วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

อย่าเป็นประชาธิปไตย = บ้าระห่ำ

ภาพเก็บตกจาก ฟอร์ดเวิ์รดเมล์
ในโซนแดงฆ่ากันเอง


จากรูปให้ดูวิถีกระสุนว่าพวกเสื้อแดง
หลบอยู่หลังบังเกอร์ แต่คนที่ถูกยิง
ถูกยิงที่ขาและไหล่
กระสุนปืนไม่ได้มาจากด้านหน้าอย่างแน่นอน
จะว่าเป็นด้านบน แล้วทำไมไม่เห็นมีใครเงยหน้ามองเลยล่ะ

ในโซนฆ่าฟัน แดงฆ่ากันเอง

ถ้าใครดูข่าวก็จะรู้ว่ากลุ่มทหาร,ตำรวจจะอยู่ทางขวามือแล้วที่หลบอยู่นี้อยู่ทางซ้ายมือหลังบังเกอร์ยางรถยนต์

















ประชาธิปไตยผิดวิธีอาจได้ตายฟรีกันเยอะ
(และมักจะโยนความผิดให้ฝ่ายตรงข้ามได้เสมอ)
สงสารพ่อแม่ที่เลี้ยงมาบ้างเถอะนะ
เขาหวังพึ่งเราในยามแก่เฒ่า หรือยามเจ็บป่วย
อย่าให้พ่อแม่ต้องมาเผาผีลูกก่อนวาระอันควร
อุดมการณ์ถ้ามากไป ก็กลายเป็นคนบ้าได้เหมือนกัน


คิดแล้วเขียน :(
เขียนให้คิด

วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

หมั่นสังเกตตนเอง

ตอนนี้ข้าพเจ้า ออกจะเริ่มวิตกจริต ^_^
กลัวเป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
เนื่องจากว่า วันนี้ยืนอยู่เฉย ๆ
เหมือนศีรษะมันโงนเงนไปนิดนึง
ไม่ได้มึนศีรษะนะ
แต่มันโงนเงน ต้องนิ่งแป๊ปนึง
จึงเข้าสู่สภาวะปรกติ
เมื่อคืนก็ไม่ได้อดนอน
นอนเต็มที่อยู่แล้ว ^__^

วันนี้อาการเริ่มบ่งบอก 2 ครั้ง
(รอดูว่าจะเป็นอีกหรือไม่ และจะบ่อยแค่ไหน)
กำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้อยู่
และอาการโงนเงนนี้
นอกจากน้ำในหูไม่เท่ากันแล้ว
สามารถเป็นโรคอะไรได้อีก
เฮ้อ! กลายเป็นหมอประจำตัวเองซะแล้ว
เป็นเอง วินิจฉัยเอง และสามารถตายเองได้
ถ้าไม่ได้รับการรักษา

จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างทันท่วงที

ข้าพเจ้าคิดว่า คนไข้ควรจะรู้อาการ
ของโรคบางอย่างของตัวเองบ้าง
เพราะร่างกายนี้
เป็นของเรา
อย่างน้อยก็ช่วยแพทย์วินิจฉัยในเบื้องต้น
จะได้รู้โรคที่เป็นเร็ว ๆ ขึ้น
ดีกว่ารักษาไปนาน ๆ
จนไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไร
กว่าจะรอหมอ
บางอย่างร่างกายเราก็รอไม่ไหวแล้ว


คิดแล้วเขียน :)V

วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

หลงวัน ลืมคืน

ช่วงนี้ข้าพเจ้าก่ง ก๊ง
ลืมนั่น ลืมนี่ นี่ก็ลืมไปว่า
วันนี้เป็นวันเสาร์ นึกว่าเป็นวันอาทิตย์
หยุดมา 2 วันแล้ว
สงสัยจะหยุดบ่อยเกินไป
เลยจำวัน จำคืนไม่ค่อยได้
บางอย่างไอ้ที่ควรจะลืม
มันก็ไม่ลืม ไอ้ที่ควรจะจำ ก็ไม่ค่อยจะจำ
ช่วงหยุดยาว ไปเช่าหนังเรื่อง

"ความจำสั้น แต่รักฉันยาว"
เพิ่งได้รู้จัก ดูหนังเป้ อารักษ์ก็คราวนี้
เห็นแต่โฆษณา ดู ๆ ไปแล้ว
นิสัยตัวละครในเรื่องนี้
คล้ายชีวิตใครบางคน
แต่ไม่ขอพูดดีกว่า เพราะไม่ใช่เรื่องของเรา
แนะนำให้ดูหนังชีวิตบ้าง
เพราะอย่างน้อยก็คงสะกิดใจให้แง่คิด
ในการดำเนินชีวิตได้บ้าง
เอาเป็นว่า ....

ถ้าชีวิตเหมือนในละคร
บทสรุปจบท้ายตอน คงดีทุกเรื่อง
อ่ะนะ ^___^


คิดแล้วเขียน
เขียนแล้วให้คิด :) หว่า ๆ แบร ๆ V

วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

คำแนะนำจากพระไพศาล วิสาโล

ถอนพิษความทรงจำเลวร้าย-เปิดรับความสุขด้วยปัญญา”

พระไพศาลเตือนสติคนไทย “ถอนพิษความทรงจำเลวร้าย-เปิดรับความสุขด้วยปัญญา”


ท่ามกลางสถานการณ์ปัจจุบัน ถ้าเราจำไม่เป็นก็จะเจ็บปวด เคียดแค้น ขณะเดียวกันคนไทยก็ยังมีทางเลือกที่จะมีความสุข ซึ่งไม่ได้หมายถึงการละเลยหรือหลงลืม แต่หมายถึงความสามารถจดจำเหตุการณ์ร้ายๆได้โดยไม่เจ็บปวด โดยการรู้จักเก็บเกี่ยวบทเรียนและฉลาดถอนพิษจากความทรงจำที่เลวร้าย

พระไพศาล วิสาโล พระนักพัฒนา เจ้าของรางวัลศรีบูรพา 2553 กล่าวปาฐกถา “สุขแท้ด้วยปัญญาท่ามกลางความขัดแย้งของสังคม” ในงานมอบรางวัลคลิปวีดีโอสุขแท้ด้วยปัญญา ของเครือข่ายพุทธกิกา โดยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา 16 สี่แยกคอกวัว เมื่อเร็วๆนี้ ท่านเตือนสติคนและสังคมไทยว่าเหตุการณ์ในรอบ 2 เดือนที่ผ่านมา ให้บทเรียน 4 ประการ ซึ่งถ้าเข้าใจก็จะเป็นต้นทุนสร้างสุข หรืออย่างน้อยป้องกันไม่ให้เกิดความทุกข์ซ้ำรอยอีก

ข้อแรก-คนเราเมื่อหลงติดในตัณหา มานะทิฐฐิ เต็มไปด้วยความโกรธ เกลียด ก็ทำอะไรได้ทั้งนั้น รวมทั้งทำร้ายซึ่งกันและกัน ตัณหาก็คือความยึดติดในผลประโยชน์ ทิฐฐิคือความถือตัว และมานะคือถือว่าตัวเองสูงกว่าดีกว่าคนอื่น

สอง-เมื่อมีการใช้วิธีการรุนแรง ทุกฝ่ายก็ต่างพ่ายแพ้ด้วยกันทั้งนั้น

สาม-เมื่อไม่มีฝ่ายไหนถอย ย่อมเกิดความพินาศ

สี่-ความเหลื่อมล้ำไม่เป็นธรรมทางสังคม นำไปสู่ความแตกแยก


“จึงน่าจะจำบทเรียนจากเหตุการณ์นี้ เพื่อนำชีวิตและสังคมไทยให้พ้นขวากหนาม และกับดักแห่งความรุนแรง ไปสู่ความสุขทางปัญญา เผชิญหน้าความจริง ไม่ใช่เรียกร้องให้สามัคคีด้วยคำขวัญ หรือให้หลงลืมอดีต นี่เป็นการสร้างความสุขระดับสังคม ประเทศชาติ”

ส่วนความจริงเฉพาะหน้าคือผู้คนทั้งหลายมีความทุกข์มาก ใจยังปิดรับความสุขเพราะมีภูเขาขวางกั้นคือความโกรธเกลียดฝังแน่นทำให้เร่าร้อน เห็นอีกฝ่ายเป็นคนเลว ปิศาจ เดรัจฉาน ติดป้ายตีตรากัน ถ้าเราเห็นทุกคนเป็นมนุษย์ ศัตรูแท้จริงคือความโกรธเกลียดพยาบาทโลภเห็นแก่ตัว ก็จะหันมาใช้ความรัก เมตตา ดีต่อกัน ส่วนใครที่มีความเห็นต่าง ซึ่งเรามักจะผลักเขาออกไปกระทั่งกลายเป็นศัตรู ถ้ามีปัญญาเห็นว่าความแตกต่างเป็นเรื่องธรรมดา จะทำให้เกิดขันติอดทนต่อกัน ใจกว้าง และคลายความโกรธเกลียดลง

“ปัญญายังทำให้เห็นว่าไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน คนที่เกลียดโกรธกันวันนี้ พรุ่งนี้อาจรักกัน คนที่เคยเข่นฆ่ากันเมื่อ 30 ปีที่แล้ว 6 ตุลา 19 ฝ่ายหนึ่งเป็นรัฐ อีกฝ่ายคอมมิวนิสต์ วันนี้อยู่พรรคการเมืองเดียวกัน ถ้าเรามีปัญญาเห็นความจริงในมุมที่กว้างไกล รู้เท่าทัน ก็จะรู้ว่าจะเข่นฆ่ากันไปทำไม”

คนจำนวนมาก ล้วนมีความเจ็บแค้นเศร้าโศกเพราะสูญเสียสิ่งรัก คนรัก ไม่ว่าสีเหลือง แดง ไม่เหลือง ไม่แดง การได้เห็นความทุกข์ของผู้อื่นว่าเหมือนเราหรือมากกว่า เปิดใจรับรู้ก็จะเปลี่ยนมุมมองจากที่คิดว่าเขาเป็นฝ่ายกระทำ-เราถูกกระทำ เป็นเราต่างกระทำสร้างความทุกข์ให้แก่กัน และต่างได้รับผลพวงจากความทุกข์เสมอหน้า เมื่อเห็นคนอื่นเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ก็จะคลายความเจ็บปวดคับแค้น การให้อภัยก็เกิดขึ้นได้

ภูเขาขวางกั้นอีกลูกคือ ความหดหู่เศร้าหมอง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้บางคนท้อแท้สิ้นศรัทธาในมนุษย์ หมดหวังกับบ้านเมือง แต่บ้านเมืองไม่ใช่เพิ่งเจอเหตุการณ์แบบนี้ คนไทยหลายคนก็เคยรู้สึกเช่นนี้ในเหตุการณ์ 6 ตุลาที่ฝ่ายซ้ายขวาสู้กันอย่างถึงที่สุด แต่ก็กลับมามีศรัทธา ความหวัง สร้างสรรค์ความดีงามได้

“คนชอบหลงลืมและทำซ้ำรอยอดีต ไม่ถึง 20 ปีมีพฤษภาทมิฬ ไม่กี่ปีมีเหตุการณ์ 10 เมษา ถ้าเรามีทัศนะที่กว้างไกลเชิงประวัติศาสตร์ ก็เริ่มอนาคตที่สดใสได้”

ถ้าจัดการกับสิ่งต่างๆข้างต้นได้ ใจจะเปิดรับความสุข บ้านเมืองจะมีความหวังขึ้นใหม่ เมื่อเยียวยาจิตใจตัวเองได้แล้วก็ออกมาช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ไม่ว่าสีใด อุดมการณ์ใด อย่างน้อยอย่าไปซ้ำเติมให้เขาเจ็บปวดเคียดแค้นมากขึ้น มากกว่านี้คือรับรู้เข้าใจความทุกข์เขา ถ้าช่วยเยียวยาด้วยการกระทำยิ่งดี

ผลักดันให้คนทำร้ายกัน ทำให้เกิดความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ตอนนี้เชื้อความรุนแรงระบาดมา 73 จังหวัดที่เหลือ เราจึงต้องใช้ปัญญาเห็นถึงรากเหง้าที่อยู่ในใจเรา และในโครงสร้าง

“อยากจะย้ำว่า ความสุข ไม่ว่าระดับบุคคลหรือสังคม ต้องใช้ปัญญา และถ้ามีเมตตา กรุณา เข้ามาประกอบด้วย ก็จะช่วยให้แก้ปัญหาได้ตรงจุด และดึงพลังปัญญาออกมาเป็นพลังสร้างสรรค์”

-------------------------------------------
วันนี้ใครจะชนะใครก็ไม่เท่ากับ
เราชนะใจตนเอง ในการใช้ชีวิตอย่างมีสติ
ใช้ปัญญาในการกลั่นกรองข้อมูลข่าวสาร
ที่ได้รับมาจากทั่วทุกสารทิศ
ไม่เติมเชื้อไฟ โลภ หลง โกรธ
ให้โหมกระพือในใจตนเอง พร้อมที่จะทำลายล้าง
ฝ่ายตรงข้ามตนให้ย่อยยับไปกับมือ
ถ้าทุกคนต่างไม่เติมเชื้อไฟให้ตนเอง
แค่นี้ สันติสุขก็จะกลับมายังในประเทศไทยได้อีกครั้ง ^__^

เอ้! ข้าพเจ้าคิดข้อความนี้ ได้งัยเนี่ยะ อิอิ

คิดแล้วเขียน :))

วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

รู้สึกแปลก ๆ

วันนี้ข้าพเจ้าจำเป็นต้องไปทำธุระที่แถว IT
ดั๊นไปเจอคู่กรณีเก่า เพื่อนสนิทของเพื่อนชายอีกที
เขามาซื้อของไปเยี่ยมแม่เพื่อนที่ล้ม
(ช่างมีน้ำใจจริง ๆ) รวมกลุ่มกันมีน้ำใจ
แล้วเขาก็วานให้เอาของไปเพื่อนเขาบนห้อง
แล้วก็เผล็บ! ไปไหนไม่ทราบ ...แล้วก็มาคุยเรื่อง
เพื่อนชายในกลุ่มที่แยกตัวออกไปให้ฟังว่า
คุยอะไรเกี่ยวกับเพื่อนคนนี้ บ้างหรือเปล่า?
เขาว่าเพื่อนชายคนนี้ไปม๊อบ แล้วออกจากม๊อบไม่ได้
โทร.ไปก็โกรธ ตะคอกใส่เขา เพื่อนเขาก็เป็นห่วง
ให้ข้าพเจ้าช่วยเตือนเพื่อนผู้ชายคนนี้หน่อย
(โธ่! นี่กะหาเรื่องให้ตูถูกด่าด้วยอีกคนล่ะซิ!)
อยู่ดีไม่ว่าดี ...

เรื่องการเมืองข้าพเจ้าไม่ชอบคุยอยู่แล้ว
เพราะเถียงพวกมันไม่ทัน 5555 :))
เลยเงียบดีกว่า เดี๋ยวถ้าข้าพเจ้าเก็บอารมณ์ไม่อยู่
จะทะเลาะกันเป็นเรื่องราวใหญ่โต
อายชาวบ้านเขา ....อีกอย่างความคิดของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
เราก็ได้ยินได้ฟังมาอีกแบบนึง ทางโน้นเขาก็ว่าของเขาดี

ไม่รู้ว่าที่คุย ๆ มาให้ฟังจะยังงัย?
ประสงค์ดีหรือร้าย ... ไม่แน่ใจเพื่อนคนนี้...แปลก ๆ
(หายไปนาน มาครั้งนี้คุยดีได้?)
บางครั้งก็ดี๊ดี บางครั้งก็บ้า อะไรของแกก็ไม่รู้ ตามอารมณ์ไม่ทัน
เอาแน่เอานอนอะไรไม่ค่อยได้ ไม่รู้จะมาไม้ไหน?
รักกัน ทำไมไม่เตือนกันเองล่ะ
เรามันออกมานานแล้ว ไม่รู้เรื่องราวอะไรเกี่ยวกับเขา
เขาไปไหนมาไหน ยังไม่เคยบอกเราสักคำ
เรื่องของเขา ก็ยังไม่เคยมาเล่าอะไรให้ข้าพเจ้าฟัง

แต่ละวัน ทำงานที่ไหนบ้าง
วันหยุด วันธรรมดา ไปไหนมาไหนกะใครยังงัย
แล้วจู่ ๆ จะให้ตูไปเจือก! สติหรือเปล่า?

คิดแล้วเขียน :(

วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

คางคกร่าเริง

ค่ำนี้ฝนตกหนักมาก
เลยนึกเพลงเกี่ยวกับสายฝน
มีเพลงนึงที่ฟังสนุก คือ
คางคกร่าเริง ของ นูโว

Nuvo

ฝนเอย ฝนตกคางคกได้ใจ
ร้องเพลงเรื่อยไปเพราะมันชอบใจสายฝน
ฝนซาฟ้าเปิดเสียงนกกระจอก
จิ๊กจิ๊ก จ๊อกจ๊อกมันบอกดีใจ
น้ำนองไหลมาฝูงปลาชอบใจ
ร้องเพลงเรื่อยไปเพราะมันชอบใจน้ำนะ

แล้วพอน้ำแห้งมดแดงได้ท่า
ร้องเพลงออกมาว่ามันได้ปลาไปกิน
ร้องเสียงดังจังเลยร้องแล้วมันสบายใจดี
ร้องแล้วได้อะไรร้องแล้วอารมณ์ดีครื้นเครง

ส่วนตัวฉันไม่สนใจวันวันร้องเพลงเรื่อยไป
จะแดด จะฝนจะอุ่น จะหนาว
ใจก็ยังร้องเพลงจะมีน้ำนองไหลมา
เวลาน้ำนองแห้งหายจะแห้ง จะน้ำ
ก็ไม่เป็นอะไรเมื่อใจก็ยังมีรัก...

ร้องเสียงดังจังเลยคงไม่เคยดีใจ
ร้องแล้วมันสบายใจดีร้องแล้วได้อะไร
ประหลาดใจเต็มทีร้องแล้วอารมณ์ดีครื้นเครง

ร้องเสียงดังจังเลยคงไม่เคยดีใจ
ร้องแล้วมันสบายใจดีร้องแล้วได้อะไร
ประหลาดใจเต็มทีร้องแล้วอารมณ์ดีครื้นเครง

ร้องเสียงดังจังเลยคงไม่เคยดีใจ
ร้องแล้วมันสบายใจดีร้องแล้วได้อะไร
ประหลาดใจเต็มทีร้องแล้วอารมณ์ดีครื้นเครง

ร้องเสียงดังจังเลยคงไม่เคยดีใจ
ร้องแล้วมันสบายใจดีร้องแล้วได้อะไร
ประหลาดใจเต็มทีร้องแล้วอารมณ์ดีครื้นเครง



คิดแล้วร้องเป็นเพลง :))

วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เบื่อจริง ๆ อยากไปเที่ยวทะเล

ช่วงนี้เห็นแดดเปรี้ยง ๆ อากาศร้อน ๆ
เบื่อการเมือง เบื่อคนรอบข้าง
ที่วัน ๆ เอาแต่พูดเรื่องเครียด ๆ
อ่านข่าวทุกวัน ทีวีก็ฟัง อินเทอร์เน็ตก็อ่าน
อ่านแล้วก็เครียด เก็บมาเป็นอารมณ์ไปอีก
ทำให้หลายวันที่ผ่านมา ช่วงที่หยุดไปทำให้นึกอยากไปเที่ยวทะเล
ไปให้ไกล ๆ จากสังคมอันน่าเบื่อหน่าย

กลับไปดู music VDO ของป๋าเบริ์ดแล้ว
ทำให้นึกย้อนอดีต ถึงพี่คนนึงที่เป็นแฟนป๋าเบิร์ดตัวจริง




เห็นท้องฟ้ากับน้ำทะเล แล้วอยากหนีไปเที่ยวทะเลจริง ๆ :)P

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

งามทั้งใจ และใบหน้า

http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9530000071015

เห็นเด็กเยาวชนรุ่นใหม่ ช่วยกันทำความสะอาดสถานที่
ที่พวกแดงทำเลอะเปรอะเปื้อนไว้
สะท้อนให้เห็นถึง จิตใจมนุษย์ได้เป็นอย่างดี
การอบรม การศึกษา ก็เป็นส่วนหนึ่ง
ที่ช่วยขัดเกลานิสัยของคนให้มีความคิดดี ๆ

แล้วแบบนี้ จะไม่ให้คนที่มีความคิด
เขานึกเปรียบเทียบขึ้นมาได้อย่างไร?

สำเนียง ส่อภาษา
กิริยาส่อสกุล
หน้าตา ก็บอกยี่ห้อได้ส่วนหนึ่งเหมือนกัน

ว่าแต่ ข้าพเจ้าก็อยากงามน้ำใจแบบนี้เหมือนกัน
แต่เกรงว่า คนที่บ้านจะออกมาบ่นให้ได้ยินก่อน
ประมาณว่า บ้านตัวเองไม่เคยทำ เที่ยวไปสร้างภาพ
ให้คนอื่นเขาหมั่นไส้ ประมาณนั้น อิอิ

คิดแล้วเขียน :))

ตรูนึกแล้ว ว่ามันจะต้องพูดแบบนี้

ไอ้เวรแดงเอ๊ย!
ทำไมตรูซื้อหวยไม่ถูกวะ!

พท.ป้อง"ม็อบแดง"ซัดศอฉ.ยัดข้อกล่าวหาก่อการร้าย
"พร้อมพงศ์"อัดจัดฉากขนอาวุธใหม่เอี่ยมโชว์ทูต 51 ปท.


น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย กล่าวเมื่อวันที่ 23 พ.ค. ถึงแถลงการณ์ของพรรคเพื่อไทยว่า การแถลงการณ์ของรัฐบาลเมื่อวันที่ 22 พ.ค. ที่ระบุว่ามีการจับอาวุธของกลุ่มนปช. ได้เป็นจำนวนมากนั้น ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายของพรรคเพื่อไทย และเป็นไปตามที่พรรคได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า ว่า รัฐบาลพยายามหาเหตุสร้างความชอบธรรมให้กับการสั่งการใช้กำลังทหาร พร้อมอาวุธสงครามร้ายแรงเข้าสลายการชุมนุมของประชาชนที่ชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ โดยพยายามบิดเบือนว่า ผู้ชุมนุมมีอาวุธ และเป็นผู้ก่อการร้าย ซึ่งการแถลงการของรัฐบาลนั้นขัดกับข้อเท็จจริง และเหตุผลต่างๆ


1.แกนนำนปช. ได้พูดบนเวทีคืนก่อนที่จะมีการสลายการชุมนุมในวันที่ 19 พ.ค. แล้วว่า มีคนรายงานว่าในการประชุมของศอฉ. มีการพูดถึงการยัดข้อหา เพื่อเป็นพยายนหลักฐานว่าผู้ชุมนุมมีการใช้อาวุธร้ายแรง และท้ายที่สุดก็เป็นจริงตามที่แกนนำได้พูดบนเวทีและคาดการณ์ไว้

2.ถ้าผู้ชุมนุมมีอาวุธดังกล่าวนั้นจริง ทำไมผู้ชุมนุมไม่ใช้อาวุธนั้นต่อต้านเจ้าหน้าที่ในวันก่อนๆ และในวันที่มีการเข้าสลายการชุมนุม จะปล่อยอาวุธดังกล่าวทิ้งไว้ทำไม แล้วปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามาฆ่าตัวเอง


3. ผู้ชุมนุมรู้ล่วงหน้าว่าจะมีการสลายการชุมนุมและจะต้องมีการหาเหตุ หาอาวุธมาปรับปรำผู้ชุมนุมในข้อหาการก่อการร้าย ผู้ชุมนุมจะปล่อยอาวุธเหลือไว้ให้เจ้าหน้าที่ยึดเป็นหลักฐานทำไม


4.ในระหว่างการชุมนุมนั้น แกนนำได้พาสื่อมวลชนไปตรวจสอบอาวุธตามที่ศอฉ.ได้กล่าวหา แต่ก็ปรากฎว่าไม่พบอาวุธแต่อย่างใด


5. ตั้งแต่มีการชุมนุมเมื่อวันที่ 12 มี.ค.-19 พ.ค. มีผู้เสียชีวิต 85 คน เป็นทหาร และตำรวจ 11 นาย ส่วนอีก 74 รายเป็นประชาชน ซึ่งไม่ปรากฎเลยว่าผู้ชุมนุมที่เสียชีวิตมีอาวุธ หรือใช้อาวุธกับเจ้าหน้าที่


6.การตรวจค้นอาวุธ กระทำภายหลังการสลายการชุมนุมโดยเจ้าหน้าที่รัฐเพียงฝ่ายเดียว ไม่มีสักขีพยายานจากฝ่ายอื่นที่เป็นกลางมาร่วมตรวจสอบ จึงทำให้ผลการตรวจสอบไม่น่าเชื่อถือ


7. มีการตรวจสอบลายนิ้วมือและหาพยานหลักฐานตามหลักนิติวิทยาศาสตร์อย่งเที่ยงตรงและเป็นธรรมหรือไม่

นอ.อนุดิษฐ์ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทย รู้สึกกังวลใจเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลและศอฉ. กำลังพยายามใช้อาวุธที่อ้างว่ายึดมาได้มาสร้างความชอบธรรม และปรักปรำกล่าวหาผู้ชุมนุมว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ทั้งๆที่ขัดกับข้อเท็จจริงและเหตุผลดังที่ได้กล่าวมานั้น และขอเรียกร้องให้รัฐบาลตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมาและยุติธรรม มิฉะนั้นแล้วรัฐบาลจะไม่สามารถสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในชาติได้ ความขัดแย้งจะยิ่งบานปลายต่อไปอีก และพรรคเพื่อไทยจะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อทำให้ความจริงปรากฎ และให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

วันเดียวกัน ที่พรรคเพื่อไทย เมื่อเวลา 10.00 น. นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า กรณีที่ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) เชิญผู้ช่วยทูตทหารและคณะสื่อมวลชนเข้ารับฟังการปฏิบัติการกระชับวงล้อมและนำอาวุธที่ยึดได้จากพื้นที่ชุมนุมมาแถลงข่าวนั้น ถือว่าเป็นการจัดฉากโชว์ปาหี่แสดงอาวุธระดับโลกเหมือนยกงานวันเด็กเพื่อจัดแสดงให้ทูตานุทูต 51 ประเทศพร้อมสื่อต่างประเทศได้เห็น หลังจากที่ใช้อาวุธจริงกับประชาชน แต่วันนี้กลับกล่าวหาว่าผู้ชุมนุมมีอาวุธสงคราม ซึ่งตนได้คุยกับพล.อ.ท่านหนึ่งท่านบอกรู้สึกอัปยศกับรัฐบาลและกองทัพ ที่นำอาวุธเหล่านี้มาแถลงข่าว เพราะอาวุธเหล่านี้ใหม่สด มีการเก็บไว้อย่างดี เสมือนพึ่งเอาออกมาจากคลังอาวุธ มีการเช็คถูด้วยน้ำมันเรียบร้อย จึงเสมือนเป็นการแสดงฉากโชว์อาวุธ จึงอยากถามรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เป็นเรื่องจริงหรือไม่ที่มีการตั้งรางวัลให้กับทหารแต่ละกอง กองร้อยละ 100,000 บาท และหานำศพมาได้ก็จะให้เป็นกองร้อยละ 200,000 บาท แบบนี้เสมือนเป็นการล่าหัว จึงทำให้มีการยืนยันว่าทหารยิงประชาชนในเขตอภัยทาน ยิงแล้วมีการแย่งศพกลับไปเพราะมีการอัดฉีดเงินกับคนของรัฐบาล เพื่อเอาไปขึ้นรางวัลซึ่งถือว่าเป็นการละเมิดต่อหลักสิทธิมนุษย์ชนและตามหลักสากลด้วย นอกจากนี้ที่บอกว่าการปฏิบัติการครั้งนี้มีผู้เสียชีวิตน้อยนั้น แต่จริงแล้วยังมีคนสูญหายอีกมาก ซึ่งพรรคเพื่อไทยจะรวบรวมหลักฐานและจะนำไปฟ้องศาลทั้งในประเทศและต่างประเทศ

“หากนายอภิสิทธิ์บอกไม่มีการดำเนินการดังกล่าว ขอท้าให้นายอภิสิทธิ์ และกองทัพไปสาบานว่าไม่มีการอัดฉีดและไม่มีการสั่งฆ่าประชาชน 2.ถ้ารัฐบาลและกองทัพไม่ต้องการสร้างหลักฐานเท็จยัดหลักฐานให้ประชาชนเป็นคดีก่อการ้าย หลังการปะทะเมื่อ 10 เม.ย.รัฐบาล ศอฉ.และกองทัพต้องมีความจริงใจในการยกเลิกการประกาศเคอร์ฟิวส์ แต่ปรากฎว่าวันนี้นายอภิสิทธิ์ยังบอกว่าจะคงประกาศเคอร์ฟิวไว้ ก็เพราะยังเก็บหลักฐานไม่หมดแล้วต้องการปิดปากสื่อมวลชน องค์กรสากลต่างๆ วันนี้นายกฯ กองทัพใช้กฎหมายพิเศษ ใช้กองทัพในการรักษาตำแหน่งของตัวเองต่อไป โดยไม่สนใจเศรษฐกิจและชาวโลก นอกจากนี้จากการตรวจสอบของพรรคเพื่อไทยพบว่าประชาชนที่เสียชีวิตส่วนใหญ่นั้นถูกยิงด้วยสไนเปอร์ แต่วันนี้นายกฯและกองทัพไม่เคยพูดถึงสไนเปอร์ว่าเป็นอย่างไร ตนจึงขอตั้งคำถามว่า ประชาชน 30 รายถูกยิงด้วนสไนเปอร์ ซึ่งถือว่าเป็นอาวุธที่กองทัพใช้ อยู่ในกองบัญชาการหน่วยรบพิเศษที่ขึ้นตรงกับผบ.ทบ.ตรงนี้ได้มีการตรวจสอบหรือไม่ ตนจึงขอเรียกร้องว่าหากมีการตั้งองค์กรกลางขึ้นมาเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงนั้น ขอให้มีการตั้งหน่วยงานที่เชี่ยวชาญเรื่องนี้โดยตรงมาตรวจสอบ โดยเฉพาะต้องตรวจอสอบด้วยว่ามีคำสั่งออกมาให้ใช้กองบัญชาการหน่วยรบพิเศษหรือไม่

ด้าน นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล ส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทย แถลงว่า ทุกคนรู้จักแกนนำนปช.ดีว่าไม่เคยมีประวัติการใช้อาวุธหรือเป็นผู้ก่อการร้าย แต่วันนี้กลับถูกกล่าวหาเป็นผู้ก่อการร้าย และในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาศอฉ.แถลงอยู่ฝ่ายเดียว ปิดกั้นสื่อทั้งหมด ทำให้ทุกอย่างไม่น่าเชื่อถือและการแถลงการจับกุมอาวุธ หากเป็นอาวุธที่ถูกนำใช้ไปแล้วต้องมีการตรวจลายนิ้วมือ และเขม่าดินปืน ไม่ใช่ออกมาในลักษณะขัดถูกมาอย่างดี แบบนี้ถือเป็นการกล่าวหาข้างเดียว ส่วนเรื่องการเผาเซ็นทรัลเวิรล์เกิดภายหลังที่แกนนำนปช.ประกาศยุติการชุมนุมแล้ว และไม่มีภาพของผู้ที่เผา เหตุจูงใจการเผามีเหตุหลายอย่างไม่ใช่การจราจลอย่างเดียว อาจเป็นการสร้างสถานการณ์ก็ได้ ดังนั้นเรื่องนี้ต้องตรวจสอบให้ชัดเจน ขณะที่รัฐบาลเองหากคาดว่าอาจมีการเผารัฐบาลก็ต้องแจ้งไปยังสถานีรถดับเพลิงในบริเวณใกล้เคียง แต่ปรากฎว่าจากการตรวจสอบของพรรคเพื่อไทยกลับไม่มีการขอกำลังเพิ่มเติมแต่อย่างใดซึ่งถือว่าผิดวิสัยได้ จึงอยากรัฐบาลและประชาชนว่าหากวันนี้ไม่มีเรื่องเผาเกิดขึ้น ไม่มีการพบอาวุธจำนวนมาก รัฐบาลจะตอบคำถามเรื่องทหารฆ่าประชาชนอย่างไร เรื่องที่ต้องปกปิดคือต้องเอาเรื่องการอาวุธเรื่องเผามากลบเกลื่อน และขอให้รัฐบาลยุติการกระทำทั้งปวง

ข่าวจาก : มติชน
-----------------------------------------------------

อ่านเองก็แล้วกันฮับพี่น้อง
เขาหาว่ารัฐบาลจัดฉาก
ยัดข้อหาให้พวกเสื้อแดง เพื่อหาความชอบธรรมให้ตนเอง
แล้วมรึงบอกได้ไหมว่า ใครเผาบ้าน เผาเมือง
รัฐบาลหรือทหารอีกล่ะ แล้วใครขโมยของในห้างฯ

แล้วศพของใครที่อยู่ใต้ซากห้างนั้น?
ไอ้พระเอกยี่เกเอ๊ย มรึงกลับไปทาแป้งหน้าขาว
มุดหัวอยู่ที่บ้านเถอะไป๊!
เล่นบทพระเอกไม่ได้แล้ว
มันเล่นได้บทเดียวคือ ไอ้เอี้ยตอแรล ดีที่สุด!

หึ หึ ....

คิดแล้วเขียน :))

วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

อ่านข่าวคนเสื้อแดงแล้วโมโห

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1274454415&grpid=01&catid=

พวกเผาบ้าน เผาเมือง ขโมยของของคนอื่น
ใช่พวกมรึงหรือเปล่า อีเวรพวกนี้นี่
ยังมีหน้าจะมาพูดว่า รัฐบาลกับทหารไม่ยุติธรรม
เขาส่งมรึงกลับบ้าน กลับช่องดีขนาดไหนแล้ว
ใครใช้ให้พวกมรึงมาล่ะ? ส้นตรีนดีแท้!
อีสัดเอ๊ย! ทำลายประเทศชาติ
โทษประหารชีวิตนะเฟ้ย!
แล้วไอ้พวกแกนนำที่ถูกจับตัวไป
แมร่งไปดูรูปซิ ว่าแต่ละตัวอยู่สุขสบายขนาดไหน
ยังมีหน้ามาพูด มาให้สัมภาษณ์แบบหมา ๆ อย่างนี้อีก
อีควายเอ๊ย! ให้คนอื่นจูงจมูก แล้วถูกปล่อยเกาะ
ยังมีหน้ามาด่ารัฐบาล กับพวกทหารอีก

ปล.ครั้งนี้ผิดศีลข้อ 2 ไม่เป็นไร
เพราะทนให้ไอ้คนเลวมันมาทำร้ายบ้านเมืองไม่ไหว
ดีกว่า ไปผิดศีลข้ออื่น โดยเฉพาะแอบทำความชั่ว
แล้วเอาดีเข้าใส่ตัวเอง
(ก็คือไอ้ - อีพวกตอแรล
เอาตัวรอดไปวัน ๆ นั่นแหล่ะ)

คนเราอ่ะนะ ยิ่งเกลียดสิ่งใด มักจะเจอสิ่งนั้น
ว่าใครไว้ ตัวเองก็มักจะเป็นแบบนั้น
ด้วยประการฉะนั้นแล
ทำปากดี ปากเก่ง
พอเอาเข้าจริง แมร่งหัวหดทุกตัว!

คิดแล้วเขียน :(

วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

นิทานเซน : ถ้าจะรักก็จงรักอย่างเปิดเผย

นิทานเซน : ถ้าจะรักก็จงรักอย่างเปิดเผย

โดย พุทธทาสภิกขุ

นิทานเรื่องที่ ๕ เรื่อง "If love, love openly"
ถ้าจะรัก ก็จงรักอย่างเปิดเผย.

ในวัดนิกาย เซ็น อีกเหมือนกัน มีภิกษุ อยู่หลายสิบรูป และมี นักบวชผู้หญิง ที่เรียกว่า nun อยู่คนหนึ่ง ชื่อ เอฉุ่น รวมอยู่ด้วย เอฉุ่น เป็นหญิง ที่สวยมาก แม้จะเอาผมออก เสียแล้ว แม้จะใช้ เครื่องนุ่งห่ม ของนักบวช ที่ปอนมาก ก็ยังสวย อย่างยิ่ง อยู่นั่นเอง และทาความ วุ่นวาย ให้แก่ภิกษุทั้งหมด นั้นมาก แทบว่า จะไม่มีจิตใจ ที่จะสงบได้ ภิกษุองค์หนึ่ง ทนอยู่ไม่ได้ ก็เขียนจดหมาย ส่งไปถึง ขอร้อง ที่จะมีการพบ อย่าง private คือเป็นการขอพบ เฉพาะตัว เอฉุ่น ก็ไม่ตอบจดหมายนั้น อย่างไร แต่พอวันรุ่งขึ้น กาลังประชุม อบรมสั่งสอน กันอยู่ ซึ่งมีชาวบ้าน จานวนมาก รวมอยู่ด้วย พอสั่งสอน จบลง เอฉุ่น ก็ยืนขึ้น กล่าวถึง ภิกษุนั้นว่า ภิกษุที่เขียนจดหมาย ถึงฉันนั้น ขอให้ก้าวออกมา ข้างหน้า จากหมู่ภิกษุ เหล่านั้นเถิด
ถ้ารักฉันมากจริงๆ ก็จงมากอดฉัน ที่ตรงนี้
แล้วนิทาน ของเขาก็จบ

-------------------------------------------------

นี่ท่านลองคิดดูเองว่า นิทานอิสปเรื่องนี้
จะสอนว่ากระไร ก็หมายความว่า การสอน การอบรม ที่ตรงไปตรงมา
ตามแบบ ของนิกายเซ็นนั้น กล้ามาก
ทำให้คนเรา กล้าหาญมาก และไม่มีความลับ ที่จะต้องปิดใคร
จะว่าอย่างไรก็ได้ ไม่ต้องปกปิด
คือสามารถ ที่จะเปิดเผยตนเองได้
มีสัจจะ มีความจริง โดยไม่ถือว่า ความลับมีอยู่ในโลก

นี้เราจะต้องเป็น ผู้ที่ปฏิญญาตัว อย่างไรแล้ว
จะต้องทำอย่างนั้น ไม่มีความลับ ที่ปกปิดไว้
จนสะดุ้งสะเทือน

แม้ในการ ที่จะเรียกตัวเองว่า "ครู" อย่างนี้ เป็นต้น
บางคนกระดาก หรือ ร้อนๆ หนาวๆ ที่ว่า จะถูกเรียกว่า ครู
หรือ จะถูกขอร้อง ให้ยืนยัน ปฏิญญา ความเป็นครู
นี้แสดงว่า ไม่เปิดเผยเพียงพอ ยังไม่กล้าหาญเพียงพอ
จะกล้าปฏิญญาว่า เป็นครู จนตลอดชีวิต หรือไม่
ยิ่งไม่กล้าใหญ่ ใครกำลังจะ ลงเรือน้อย ข้ามฟาก ไปฟากอื่น
ซึ่งไม่ใช่ นครของพวกครูบ้าง ก็ดูเหมือน ไม่กล้าเปิดเผย
เพราะเราไม่ชอบ ความกล้าหาญ และเปิดเผย กันอย่างสูงสุด
เหมือน กะคน ในเรื่องนิทานนี้

--------------------------------------------------

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

หากไม่ได้ลักกินขโมยกินของคนอื่น
ก็สามารถเปิดเผยให้สาธารณะชนได้รับทราบได้
ในมุมกลับกัน ถ้าโจรถ้าคิดจะปล้นบ้านใคร
มันคงไม่เที่ยวบอกคนอื่นให้ทราบหรอก
ว่ามันจะเอาของบ้านนั้น บ้านนี้

เพราะฉะนั้น จงเปิดเผย
และจงซื่อสัตย์ต่อตัวเอง
คนอื่นจะได้ไม่เข้าใจอะไรผิด ๆ
แล้วก็เอาไปพูดในทางที่ผิด ๆ
ทำให้มีความเสียหายทั้งตนเอง และผู้อื่น

เบื่อเป็นเหยื่อขี้ปากชาวบ้าน
ทั้ง ๆ ที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนทำ!
----------------------------------

คิดแล้วเขียน :)

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

วิเคราะห์สื่อต่างชาติ

ช่วงนี้ติดตามข่าวทางทีวี และอินเทอร์เน็ตแทบจะทุกช่วงก็ว่าได้
เห็นคนเสื้อแดงซ่องสุมวัตถุสร้างระเบิด กระสุน เผาทำลายตึก
ขโมยของที่ห้างสรรพสินค้า (นาฬิกาหลายสิบเรือนที่ยังติดราคาอยู่)

เห็นแล้วอนาถใจจริง ๆ ว่า
สาเหตุหลัก ๆ ของการชุมนุมครั้งนี้
ก็คือ ช่องว่างระหว่างสังคมคนมีฐานะ กับคนชนบท
ที่มีรายได้จากการประกอบอาชีพเกษตรกรรม
ซึ่งเป็นรายได้ที่ไม่แน่นอน
โดยพวกเสื้อแดงใช้ประเด็นนี้
เป็นตัวก่อม๊อบ สงครามระหว่างชนชั้น
โดยทักษิณ เป็นหมากตัวนึง

แต่ที่ข้าพเจ้าฉุนมากที่สุดก็คือ
พวกสื่อต่างชาติทั้งหลาย
ที่ต่างวิพากษ์วิจารณ์ประเทศไทย
ในระบบการเมือง และเศรษฐกิจ
และยิ่งเป็นรัฐบาลของอภิสิทธิ์
ก็ยิ่งถูกประนามหลายเท่าตัว อย่างเช่น
การมีการประกันราคาผลผลิตทางการเกษตร
ซึ่งเป็นผลดีต่อพี่น้องเกษตรกรชาวไทย
กลับหาว่า
รัฐบาลอภิสิทธิ์รับนโยบายจากชนชั้นนำเหล่านั้นมา
ช่วยเหลือคนชนบท (นี่มันหวังดีจริง ๆ หรือวะเนี่ยะ)

ก็เหมือนกับไอ้พวกพ่อแม่ไม่รัก
ต้องยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง
ถูกปล่อยเกาะ ปากกัดตีนถีบกันเอาเอง
พอเห็นพ่อแม่ครอบครัวอื่นโอ๋ลูก เลี้ยงลูกแบบไข่ในหิน
ก็เที่ยวยุยงว่า เลี้ยงลูกไม่โต ไม่เป็นตัวของตัวเอง
ยุส่งอีกว่า เลี้ยงลูกแบบนี้ ไม่ดี
แล้วถ้าลูกไปคบเพื่อนไม่ดีล่ะ
คนอื่นมันจะมาหวังดีต่อคนในครอบครัวของเราได้อย่างไร

ถามหน่อย เพื่อนคนนี้มันหวังดีกับเราจริง ๆ หรือ?
ให้ลูกหลานในบ้าน ไปชี้หน้าด่าพ่อแม่ตัวเอง

ขนาดนี้ คนชนบท หนี้ยังท่วมหัวเลย
ขืนปล่อยเกาะ มีหวังช่องว่างระหว่างชนชั้น
จะมีมากขึ้นอีกน่ะซิ

อย่าลืมว่า สินค้าเกษตรของไทยเรา
ส่งออกไปสู่ตลาดโลกตั้งมากมายเท่าไร
แล้วมรึง ไอ้ต่างชาติ ต่างวัฒนธรรม มาวิจารณ์การทำมาหากิน
ช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรคนไทย ของรัฐบาลอภิสิทธิ์ชุดนี้
เพื่อไม่ให้สินค้าไทย สามารถเจริญเติบโต

ไปค้าขายแข่งกับมรึงอะสิ! ไอ้สัดต่างชาติเอ๊ย!

ขนาดพวกเทสโก้ โลตัส คาร์ฟูร์ มันยังมาแย่งผลประโยชน์ไป
ให้บ้านเมืองมันเลย นับประสาอะไร? จะมาทำเป็นหวังดีต่อ
ประเทศไทย อ้าปากก็เห็นเข้าไปถึงไหน ๆ แล้ว

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1274360307&grpid=01&catid=

อย่ามาวิจารณ์ประเทศไทยให้มากนักเลย
กลับไปดูแลบ้านเมือง
อันต้องนำเข้าซื้อสินค้าภาคเกษตรของคนเอเซีย

ไปแดรก! ให้ดีก่อนเหอะ

คิดแล้วเขียน :(

วันพุธที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ม๊อบแดงสลาย รัฐประกาศเคอร์ฟิว - ห้ามออกจากบ้าน

วันนี้ที่ทำงานประกาศให้หยุด แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าไม่น่าจะมีอะไร
ก็เลยไปทำงาน อิอิ ^_^
ไม่เงียบเหงาเพราะมียาม และแม่บ้านเยอะแยะเลย
แต่ทำได้ไม่นานนัก ก็ต้องถูกทางบ้านโทรเรียกตัวเก็บด่วน!
เพราะรถเมล์ ขสมก. จะไม่เดินแล้ว ข้าพเจ้าก็ต้องรีบระเห็จ
ออกจากที่ทำงานอย่างเร่งรีบ พร้อมกับพวกแม่บ้าน
ที่เขาก็รีบกลับบ้านเหมือนกัน
แถมรถติดอย่างหนักด้วย ... กลายเป็นวันที่ชุลมุนที่สุด

แถมไอ้เพื่อนผู้หวังดี ดันโทร.มาชวนไปบวชชีช่วงเดือน ก.ย.53
มาถามเราเพื่อจะเอาชื่อไปลง
สำนักเดียวกับพี่สาวข้าพเจ้าไปปฏิบัติธรรมเลย
คุณแม่สิริ อะไรประมาณนั้น ...
แถมเพื่อนที่ทำงานหลายคนไปบวชด้วย
นี่สิ...เจอที่ทำงานแล้ว...
ไปเจอที่อื่นอีก เบื่อตายห่าาาาา! (อุ้ย!)
กลัวเจอไอ้พวกดีเทียม
และพวกเกาะเสียมากกว่า

พูดตรง ๆ เงี้ยะแหล่ะ ....
ถึงไม่มีใครคบ อิอิ ^__^

เพิ่มเติม :
เปิดคู่มือการใช้ชีวิตช่วง"เคอร์ฟิว"

14.00 น. วันนี้ ( 19 พ.ค. ) ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ออกประกาศกฎหมายว่าด้วยการจำกัดสิทธิส่วนบุคคล โดยนายกรัฐมนตรีได้ออกข้อกำหนดต่อไปนี้

1. ห้ามมิให้บุคคลใดในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ ออกนอกเคหะสถานตั้งแต่เวลา 20.00 น. วันที่ 19 พ.ค.2553 ถึงเวลา 06.00 น. วันที่ 20 พ.ค. 2553( ประกาศเคอร์ฟิว)

2. ให้พนักงาน และเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ปฏิบัติหน้าที่ในเขตพื้นที่ และระยะเวลาที่กำหนด

3. ให้ประชาชนที่อยู่ในเขตพื้นที่กลับเข้าสู่เคหะสถาน และไม่ออกมายังพื้นที่ที่กำหนด เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ และได้มอบหมายให้ผู้อำนวยการ ศอฉ.กำหนดพื้นที่ และรายละเอียดเพิ่มเติมตามสมควรแก่เหตุ.

ฉะนั้น ตั้งแต่ 2 ทุ่มคืนนี้เป็นต้นไป ชีวิตคนกรุงเทพ ต้องปรับเปลี่ยนเข้าสู่ภาวะเคอร์ฟิว จนถึง 6 โมงเช้า

ตามความหมายของคำว่า "เคอร์ฟิว" หมายถึง การห้ามออกจากเคหสถาน หรือ เคอร์ฟิว (curfew)
หมายถึง คำสั่งของรัฐบาลให้ประชาชนกลับเคหสถานก่อนเวลาที่กำหนด อีกนัยหนึ่งคือการห้ามประชาชนออกจากเคหสถานภายในระยะเวลาที่กำหนด (มักเป็นเวลากลางคืน) ซึ่งเป็นการกำหนดขึ้นเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย หรือให้ความสะดวกต่อการปราบปรามกลุ่มเป้าหมาย

คำว่า "เคอร์ฟิว" มาจากภาษาฝรั่งเศสว่า couvre feu แปลว่า ดับไฟ (couvre = ดับ, feu = ไฟ) ซึ่งคำนี้ถูกนำมาใช้ในภาษาอังกฤษโดยสะกดว่า curfew

คำแนะนำในการใช้ชีวิต ช่วงเคอร์ฟิว มีดังนี้

1. ควรซื้ออาหาร แห้งและอาหารสดเก็บในตู้เย็นพอควร

2. เตรียมไฟฉาย และถ่านไฟฉาย เตรียมไว้ให้พร้อม

3. เติมน้ำมันรถยนต์ให้เต็ม

4. เตรียมเงินสด ติดตัวพอสมควร ( ไม่ต้องเก็บไว้มากเกินไป)

5. ควรเตรียมเสื้อผ้า ยาประจำตัว และอาหารแห้ง เตรียมไว้ในรถยนต์

6. ติดบัตรแสดงตน เช่น บัตรประจำตัวประชาชน ใบขับขี่

7 . เตรียมโทรศัพท์มือถือ บันทึกเบอร์โทรที่สำคัญ และชาร์ตแบตเตอรี่ให้พร้อม

อย่างไรก็ตามหากมีธุระจำเป็นต้องออกจากเคหะสถาน หรือ กำลังเดินทางไปต่างประเทศ หรือ กลับจากต่างประเทศ จะต้องเตรียเอกสารประจำตัว เช่น หนังสือเดินทาง ตั๋วเครื่องบิน บัตรประชาชน หรือหนังสืออนุญาต เพราะเจ้าหน้าที่ตรวจสอบเอกสารสำคัญ

และในกรณีที่มีธุระไม่จำเป็นเจ้าหน้าที่อาจไม่อนุญาต และเจ้าหน้าที่อาจใช้มาตรการกักไม่ให้เดินทางก็ได้

นอกจากนี้ในช่วงสถานการณ์ไม่ปกติควรจะบันทึกเบอร์สายด่วน หรือฮอตไลน์ใส่โทรศัพท์มือถือไว้ และโทรศัพท์ควรมีแบตเตอรรี่เต็มหรือมีแบตฯสำรอง

รวมสายด่วนสำคัญ เมมใส่มือถือไว้
สายด่วน ศอฉ.Tel. 02-551-1515
โทรฉุกเฉิน 199
ทางด่วน 1543
จราจร 1197
รถเมล์ 184
กทม. 1555
ฉุกเฉิน 1669

บทความจาก : มติชนออนไลน์


คิดแล้วเขียน :))V

วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

รอคำตอบ?

รัฐบาลประกาศเพิ่มวันหยุดราชการอีก 3 วัน
ตั้งแต่วันที่ 19-21 พ.ค.53 นี้
ตอนนี้กำลังรอฟังประกาศจากที่ทำงาน
ว่าจะหยุดต่อหรือไม่? สำหรับข้าพเจ้าไม่กระทบหรอก
ถ้าได้หยุดอีก อิอิ ^_^ (เริ่มติดใจ)
แต่คนที่บ้านอยู่ใน กทม.
พวกดินแดง บ่อนไก่
หรือแม้กระทั่งต้องผ่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
มันก็เสี่ยงในการเดินทางมาทำงานเหมือนกัน

เพราะข้าพเจ้าติดตามสถานการณ์ข่าวการเมือง
ตลอดเวลาก็ว่าได้ เขาประกาศตั้งแต่เที่ยง
จนนี่สี่โมงเย็นแล้ว ไม่ยักกะมีวี่แววประกาศออกมาอย่างชัดเจน
รอฟังคำตอบอยู่ ..เห้อ!..นานจัง!

กลับมาเขียนเพิ่ม : ยังไม่ชัดเจน
เพราะไปหาข่าวในฐานเศรษฐกิจ รมว.คลังบอกว่า
พวกรัฐวิสาหกิจที่ให้บริการประชาชน
ไม่ได้อยู่ในพื้นที่เสี่ยงให้เปิดบริการตามปรกติ
ส่วนที่ทำงานก็คงต้องพิจารณาว่าควรจะไปปฏิบัติงานหรือไม่
แต่เขาประกาศให้เป็นวันหยุดราชการ ตามมติ ครม.นะ!
ส่วนใครจะเข้าปฏิบัติงานเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ให้ประเมินสถานการณ์กันเอาเอง!
มีงี้อีกแน่ะ ...

เงออออออออ !

คิดแล้วเขียน :0

วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ภาพจากฟอร์เวิร์ดเมล : เรารักในหลวง













เมื่อคืนที่บ้านข้าพเจ้าดูรายการแจกรางวัล "นาฎราช"
ช่วงพงษ์พัฒน์ ขึ้นรับรางวัลเป็นที่ปลาบปลื้มกับผู้ที่รักสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ที่บ้านข้าพเจ้าทุกคนต่างชื่นชอบในการกล้าขึ้นไปพูดบนเวทีของพงษ์พัฒน์

"เรารักพระเจ้าอยู่หัว"

"ถ้าเกลียดพ่อไม่รักพ่อแล้ว จงออกไปจากที่นี่ซะ
เพราะที่นี่คือบ้านของพ่อเพราะที่นี่คือแผ่นดินของพ่อ
ผมรักในหลวงครับ และผมเชื่อว่าทุกคนที่อยู่ในที่นี่รักในหลวงเหมือนกัน
พวกเราสีเดียวกันครับ ศรีษะนี้มอบให้กับพระเจ้าแผ่นดิน"

พงษ์พัฒน์ นายเยี่ยม มากกกก !!!



คิดแล้วเขียน :)P

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ครม.มีมติพิจารณาให้วันที่ 17-18 พ.ค. 2553 เป็นวันหยุดราชการ ในท้องที่กรุงเทพฯ

ครม.มีมติพิจารณาให้วันที่ 17-18 พ.ค. 2553 เป็นวันหยุดราชการ ในท้องที่กรุงเทพฯ
รัฐบาลประกาศพรก.ฉุกเฉิน เพิ่ม 5 จังหวัด อุบลราชธานี มหาสารคาม ร้อยเอ็ด หนองบัวลำภู และ สกลนคร พร้อมให้ วันที่ 17-18 พ.ค. เป็นวันหยุดราชการในกทม. ปัดให้ยูเอ็นแทรกแซง...
เมื่อวันที่ 16 พ.ค. 2553 ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติประกาศ พรก.ฉุกเฉินฯ ใน 5 จังหวัดเพิ่มเติม ประกอบด้วย จังหวัดอุบลราชธานี, มหาสารคาม, ร้อยเอ็ด, หนองบัวลำภู และสกลนคร เนื่องจากมีความจำเป็นที่จะต้องควบคุมสถานการณ์ในพื้นที่ดังกล่าว เจ้าหน้าที่ได้วางมาตรการในการรักษาความสงบเรียบร้อยแล้ว เป็นการเพิ่มเติม ขยายการทำงานเพื่อรักษาความสงบ รักษาเสถียรภาพ และรักษาความมั่นคงปลอดภัยของบ้านเมือง

นอกจากนี้ ครม.มีมติพิจารณาให้วันที่ 17-18 พ.ค. 2553 เป็นวันหยดุราชการ ในท้องที่กรุงเทพฯ เนื่องจากมีความจำเป็นที่จะต้องดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยให้เป็นไปด้วยดี การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงขณะนี้กำลังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้ผลคืบหน้าตามลำดับเจ้าหน้าที่สามารถเข้าควบคุมพื้นที่ตั้งด่านตรวจ เพิ่มมาตรการกระชับกำลังในบริเวณพื้นที่ราชประสงค์ แต่ก็มีความจำเป็นเพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้ทำงานอย่างสะดวก จึงประกาศให้เป็นวันหยุดราชการ
ส่วนในเรื่องของการเรียกร้องให้สหประชาชาติเข้ามาแทรกแซง หรือเข้ามาดำเนินกิจการใดๆ ในประเทศไทยนั้น นายปณิธาน กล่าวว่า รัฐบาลไทยในทุกยุคทุกสมัยก็ไม่เคยมีนโยบายให้องค์กรใดๆ เข้ามาแทรกแซงในกิจการภายในของประเทศ รัฐบาลไทยมีอธิปไตย ราชอาณาจักรไทยเป็นราชอาณาจักร ซึ่งสามารถที่จะดูแล แก้ไขปัญหาของคนไทยด้วยกันได้ แต่ก็ยินดีรับฟัง ในความห่วงใย กังวลในความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนเช่นเดียวกับองค์กรสากลเรารับฟัง และชี้แจงเราทำความเข้าใจ และร่วมมืออย่างต่อเนื่องเสมอ รัฐบาลไทยเป็นสมาชิกที่ดีของสหประชาติ แต่ทุกยุคสมัยก็ไม่เคยที่จะให้มีการแทรกแซง

----------------------------------------
แล้วที่ทำงานข้าพเจ้าจะหยุดกับเขาไหมนี่
แต่ตามประวัติศาสตร์เมื่อเดือนเมษายน 2552 ได้หยุดนะ
แล้วจะรู้ได้อย่างไร งง! กับคำว่า "วันหยุดราชการ"
คำนี้ ให้ขอบเขตกว้างแค่ไหน?
รัฐวิสาหกิจ กับธนาคาร หยุดหรือเปล่า?
ซึ่งมักจะได้ยินคำถามแบบนี้ ประจำทุกครั้ง
แต่ก็ไม่สามารถค้นหาข้อมูลจากแหล่งใดได้

แล้วพรุ่งนี้จะไปทำงานดีไหมเนี่ยะ!
เซ็ง ...งานก็เยอะ หยุดก็แยะ
แล้วจะทำทันไหมล่ะนี่ ... เฮ้อ!

คิดแล้วเขียน :(

วันเสาร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

การเมือง : สำหรับเล่าให้ลูกฟัง

คนขับรถเมล์ชื่ออภิสิทธิ์.......!

เมื่อวานนี้ขณะนั้งฟังรายการวิทยุที่วิเคราะห์โรดแมพของท่านนายกลูกสาววัย12ขวบถามผมว่า
“พ่อขานายกยอมแพ้แล้วหรือ...”ผมนิ่งคิดสักพักแล้วตอบลูกว่า

..สมมุตินะลูก ว่านายกอภิสิทธิ์กำลังขับรถโดยสารที่ชื่อว่าประเทศไทย หนูกับพ่อก็โดยสารอยู่บนรถคันนี้ด้วยกันกับผู้โดยสารอีกหลายคน แล้วมีคนบ้ากระโดดออกมาขวางทางไม่ให้รถไปต่อ พรางคนบ้านั้นก็ตะโกนด่าพ่อผู้โดยสารด่าคนขับให้ลงจากรถด้วยถ้อยคำหยาบคาย ผู้โดยสารหลายคนบอกกับคนขับรถว่า “ชนมันไปเลย ชั้นต้องรีบไปทำธุรกิจนะ เนี่ยสายมากแล้ว ชั้นเสียหายนะ” บ้างก็บอกว่า “ชั้นต้องส่งลูกไปโรงเรียน ชนมันเลยมันอยากมาขวางถนนเอง”และอีกหลายเสียงที่ช่วยด่าทอคนบ้าบ้างก็ด่าคนขับรถที่ไม่ยอมออกรถไปชนคนบ้าซักที

“พ่ออยากถามหนูว่าเราควรขับรถไปชน คนบ้า พวกนั้นหรือเปล่า” ลูกสาวตอบว่า”ไม่ควรค่ะ”ผมจึงถามต่อ”ทำไมล่ะลูก ก็เขาขวางทางเราไม่ใช่หรือ” “ก็มันเป็นชีวิตคนนี่คะพ่อ”ลูกสาวตอบ ผมจึงเปลี่ยนคำถาม “แล้วถ้าเปลี่ยนจากคนบ้าเป็นหมาขี้เรื้อนล่ะเราชนเลยดีมั๊ย” ลูกสาวตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด”ก็ชิวิตเหมือนกันนะพ่อ ชนได้ไง”

“แล้วเราจะทำไงดีล่ะคะถึงจะได้ไปต่อ” ลูกสาวชักหงุดหงิดผมเลยเล่าต่อ “คนขับรถก็เลยเปิดหน้าต่างไปตะโกนบอกคนบ้าด้วยภาษาคนบ้าคือเออออไปกับมัน ว่า เดี๋ยวฉันจะลงจากรถแล้ว ไม่ขับไปจนตายหรอก ถ้าอยากขับก็ได้ แต่แกขับได้แน่นะ ตอนนี้รถมันไม่ค่อยดี ฉันซ่อมให้ก่อนแล้วกัน ระหว่างที่คุยอยู่ก็มีเสียงผู้โดยสารตะโกนด่าคนขับว่า แกจะบ้าไปแล้วเหรอให้คนบ้าขับรถได้ไง ...ถามฉันหรือยังและอีกหลายเสียงด่า รวมทั้งเสียงเล็กๆของหนูด้วยว่าคนขับยอมคนบ้าแล้วหรือ.”

“ที่พ่อสมมุตินี้ก็แค่อยากบอกหนูว่า นายกกำลังเจรจากับคนบ้า เราคนดีๆไปยุ่งอะไรด้วยตอนนี้ก็ยิ่งจะทำให้จบยากขึ้น ที่ควรทำคือเออออไปกับนายกให้คนบ้ามันสบายใจ แล้วเราจะได้ไปต่อโดยไม่ต้องชนมัน จากนั้นจะเรียกโรงพยาบาลบ้ามาจับก็ค่อยว่ากันอีกที” ลูกสาวยิ้มออกและไม่เคยถามผมเรื่องโรดแมพอีกเลย

เพิ่มเติมค่ะ

คนขับลงไม่ได้ ลงปุ๊บมีคนเสียบแทนแล้วขับรถทับคนบ้าปั๊บ โยนบาปให้คนขับปึ้บ
กระเป๋ารถ ส่วนใหญ่ไม่แตงโมก็มะเขือเทศ
ส่วนผู้โดยสาร แนะนำว่าอย่าลงไป คนบ้ามันมีM79 ฮา......

เจ้าของบทความ : รศ.ศิริลักษณ์ นิวิฐจรรยงค์ (FW Mail)

-----------------------------------------------
การเป็นผู้นำคนอื่นมิใช่เรื่องง่าย
หากต้องมีการเสียสละบางอย่าง
เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม
ต้องเข้าใจในสถานการณ์ของผู้อื่นด้วย
ถึงจะเป็นผู้นำที่ดีได้
คนแต่งก็เข้าใจคิดพล๊อตเรื่องเหมือนกันนะ
สมัยนี้ผู้นำค่อนข้างเห็นแก่ตัวกันเยอะ
เลยหยิบบทความมาลง blog

ข้อคิด : การเป็นผู้นำที่ดีนั้น
การทำให้ถูกใจคนหมู่มากไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่สิ่งผู้นำทุกคนต้องมีคือ การกระทำในสิ่งที่ถูกต้อง
ถึงแม้จะโดนด่ามากมายสักเพียงใดก็ตาม

แล้วคุณล่ะคะ ทำอะไรที่ถูกต้องบ้างแล้วหรือยัง???

คิดแล้วเขียน :)V