งขาไป สนามหลวงปิดถนนหลายช่วง
เห็นประชาชนเข้าร่วมวิ่งมารธอนกัน
ทำให้ต้องลงท่าช้าง ซึ่งข้าพเจ้าต้องต่อเรือที่ท่าช้างไปฝั่งวัดระฆังพอดี
จากนั้นก็สามารถเดินทะลุถนนหลัก ต่อไปได้ โดยผ่าน รพ.ศิริราช
ตามที่ข้าพเจ้าดูแผนที่ก่อนไป สะดวกและเร็วกว่า
แต่เผอิญขากลับ มารอเรือที่ท่าช้าง ขึ้นเรือผิดลำ
เห็นเรือจังหวัดนนท์ เลยรีบโดดขึ้น เพราะคนแน่น
ปรากฎว่า เรือไปต่อท่าสาธร (เป็นขาไป มิใช่ขากลับ)
จะจ่ายเงินพอดี พนักงานเก็บเงินรีบคืนเงินให้
บอกให้รีบลงท่าเตียน (เป็นท่าถัดไปจากท่าช้าง)
คอยเรือไปนนท์ที่ท่านี้ โดยไม่ต้องเสียเงิน
ก็คอยอยู่นาน เพราะเรือเต็มทุกลำที่ผ่านมา
มีแต่ชาวต่างชาติ เริ่มมืดแล้วด้วย
เลิกอบรม ประมาณ ห้าโมงเย็นกว่าจะมาต่อเรือ
ก็ หกโมงได้ เลยได้อยู่ตรงท่าเตียน ติดกับสวนสาธารณะที่สร้างใหม่
ตอนนั้นก็ยังงง ๆ เพราะเห็นคนนั่งเต็มสวน เหมือนคอยถ่ายรูปอะไรสักอย่าง

ข้าพเจ้าแค่สนใจวัดอรุณฯ ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับท่าเตียน แสงไฟยามค่ำ
และพระอาทิตย์ตก สวยบาดตาบาดใจ
ก็ได้โอกาสเก็บภาพ ที่พอจะเก็บได้ผ่านมือถือรุ่นโบราณ(นิดหน่อย)
ก็เป็นโอกาสดี ได้นั่งเรือชมพระจันทร์ดวงโต และริมแม่น้ำสองฝั่งเจ้าพระยา

แบบนี้ ถ้าไม่ใช่ดวง ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว
ที่บ้านยังสงสัยเลยว่า ข้าพเจ้าเลือกวันเรียนเองหรือเปล่า
แบบว่า ขอหนีเที่ยวในวันลอยกระทง

ก็คงเหมือนคนที่ทำดี สิ่งที่ดีก็ดลจิตดลใจให้เราหลงขึ้นท่าผิด
(มีไม่บ่อยนัก อิอิ)

แต่ถ้าคนดวงมันจะซวย อาจจะดลจิตดลใจให้เราตกน้ำตกท่าเรือ
ก็เป็นได้ บางคนอาจจะจบชีวิตลง หากเกิดขึ้นเรือผิดลำ
แล้วเรือนั้นไปล่มกลางแม่น้ำ

คนเรามันก็ขึ้นอยู่กับเวรกรรมจริง ๆ นะ
ข้าพเจ้าก็ต้องโทร.บอกที่บ้านเป็นระยะ
เพราะกลับบ้านผิดเวลา แถมมาทางน้ำ
ซึ่งคนแน่น ที่บ้านเป็นห่วง เพราะไปคนเดียว
แถมยังถูกสงสัยอีกแน่ะว่า ทำไมกลับทางน้ำ
ไม่กลับทางรถยนต์ (ก็ถนนมันปิดหลายช่วง ตั้งแต่ขาไปแล้ว)
ข้าพเจ้าก็คิดในใจแล้ว ว่าวันสำคัญขนาดนี้
ทางบกรถคงติด คนคงเยอะน่าดู
และแล้วก็จริง ๆ กระเป๋ารถเมล์สายอื่นพูดให้ได้ยินว่า
รถเบอร์ที่ข้าพเจ้าจะกลับขาดตอน
แล้วจะกลับทางไหนได้สะดวก
ถ้าไม่ใช่ทางน้ำ จริงป่ะ

ก็คิดว่า โชคดีในวันพระ
และก็ขอภาวนาให้โชคดีเช่นนี้ตลอดไป สาธุ

ปล.ที่ข้าพเจ้าเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา
มิได้เป็นการข่ม หรือเย๊าะเย้ยคนดวงไม่ดี
แต่เขียนไว้ว่า เมื่อเราทำดีแล้ว
สิ่งที่ดี ๆ ก็จะมีมาให้เราเอง
แม้มีใครกลั่นแกล้ง คนนั้นก็จะแพ้ภัยตัวมันเอง
ถึงแม้ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น
แต่สิ่งที่เราไม่สามารถมองตาเปล่าได้เห็น
เขาเห็นเอง

จุ๊ ๆ อย่าเอ็ดไป
ณ ตอนนี้อาจมีใครกำลังจ้องมองคุณ
กำลังทำอะไรอยู่ก็ได้
อิอิ



คิดแล้วเขียน :))

วัฎสงสาร ไม่เที่ยง

ได้ฟังคำบรรยายของแม่ชีทศพร ตอน ไม่ผูกพันกับลูก แล้ว
นึกได้ว่า หากชาติต่อไป เราต้องเกิดอีก แล้วศัตรู เกิดเป็นพ่อแม่ หรือลูกเรา
จะทำยังงัยล่ะทีนี้

เรื่องนี้มิใช่เรื่องล้อเล่น เพราะข้าพเจ้าเคยอ่านบทความธรรมะจากหลายแหล่ง
อีกทั้งเพื่อนไปดูหมอมา เล่าให้ฟัง ว่าชาติที่แล้วเขาเป็นผู้ชาย
มีเพื่อนผู้หญิงที่สนิทกัน ณ ปัจจุบัน เคยเป็นอดีตภรรยาของเขาเมื่อชาติที่แล้วด้วย
ก็เลยทำให้คิดว่า หากเราไปทำกรรมกับใครไว้ แล้วเขาจองล้างจองผลาญเรา
มันก็จะเกิดกรณีเช่น บทบรรยายธรรมของแม่ชีทศพร
เขาถึงบอกว่า ความรัก ความผูกพัน ความแค้น ความชิงชัง
ก่อให้เกิดชาติภพ ที่จะต้องมาเจอกันอีก
ใครที่ไปเที่ยวหลอกใครไว้ ให้เลิกทำซะ ไม่เช่นนั้น
ชาติหน้าเราอาจจะเป็นคนที่ถูกเขาหลอกได้เช่นกัน
ชาตินี้ไปโกง ใครไว้ ชาติหน้าต้องตามเป็นทาสรับใช้เขา



อันนี้ของแถม อดีตมือปืน ชาตินี้คงต้องตายด้วย "อาวุธ"
ดูลักษณะแล้ว เขาเหมือนคนหวาดระแวง ตาล่อกแล่ก
เป็นกรรมที่ติดมาจากอดีตชาติ รักใครก็ต้องเจอคนมีเจ้าของ
ประมาณว่า คงต้องตายด้วยปืนนั่นแหล่ะ แต่แม่ชีไม่สามารถพูดได้
แค่บอกให้ระวัง



ชาตินี้ทำอะไรไว้ ถ้ากรรมไม่ส่งให้ในปัจจุบัน
มันก็คงส่งผลให้เราในอนาคต หากเรายังไม่พ้นวัฎสงสาร เช่นคำบรรยายธรรมของแม่ชี

คิดแล้วเขียน

วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

คิดแทนเพื่อน

วันนี้ได้คุยกับเพื่อนรุ่นพี่ ที่รับปริญญาโท
จริง ๆ แล้วเรื่องที่คุยกับเขาไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสิ่งที่ข้าพเจ้าคิดเล้ย
แต่ หลังจากที่ได้คุยเสร็จ ทำไมเราถึงนึกขึ้นได้ว่า
พี่เขาคงนึกเสียดาย ที่พ่อไม่ได้อยู่เห็นเขารับปริญญาเป็นแน่แท้
สงสารพี่เขาเหมือนกัน เหมือนตัวคนเดียวแล้วตอนนี้

ไอ้เราซะอีก ยังอีเรื่อยเฉื่อยแฉะ
กะจะเรียนมันจนแก่นั่นแหล่ะ
กะเรียนประชดชีวิตมันเลย
อยากให้ตูเรียนจบช้า นักเดี๋ยวจะเรียนให้ดู
จะทำลายสถิติให้ดูว่าใช้เวลาไปทั้งหมดเท่าไร
จำนวนเงินไม่นับ จิ๊บ ๆ แค่นี้
ยิ่งใครมาพูดล่ะก็ เป็นเรื่องแน่นอน


แต่เมื่อถึงคราวนั้น พ่อกะแม่คงรอเราไม่ไหวแล้วมั้ง
เฮ้อ นี่ถ้าไม่ติดพ่อแม่นะ กะจะเรียนอีกซัก ยี่สิบปี
รอเกษียณแล้วค่อยจบ จะได้ลงกินเน็สบุ๊ก
เป็นบุคคลประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัย
ที่ใช้เวลาเรียนนานที่สุด อิอิ

ปล. ชีวิตนี้เป็นของเรา
อยากทำอะไร ก็จะทำ

คิดแล้วเขียน :))

วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ฟังแม่ชีทศพร ตอบปัญหาทางอินเตอร์เน็ต



ฟังแล้วดีมาก ๆ
เลยนำมาแบ่งปันกันค่ะ

ปล.อย่าเถียงพ่อแม่ เพราะถ้าเรามีครอบครัว
จะทำให้ครอบครัวใหม่ของเราแตกแยก
อันนี้ น่าจะจริงนะ เพราะขนาดพ่อแม่
ยังเถียงได้ ก็คงไม่กลัวใครแล้วล่ะ
มีอะไร ก็คงใส่อารมณ์เต็มที่
แล้วแบบนี้ จะไม่ทำให้ครอบครัวแตกแยกได้ยังงัย


คิดแล้วเขียน :))

วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

มารศาสนา

วันนี้ ไม่สามารถเข้าฟังธรรมใน web แม่ชีได้
ไม่รู้เป็นอะไร เมื่อวานยังฟังได้อยู่
คนที่ห้ามคนอื่นฟังธรรม หรือแกลังปล่อยไวรัส
ใน web ธรรมะ ระวังจะเจอกรรมสนอง
ทำอะไรก็จะมีแต่อุปสรรค
การที่เป็นคนคอยขัดขวางในการที่ผู้อื่นจะทำความดี
เขาเรียกว่า เป็นตัวมารอย่างนึง

รู้อย่างนี้แล้ว อย่าได้คิดทำไม่ดีลับหลังคนอื่นอีกเลย
กรรมไม่ตกกับตัวเอง ก็ต้องตกไปถึงญาติ ๆ
หรือครอบครัวของตนเองไม่ทราบสาเหตุ
ทำให้เราทุกข์ใจ

ไม่เชื่อ ก็ตามใจ

คิดแล้วเขียน :(

วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ตัวอย่างกรรม การขอลูกกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์

ข้าพเจ้าก็เคยได้ยิน และได้เห็น
บุคคลที่อยากมีลูกแล้วไปเที่ยวตระเวนขอลูก
จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้มาเกิด ส่วนมากจะเป็นลูกชาย
เขาจะเป็นลูกเทวดา เหมือนตัวอย่างในนี้เปี๊ยบเลย
พ่อแม่ไม่กล้าแต่ะต้อง ทำอะไรไม่ได้

ถ้าพ่อแม่เป็นทุกข์เพราะลูกคนที่เราขอ
กลับกลายเป็นว่า ทำให้ลูกตกต่ำลงไปอีก
บางคนถึงขนาด ไม่ตีลูกเลยนะ
เพราะเคยได้ยินมาว่า ตีลูกแล้วสิ่งศักดิ์สิทธิจะโกรธ
ลูกมันก็เลย เป็นลูกเทวดาจริง ๆ เลย
พ่อแม่มีอะไรถวายให้ลูกหมด เอ้อ

ตัวอย่างกรรมนี้ เป็นวิทยาทานว่า อย่าขอลูกกับสิ่งศักดิ์สิทธิ
เพราะมันจะทำให้เราทุกข์กับสิ่งที่เราขอ มากกว่า




แถมอีกเรื่องนึง การเป็นโรคร้ายแรง
ให้อธิษฐานก่อนเป็น เพื่อตัดกรรมที่เป็นเผ่าพันธุ์



คิดแล้วเขียน :))

วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วันคล้ายวันเกิด

วันนี้ตื่นแต่เช้า ทำบุญใส่บาตรอาหารที่เตรียมไว้
โดยฝีมือข้าพเจ้าเอง อิอิ :))
แม่กับพ่อโทร.มาอวยพรวันเกิดแต่เช้า
แต่สัญญาณโทรศัพท์เฮงกระบวย
พ่อพูดแค่ Happy Birthday สัญญาณดันหลุดไปซะหนิ

เพื่อนหน้าเดิม ๆ ที่เคยให้ของขวัญประจำทุกปี
ก็เดินมาอวยพร ฮืม น่ารักซะ
บ้านข้าพเจ้า มีธรรมเนียมปฎิบัติแบบนี้มานาน
โดยเฉพาะป้า ใครเกิดวันไหนจำได้หมด
ไม่ได้ไปหาด้วยตัวเอง ก็โทรศัพท์ไปอวยพร

ข้าพเจ้าก็คงจะติดนิสัยแบบนี้มาด้วยกระมัง
ถ้ารู้ ก็จะอวยพรวันเกิดให้ โดยมารยาท
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้สนิทอะไรกันมาก
ของขวัญไม่จำเป็น เพราะบางคน
ทางบ้านเขาเดือดร้อนทางการเงิน
อันนี้ เราไม่ชอบ ที่จะเบียดเบียน หรือเบียดบัง
สิ่งของของคนอื่นอยู่แล้ว

แค่จำวันเกิดได้ นี่ก็ดีใจแล้วล่ะ

วันนี้ก็ได้ฤกษ์ควักกระตังค์จ่ายค่าทัวร์ไปแล้ว
วันนี้ขออะไรก็ได้หมด สุดปลื้ม
ปลายปีนี้ คงได้เที่ยวฉลุ้ยเป็นแน่แท้
อิอิ

ปล. ฉลาดนัก มักพบแต่ความทุกข์
เจ้าเล่ห์นักมักเป็นคนที่คบยาก

คนเราจะดูคน ไม่ต้องดูแค่ให้ของอะไรหรอก
แค่ดูพฤติกรรมที่ทำต่อครอบครัว
ก็คงมองถึงอนาคตได้

เราจะทำดีกับใครต้องดูถึงผลประโยชน์
ที่จะได้รับว่าคุ้มกันไหมด้วยรึ ฮืม เน๊าะ
แค่นี้ก็รู้แล้ว ว่าใครร้ายกว่าใคร

ร้ายจริง ๆ สมกับคำที่นึกได้
หมั่นไส้ใครบางคนจังเลย ฮึ

วันนี้เสี่ยงทายดวง ได้ดังนี้

5. อย่าแก้ไขสถานการณ์ด้วยการโกหก

เพราะถึงอย่างไรความจริงก็ต้องเปิดเผย

ที่ควรทำคือการยอมรับและเผชิญหน้า

อย่าคิดว่าวันเวลาจะลบเลือนได้ทุกสิ่ง


ใครโกหกใคร ก็หาทางออกให้ดี ๆ ล่ะ
โกหกในวันนี้ หากถูกเขาจับได้
น่าอายมากกว่า แถมเป็นคนที่เชื่อถือไม่ได้
หมดสิ้นถึงความไว้วางใจ อะจึ๋ย ๆ ไม่รู้นะ

คิดแล้วเขียน :))

วันเสาร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

sex เป็นบาปไหม?

นึกถึงเรื่องนี้ ก็เลยอยากเขียน
ว่าทำไม คนสมัยโบราณ จึงมีข้อห้ามในเรื่อง sex
ทำไมถึงต้องโยนบาป ให้กับผู้หญิงที่เป็น หญิงงามเมืองว่า
เป็นตัวกาลิณี บ้านกาลิณีเมือง
ข้าพเจ้าก็พอจะเข้าใจอยู่

เมื่อผู้หญิงคนนึง ยอมแก้ผ้าให้ผู้ชายดู
แต่คนที่เดือดร้อน มิใช่ผู้หญิงคนที่แก้ผ้านั้น
แต่เป็นผู้หญิงอีกหลาย ๆ ร้อยคน
ที่ต้องตกเป็นเหยืออารมณ์ทางเพศ ที่คั่งค้างของผู้ชาย
ผู้หญิงบางคนต้องตายลง เพราะผู้หญิงเพศยาพวกนี้เป็นต้นเหตุ
ในสมัยก่อนผู้หญิงพวกนี้ ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ

แต่สมัยนี้ กลับกลายเป็นว่า
ผู้หญิงพวกนี้อยู่ในสังคมได้ดิบได้ดี
มีเงินใช้ ไม่แคร์สังคม
และกลายเป็นว่า ดาราสมัยนี้เป็นหญิงกาลิณีกันมากขึ้น
เงินมาผ้าหลุด เป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว
หารู้ไม่ ตัวเองเป็นคนที่ทำร้าย ผู้หญิงด้วยกันเอง
ทำร้ายสังคม

เรื่องเพศ ถ้าอยู่ในสถานที่เหมาะสม
มันคงไม่บาปหรอก เพราะเป็นเรื่องของคนสองคน
แต่ถ้าเป็นในที่สาธารณะ ควรจะระมัดระวังให้มาก
เหมือนคนสมัยก่อน ที่ทำไมเขาถึงชอบ
เอาก้อนหินปา อีพวกผู้หญิงงามเมือง ผู้หญิงมากชู้หลายผัว
เป็นตัวอย่างที่ไม่ดี เพราะเป็นแบบนี้นี่เอง

มิได้อิจฉา แต่มรึงทำให้ผู้หญิงหลาย ๆ คน
อยู่ในสังคมกันอย่างลำบากมากขึ้น นั่นเอง
แล้วคิดว่า ผู้หญิงพวกนี้ ทำบาปไหมล่ะ

คิดแล้วเขียน :))

วันศุกร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เมื่อความคิดของชาย&หญิง แตกต่างกัน

วันนี้เพื่อนผู้หญิงคนนึง (กำลังมีแฟนคนใหม่)
มาเล่าให้ฟัง ว่าเพื่อนชายจะซื้อเสื้อหนาวยี่ห้อ เพลย์บอยให้
เผอิญว่า เพื่อนคนนี้รู้จักแต่ยี่ห้อ แต่ไม่รู้จักหนังสือ
ทำให้เป็นที่แปลกใจของแฟน(ไม่ค่อยหนุ่ม)
ว่ามีลูกมาแล้ว ทำไมไม่รู้จักหนังสือชนิดนี้ได้

ข้าพเจ้าก็แปลกใจเหมือนกัน
เขามาถามข้าพเจ้าว่า รู้จักไหม
ไม่เห็นน่าถาม ข้าพเจ้าไม่ได้ อินโนเซ็นท์ซะขนาดนั้น
คำว่า "เพลย์บอย" ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า เด็กผู้ชายที่ไม่คิดจริงจัง
ก็น่าจะเดาได้ว่า เป็นหนังสือของผู้ชายได้

ข้าพเจ้าคิดว่า คงเป็นมุกแกล้งกันมากกว่า
หรือไม่ก็คงหลอกถามข้าพเจ้าเรื่องอย่างว่าด้วย
ไม่เป็นไร ก็เลยอธิบาย และเทศนาเพื่อนคนนี้ยาวเหมือนกัน
ว่า การที่เราดูหนังโป๊ คลิปโป๊ มิใช่เรื่องแปลก
ไม่รู้ซิ ถึงแปลก ก็อาจมองได้ว่าเป็นคนลวงโลกหรือเปล่า

แต่ข้าพเจ้าก็พูดให้เพื่อนผู้หญิงคนนี้เข้าใจว่า
ที่ดู ก็เพราะให้รู้ว่า ผู้ชายเขาคิดกันยังงัย
ดูแล้ว รู้สึกได้เลยว่า
ผู้ชายเขาคิดกับผู้หญิงในการสนองความต้องการทางเพศของเขา
ทำให้เรารู้จักที่จะระวังตัวมากกว่า พวกไม่รู้

ผู้ชายดูคลิปพวกนี้มาก ก็เพราะมีความต้องการ
เลยทำให้มองผู้หญิง เป็นเครื่องสนองตัณหาอย่างนึง
แต่ผู้หญิงต้องการคนที่จะมารัก และดูแลเรา เป็นเพื่อนคู่ทุกข์คู่ยาก

สมัยนี้จึงมีการหย่าร้างกันมาก เพราะผู้หญิงและผู้ชายคิดต่างกัน
เพราะผู้หญิงต้องการความรัก การปกป้อง มิใช่เป็นเครื่องสนองตัณหา
ประเภทอยากมา ก็มา อยากไป ก็ไป
มาเมื่อต้องการ เขี่ยทิ้ง เมื่อมีของใหม่ เร้าใจกว่า
ไม่ดูแล ไม่เอาใจใส่ มีแล้วเหมือนไม่มี
ก็อย่ามีเสียดีกว่า หรือมีเราแล้ว แล้วไปมีคนอื่นอีก
ก็สู้ไม่มีดีกว่า จริงไหม?

ไม่รู้ว่า เพื่อนผู้หญิงเขาจะเข้าใจในสิ่งที่ข้าพเจ้าพูดให้ฟังหรือเปล่า?
ยิ่งถ้าผู้ชายมีเงิน เขาสามารถใช้เงินซื้อเราได้
ก็เหมือนกับดาราในสังคม ที่มีข่าวกันเกรียวกราว
แล้วเราจะเป็นผู้หญิงแบบนั้นหรือ?

ของแบบนี้ ก็ขึ้นอยู่กับว่า
ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ.......สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว.


คิดแล้วเขียน :))