วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2553

ห้ามเผาศพ วันศุกร์ เพราะให้ทุกข์คนเป็น

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
ครอบครัวข้าพเจ้าไปเผาศพ
ลุงซึ่งเป็นเพื่อนสนิทป้าข้าพเจ้า
ก็เลยสนิทกับครอบครัวข้าพเจ้า
มาตั้งแต่เด็ก ๆ วันนี้ภรรยาลุง
ได้เข้า รพ.วิภาวดี ห้องไอซียู

เข้าใจว่า คงทุกข์ใจที่ลุงจากไป
อายุของป้าก็แก่กว่าลุงไม่กี่ปี
และดูท่าทางว่า ป้าแกก็จะไม่ไหว
เหมือนกัน ...นี่แหล่ะน๊า
จะไม่เชื่อก็ไม่ได้
หลังจากเก็บอัฐิลุงแล้ว
ป้าแกก็เข้า รพ.ต่อเลย
ลูก ๆ แกบ่นเครียดกันใหญ่เลย
คำโบราณมีไว้ บางอย่าง
ก็น่าเชื่อถือเหมือนกันนะ

วันนี้ที่บ้านต่างไปเยี่ยมอาการของป้าแก
อาการไม่สู้ดีเหมือนกัน ...
เฮ้อ! ไม่รู้จะโทษอะไรดี

คิดแล้วเขียน :(V

ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่ได้นาน

วันก่อนพี่สาวเปรยกับข้าพเจ้าว่า
จะต้องไปพบผู้ร่วมงานในงานสัปดาห์หนังสือ
เกี่ยวกับบทความที่พี่สาวจะแปลอะไรทำนองนี้
เขาก็ถามข้าพเจ้าว่า จะไปกับเขาด้วยหรือเปล่า

ข้าพเจ้าก็ยังลังเล เพราะกลัวเสียเงิน
หนังสือที่มีอยู่ยังอ่านไม่หมดเลย
ประมาณว่า ซื้อได้ทุกเดือน เป็นประจำอยู่แล้ว
แต่ก็อยากไป เพราะไม่ได้ไปมา 2-3 ครั้งแล้ว
แต่คิดอีกที ถ้าคนเยอะ ๆ ก็ไม่ไหว
ไม่ชอบคนเยอะ ๆ มันเดินลำบาก
แถมไปซื้อหนังสือ ไม่ได้ไปรับของแจกฟรี
ก็นั่งคิด นอนคิด ไปหลายวันว่า จะไปดีหรือไม่
สรุปว่า ไปก็ได้ ไปเป็นเพื่อนพี่สาว (แต่พกเงินไปน้อย ๆ ^_^)
จะได้ไม่ต้องซื้ออะไรมาก (ไม่รู้ทำได้หรือเปล่า)

ช่วงนี้ ยิ่งกำลังประหยัด ๆ อยู่
พูดถึงเรื่องประหยัด
วันก่อนโมโหเจ้าเครื่องโทรศัพท์เบอร์เก่า
ดันส่ง Message ไปหาพี่สาวเอง 4 - 5 ครั้ง
วันเดียวเงินหายไป 200 กว่าบาท (ตกใจ)
เพิ่งเติมไป 300 บาท หวังว่าจะใช้แค่รับอย่างเดียวก่อน
เพราะวันเหลืออีกเป็นปี (ใช้ระบบ one2call)

เมื่อวันก่อนเช็คยอด
มันส่งแค่ Message เกี่ยวกับโหลดเพลงของแกรมมี่
(ยังไม่ได้เข้าไปโหลดเลย) มันหักเราไป 20 กว่าบาท
(รวมภาษีด้วย) เราโทร.ไประงับมันทันทีว่าไม่ต้องส่งอะไรมาให้แล้ว
ส่งมาให้ก็ไม่ได้เข้าไปโหลด หักไปโดยไม่รู้ตัวทุกครั้งที่มันส่ง

ข้าพเจ้าก็ลืมไปแล้วว่า ไปสมัครมันตอนไหน
เมื่อก่อนยังไม่ได้ใช้เบอร์ 3G ใช้แต่ AIS เบอร์เดียว
ไอ้เราก็นึกว่าโทร.-เข้าออกแล้วเงินมันเหลือน้อย
(คงไม่เหนียวขนาดเช็คยอดโทรหรอก)
แต่นี่เรามีเบอร์ 3G เหมารายเดือนแล้ว
ก็กะว่าเบอร์เก่าเหลือวันเยอะ เอาไว้แค่รับอย่างเดียว
เพราะเพื่อนบางคนไม่ทราบเบอร์ใหม่ข้าพเจ้า

ทีไหนได้ ไม่ได้โทร.เบอร์เก่าออก
ทำไมยอดเงินมันหายหว่า!
ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้โทรออกอะไรเลย
ก็เห็นส่งข้อความ Message มาให้เยอะแยะไปหมด
มันส่งข้อความมาที ข้าพเจ้าก็คอยเช็คยอดล่ะทีนี้
(กะจับผิดมันว่า เงินมันหายไปได้อย่างไร)
สรุปโทร.ไปยกเลิกมันทุกอย่าง
จะดูว่าเงินหายไปได้อย่างไร

บางวันก็มีเบอร์แปลก ๆ โทร.มา
ให้ข้าพเจ้าออกตังค์ค่าโทร.ให้
ข้าพเจ้าก็โทร.กลับไป
เป็นยายแก่ ๆ อยู่ตลิ่งชัน
(สมัยนี้มันโอนเงิน โอนเวลาให้แต่ละเครื่องได้)
แต่ต้องให้เรายินยอม OK ก่อน

เมื่อวานโมโหมาก พี่สาวโทร.มาบอกว่า
ข้าพเจ้าส่ง Message ไปหาเขาเป็นสิบ ๆ
ไม่มีข้อความด้วย ...ก็งง ว่ามือมันไปโดนปุ่มกดส่งเองได้งัย
ทั้ง ๆ ที่เครื่องปุ่มมันล็อคอยู่ เล่นงี้ใช่ไหม?!
(พี่สาวบอกว่า เราเติมเงินมัน มันก็หักเงินเราได้
ยกเลิกใช้มันดีที่สุด เอาเปรียบผู้บริโภคแบบนี้ไม่ไหวนะ)

สรุปมันทำแบบนี้ กะให้ข้าพเจ้ายกเลิกใช้เบอร์ AIS มันแน่นอน
(ถ้าทำแบบนี้นะ ...มีเล่ห์เหลี่ยม คบกันไม่ได้นาน)
เขาถึงบอกว่า ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่ได้นาน
แม่งเล่นเอาทุกทาง ..ร่ำรวยบนความโง่ของคนอื่น
นึกว่าดีนักหรือ?! ...ครอบครัวมันถึงพินาศงัย!

ไอ้คนไม่รู้ก็โง่ใช้ต่อไป
มิน่ามันถึงรวย ไอ้ชินวัตรน่ะ

ถ้ามีตัวเลือกที่ดีกว่า
เราย่อมเลือกทางที่ดีอยู่แล้ว
ระบบผูกขาด คงใช้ไม่ได้กับทุกเรื่อง

ตอนนี้หันมาใช้ 3G เบอร์เดียว
หยุดใช้ ให้มันตัดสัญญาณไปเลย
ไม่บอกเลิกด้วย ให้มันเสียเบอร์ไปเลย
เจ็บใจ ไอ้ขี้โกง

คิดแล้วเขียน :(

วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2553

เป็นศิราณีจำเป็นอยู่เรื่อยเลย :))

ชีวิตคนเราก็คงหนีไม่พ้น ความรัก
(เป็นธรรมดาและธรรมชาติของมนุษย์)
แต่เมื่อใครมีรัก ก็อยากจะให้คนรอบข้าง
หรือเพื่อน ได้รับรู้ หรือเป็นที่ปรึกษา

บางครั้ง บางคนลืมไปว่า
เพื่อนคนนั้น ก็ไม่เคยมีแฟน
หรือมีแต่ก็ยังไม่ได้แต่งงาน เช่นกัน
เรื่องบางเรื่อง โดยเฉพาะผู้หญิง
มักจะเล่าเรื่องแฟนให้เพื่อนฟัง

ข้าพเจ้าไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายเกินไป
แต่...มีตัวอย่างมากมายมาแล้ว
ที่เพื่อนทะเลาะกับแฟน ก็เพราะเพื่อน
ในละคร หรือตัวอย่างภาพยนตร์ก็มีให้เห็น
บางทีการไว้วางใจคนอื่นมากไป
ก็เป็นดาบสองคมได้เหมือนกัน

อยากจะเตือน คนที่กำลังมีรัก
เรื่องบางเรื่องที่เป็นส่วนตัวของเราจริง ๆ
ก็ไม่ต้องเล่าหมดเปลือกทุกอย่างหรอกนะ
คำว่า "หอกข้างแคร่" มันใช้ได้เสมอ
ยิ่งคำว่า "แทงข้างหลัง ทะลุถึงหัวใจน่ะ"
ทำไมมันมีสำนวนเหล่านี้ล่ะ?!

วันนี้ข้าพเจ้าก็เตือนพี่คนนึงไป
เขาอาจจะไว้ใจข้าพเจ้าก็ได้ ถึงเล่าให้ฟัง
พี่เขาคงอยากหาเพื่อนคุย
(คงเห็นว่าข้าพเจ้าไม่พูดมาก
และไม่ค่อยยุ่งกะชาวบ้านเท่าไรมั้ง) :))

สำหรับข้าพเจ้าแล้ว ใครมีรักที่ดี ก็รู้สึกยินดีด้วย
แต่หาน้อยมาก ๆ ที่จะดีเลิศประเสริฐศรี
คือ ส่วนมากจะดีตอนช่วงแรก ๆ
เท่านั้นแหล่ะ ....ตามธรรมดาของมนุษย์ขี้เบื่อ...

ยิ่งถ้าเรามีคนรัก ที่กำลังจะไปได้สวย
แต่เก็บมาเล่าให้เพื่อนคนที่ยังไม่มีแฟนฟัง
หรือมี แต่แฟนของเพื่อนไม่ดี
ยิ่งเพื่อนเรากล้า ก๋ากั่นมากเท่าไร
นั่นแหล่ะ ตัวดีเลย เพราะมันจะกล้าได้ทุกรูปแบบ

เพื่อนหรือคนที่ฟัง
เขาจะไม่รู้สึกสะกิดในใจบ้างหรืองัย
ประมาณว่า เกิดการเปรียบเทียบในใจ
ทำไมแฟนตูไม่ดี เหมือนของเพื่อนฟะ

เพราะฉะนั้น เมื่อมีรัก อย่าเล่าหรือไว้ใจเพื่อนมันมากเกินไป
โดยเฉพาะเพื่อนคนที่โสดอยู่ มันจะอิจฉาเรา
อันนี้เรื่องจริงนะ ....
ข้าพเจ้าเห็นมามากมายแล้ว ...
คนที่มองโลกในแง่ดีเกินไป
มักจะถูกทำร้ายได้ง่ายเสมอ
ดีไม่ดี ถูกเพื่อนแย่งแฟนไปเลย
การไว้ใจคนมาก ไม่ปลอดภัย

ก็แค่เตือน ๆ บอก ๆ เขาไป
ไม่อยากเห็นเพื่อนผิดใจกับเพื่อน เพราะเรื่องแฟน

Version : เก็บประสบการณ์จากสิ่งแวดล้อมรอบตัว

คิดแล้วเขียน :)V

วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553

ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ


ช่วงนี้ข้าพเจ้ามักจะออกกำลังกายตอนเย็นกับพี่ ๆ ที่ทำงาน
บางวัน พี่เขาทำงาน เราก็วิ่งคนเดียว (ก็ยังดีที่มีเพื่อน) ^_^
กำลังจะอยู่ตัวแล้ว แต่ถ้าหยุดวิ่งไปหลายวัน
กลับมาวิ่งอีกที ก็หืดขึ้นคออีก
ทางที่ดี ต้องวิ่งอาทิตย์นึงอย่างน้อย 3 วัน
วันละ 20-30 นาที เป็นอย่างน้อย

ตอนแรก ๆ ก็วิ่ง ๆ เดิน ๆ วิ่ง ๆ ไปก่อน
เพื่อไม่ให้ปวดขามากนัก แต่ต้องซ้ำ
อย่าหยุดวิ่ง ปวดก็ต้องวิ่ง
แต่วิ่งเบา ๆ เดิน ๆ วิ่ง ๆ ไปเรื่อย ๆ
3 วันก็หายแล้ว ...ตอนนี้ต้องเริ่มดูแลสุขภาพ
ถึงแม้งานจะยุ่ง หรือเหนื่อยแค่ไหน
ต้องพยายามหาเวลาวิ่งให้ได้

ไม่งั้นโรคถามหาเยอะ
การออกกำลังกายเป็นการถ่ายเทพลังงาน
ซึ่งทำให้หิวน้ำบ่อย และจะทำให้กินอาหารน้อย
ไปโดยปริยาย ช่วงแรก ๆ อาจจะหิว
แต่เมื่อข้าพเจ้าทดลองสักพัก
กลับกลายเป็นว่า
กินเยอะไม่ได้ เดี๋ยววิ่งแล้วจุก

บางวันรับประทานอาหารมื้อกลางวันเยอะ
วิ่ง ๆ ไปรู้สึกว่าอาหารยังย่อยไม่ดีเลย
เพราะลมในกระเพาะตีขึ้นมา
เหมือนกรดไหลย้อน เพราะข้าพเจ้าติดนิสัย
รับประทานไว เคี้ยวเอื้องไม่เป็น
ทำให้ท้องอืด ท้องเฟ้อได้ง่าย
แบบนี้นี่แหล่ะ ของเสียสะสมอยู่ในร่างกายเรา
มากเท่าไร ก็ทำให้เราอ้วนได้มากเท่านั้น

มาวิ่งออกกำลังกาย (ไม่ต้องเสียเงิน)
เพื่อสุขภาพกันเถอะ!!

คิดแล้วเขียน :)V

วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2553

ร้อนแล้วจ้า! ยังไม่เมษาเลย

ช่วงนี้อากาศร้อนมาก แดดงี้แรง แต่โชคดีที่แถวบ้าน
ตอนค่ำ ๆ ยังมีลมพัดให้เย็นบ้าง สงสารคนที่อยู่ตึกแถว
พวกอพาร์ตเม้นท์ เย็น ๆ เห็นออกมานั่งเล่นกันริมถนน
ปูเสื่อกันเป็นแถว จะนอนคงเข้าบ้าน เพราะบ้านพักพวกนี้
หน้าต่างคงนับบานได้ (ไม่เคยเข้าไปดูใกล้ ๆ )
เพราะประตูหันหน้าเข้าหากัน ด้านหลังคงเป็นหน้าต่าง
ห้องละ 2 บาน ส่วนมากคนมาเช่าเป็นพวกทำงานโรงงาน
แถวบ้านข้าพเจ้ามีโรงงานอยู่เยอะ ...นี่กำลังคิดอยู่ว่า
ทำอพาร์ตเม้นท์ให้คนเช่า นี่รวยมาหลายรายแล้วนะเนี่ยะ

ตอนนี้แถวบ้านข้าพเจ้าตึกแถว ห้องเช่า เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด
บางแห่งมีห้องเช่ารายวันด้วยนะ
(ไม่รู้เช่าทำอะไร แต่ดีที่ยังไม่มีรายชั่วโมง อิอิ)^_^

แสดงว่าสมัยนี้คนต่างจังหวัดมาทำงานใน กทม.กันมากขึ้น
จึงต้องหาที่พักกัน ....ส่วนคนกรุงฯ ที่มีรายได้จากค่าเช่า
ก็ไปซื้อรีสอร์ตไว้ที่ต่างจังหวัดกัน .....

ทำไมคนต่างจังหวัดไม่คิดทำงานที่ต่างจังหวัดกันนะ
(อากาศก็ออกดี มีธรรมชาติเยอะ อยู่ใกล้พ่อแม่พี่น้อง
ค่าครองชีพก็ถูกกว่าอยู่ในกรุง)
คนรวยในกรุง จะได้รวยน้อย ๆ หน่อย
อิจฉาคนรวยจริงน้อ!

คิดแล้วรวย :)V อิอิ

วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2553

ปริศนาธรรมข้างโลงศพ

วันนี้ข้าพเจ้ากับญาติ ๆ ไปงานศพของเพื่อนป้า
ที่วัดชลประทานรังสฤษดิ์ ซึ่งเป็นที่รู้กันสำหรับผู้ที่มาวัดนี้ประจำ
ว่าเป็นวัดที่ไม่มีข้าวต้ม กระเพาะปลาเลี้ยงแขกที่มาร่วมงานศพ
แต่ทางเจ้าภาพจัดหาขนมและนม
ใส่กล่องแจกให้แขกมาร่วมงานแทน

ส่วนพวงรีด สมัยนี้นิยมซื้อเป็นพัดลม
แล้วเขียนชื่อแทนพวงหรีดดอกไม้
ซึ่งก็แปลกดี เพราะเมื่อเสร็จงานศพแล้ว
ทางเจ้าภาพสามารถนำพัดลมที่ได้
ไปบริจาคสถานที่ต่าง ๆ หรือวัด
ก็ได้ประโยชน์ในการทำบุญอุทิศส่วนกุศล
ให้คนที่ตายได้อีกวิธีหนึ่ง

ส่วนพระที่วัดนี้ เทศน์ซะ 40 นาที
เหลือ 20 นาที ก็สวดพระอภิธรรมแค่จบเดียว
แล้วให้เจ้าภาพถวายผ้าไตร

วันนี้พระท่านเทศน์ถึงเรื่อง ปริศนาธรรมในงานศพ
การเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องเผชิญ
ไม่ช้า หรือเร็ว ทุกคนต้องเจอกับเรื่องการพลัดพรากในสิ่งที่ตนรัก
ไม่ว่าจะจากเป็น หรือจากตาย ทุกคนต้องเจอเหตุการณ์นี้

เรามางานศพ เราก็ได้สติในการพิจารณาว่า
เมื่อถึงคราวของคนที่ตนเองรักต้องจากไป
เราจะต้องทำอย่างไร ถ้าพิจารณาอยู่เนือง ๆ
ก็จะทำให้พบกับความทุกข์น้อยลง
ไม่ต้องเสียใจมากมาย
ยิ่งหากใครเป็นแขกผู้มีเกียรติมางานศพของผู้อื่น
ทำให้พิจารณาถึงคนที่เรารักได้เป็นอย่างดี

การที่มีอาหารที่ผู้ตายชอบแล้วเซ่นไหว้ ไว้ข้างโลงศพ
ทำให้เราพิจารณาว่า ตอนนี้ หากมีคนที่รักอยู่
ก็ต้องดูแล เอาใจใส่ ถ้ามี พ่อแม่ยังอยูู่
ก็หมั่นดูแลท่าน ให้รับประทานอาหาร
ในสิ่งที่เขาชอบ เมื่อตายไปแล้ว เขาไม่สามารถ
รับประทานอาหารที่เราเซ่นไหว้ได้ หรือแม้กระทั่ง
ใส่บาตรทำบุญไปให้ท่าน เดือดร้อนพระท่านอีก
หากเกิด พ่อแม่ชอบกินขาหมู ทองหยิบ ทองหยอด
พระจะไม่ฉันอาหารนั้นก็ไม่ได้ เพราะขัดศรัทธา
บรรดาญาติโยมที่ตั้งใจถวายของที่พ่อแม่ตนเองชอบ
ผ่านพระ.....ทำให้พระหลาย ๆ รูป มีสุขภาพที่ไม่ดี
ก็เป็นบาปทางอ้อมอีก เอาเป็นว่า
พระท่านเตือนสติผู้ที่มางานศพว่า

ตอนนี้ใครที่มีพ่อแม่ของตนยังอยู่
ก็ควรรีบที่จะเอาใจใส่ท่าน

ดีกว่า ตอนที่ท่านเสียชีวิตไปแล้ว
เราจะมานึกถึงท่าน แล้วทำบุญไปให้ท่าน
ก็สายเกินไปเสียแล้ว เพราะมนุษย์ทุกคน
อายุคงไม่เกิน 100 ปีแน่ ....

รีบ ๆ ทำซะ ดีกว่ามานั่งเสียใจทีหลัง


คิดแล้วเขียน :)V

วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2553

เกิด แก่ เจ็บ ตาย

เมื่อเย็นนี้ ป้าโทรศัพท์มาบอกว่า คุณลุงเสีย
เราก็ไม่พูดอะไร เพราะแกป่วยนอน รพ.มาเกือบเดือนแล้ว
อายุก็ 87 ปี เป็นโรคหัวใจนั่นแหล่ะ อาการน้ำท่วมปอด
แพทย์งดให้น้ำทุกชนิด ป้าบ่นว่าสงสารแก
ใครไปก็ขอน้ำเขากิน และบอกว่าหิวน้ำตลอดเวลา
ปากคอแห้ง แกพยายามกลืนน้ำลาย ก็ไม่มี
(ป้าเขาบอกว่า อาการตายอดตายอยากเป็นแบบนี้นี่เอง)

ข้าพเจ้าไปเยี่ยมครั้งสุดท้าย เมื่ออาทิตย์ก่อนเอง
ไปเจอหน้าแกก็ดีใจ ขอจับมือจับไม้ แกก็คงรู้ตัว
ยังบอกกับป้าเลยว่า อายุก็มากแล้ว คงถึงเวลาแกแล้วล่ะ
วันนี้แกจากไปช่วง 5 โมงเย็นกว่า ๆ ป้าโทร.บอกข้าพเจ้า
จาก รพ. ก็ไม่อยากคุยโทรศัพท์มาก กลัวป้าแกเสียใจ
ก็เลยบอกว่า ค่อยคุยกันที่บ้านนะ

คงไม่เกิน 20 ปี คงถึงคราวคนใกล้ตัวข้าพเจ้าด้วย
ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ ป้า อา เมื่อถึงวาระที่ร่างกายไม่ไหว
ก็ต้องจำละสังขารไป แบบคุณลุงแก ค่อย ๆ หมดไปทีละคน ๆ
ดูเหมือนว่า ความตายค่อยกระเถิบใกล้ ๆ เข้ามาทุกที
แต่สำหรับข้าพเจ้า ไม่มีภาระ จึงไม่วิตกถึงคนข้างหลัง
จะวิตกแต่อนาคตของตนเอง เมื่อยามแก่ชราเท่านั้น
เพราะคงไม่เอาลูกใครมาเลี้ยง เอาเมี่ยงเขามาอมเป็นแน่!
อยู่แบบนี้ก็ดีไปอย่าง
ได้ศึกษาอะไรที่คนมีคู่ไม่มีโอกาสได้ทำ
ถึงแม้ข้าพเจ้าจะรู้ทฤษฎีการมีคู่ แบบทะลุปรุโปร่งแล้ว
แต่ก็คิดว่า ชีวิตคนโสด ดีกว่าเยอะ

ท่าจะอาการหนักจริง ๆ เลยเรา
คงใกล้บรรลุแล้วมั้ง 555

บรรลุสัจธรรม อิอิ :)))

คิดแล้วเขียน :)V

วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2553

โยนหินถามทาง ระวังหินตกใส่หัวตนเอง

สมัยนี้ คนเราหาความจริงใจได้ยาก
บางทีอยากรู้เรื่องของคนอื่น
(ด้วยความอยากรู้อยากเห็นมาก ๆ ๆ)
อาจไม่ใช้วิธีถามตรง ๆ แต่อยากรู้ว่า
ตอนนี้เขากำลังทำอะไร?

เช่น เคยเห็นเพื่อนคนนี้ กระดี๋กระด๋าอยากมีบ้าน
แต่ก็เห็นเงียบ ๆ ไป ก็เลยใช้ตนเอง หรือเพื่อนตนเอง
แสดงตัวว่าจะกู้เงินซื้อคอนโด ฯลฯ อะไรก็แล้วแต่
แล้วก็พูดอ้อม ๆ กับคนอื่น
แต่พอถูกย้อนถามให้ ก็ปฏิเสธว่า
จะซื้อไปทำไม? ที่อยู่ปัจจุบันดีกว่า
ก็เลยไม่รู้ว่า ใครโกหก ใครหลอกใครกันแน่

สมัยนี้ คนใช้วิธีเหล่านี้เยอะ
ยิ่งถ้าเป็นคนที่เก็บความลับได้เก่ง
ยิ่งจะถูกหลอกถามแบบนี้มาก
เขาเรียกวิธีนี้ว่า โยนหินถามทาง
บางคนกุลีกุจอช่วยเหลือดิบดี
เพราะอยากรู้ข้อมูลของคนอื่นเขา
แบบประสงค์ดีเล็กน้อย

นี่แหล่ะ อะไรที่เป็นความลับ ก็สามารถหลุดได้ออกมา
คนที่รู้เรื่องราวคนอื่น มีท่าทีดีใจยังไงบอกไม่ถูก :P

เหมือนตนเองเป็นผู้ชนะ
แล้วเอาไปพูดต่อ ๆ ยิ่งคนที่คุยเก่ง ๆ จะหลุดได้ง่าย
เพราะไม่ทันระวังตัว ...เพราะฉะนั้น...ทำอะไรหัดปิดปาก
ซะบ้างก็ดี จะได้ไม่เดือดร้อน ทั้งตนเองและคนรอบข้าง

(ดั่งโบราณท่านกล่าวไว้ อะไรก็ตามที่เรายังไม่เปิดปาก
มันก็ยังเป็นความลับต่อไป)

มันก็ไม่เป็นไรหรอก ถ้าคนที่รู้ข้อมูลแล้วเอาไปพูดต่อ
ในทางที่ดี (กลัวแต่ว่าเอาไปเล่นงานคนอื่นน่ะซิ)
สมัยนี้ เขาถึงบอกงัยว่า ยิ่งมีสาย (มีพวก)เป็นหู เป็นตา
รู้จักคนไปทั่ว ก็มักจะได้ข่าวดี ๆ เรื่องของชาวบ้านเยอะ
(แต่เรื่องของตัวเองมักจะไม่รู้แหะ :))

พวกที่ชอบหลอกถามข้อมูลคนอื่น
สักวันระวังตัวเองจะตกม้าตาย
เพราะลืมไปว่า ตัวเองพูด(โกหก)ไว้อย่างไร?

เปรียบเสมือนว่า โยนหินขึ้นไปเพื่อถามทาง
แต่สุดท้าย หินก็ดันมาตกใส่ศีรษะตนเอง
ด้วยประการ ฉะนี้แล ...แต แลม แต แลม....


คิดแล้วเขียน :)V

วันพุธที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2553

บ้านนี้มีอะไร?

บ้านข้าพเจ้ามีกฎ และระเบียบประจำบ้าน
คงด้วยสาเหตุตั้งแต่รุ่นปู่ รุ่นป้า รุ่นพ่อ
เป็นทหาร และครูอาจารย์
ข้าพเจ้าจึงได้รับการถ่ายทอดวัฒนธรรม
ที่เป็นกฎ ระเบียบมา
แม้บางทีเราไม่อยากทำ แต่ก็ต้องทำ
หรือแม้กระทั่งโตแล้ว ก็ยังต้องทำอยู่
ได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก

การที่ถูกเลี้ยงดูมาในกฎเกณฑ์แบบนี้
อาจทำให้บ้านข้าพเจ้า
เหมือนเป็นคนหัวโบราณสักหน่อย
แต่คนโบราณที่เขาสอนเอาไว้
ย่อมดีกับลูกหลานของตนเอง
เพราะฉะนั้น
ข้าพเจ้าจึงไม่ค่อยอยากให้คนที่ไม่สนิท
มาบ้านข้าพเจ้า เพราะบางคนอาจรับไม่ได้
บางคนอาจเห็นว่า ครอบครัวข้าพเจ้า
เป็น อาดัมแฟมลินี่ มีอะไรหลบซ่อนไว้
จริง ๆ แล้วไม่มีอะไร ....
เพียงแต่ บ้านข้าพเจ้าไม่ค่อยยินดี
ต้อนรับคนไม่มีประวัติ....พูดง่าย ๆ ว่า

ถ้ายังไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้า
ไม่สามารถเข้าบ้านข้าพเจ้าได้ ....
ถ้าอยากถูกมอง
แบบหัวจรดเท้า ก็เชิญเข้ามา ^_^

...............................

คิดแล้วเขียน :)V

วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2553

สวนสัตว์ ดุจัง!


ไดอารี่ส่วนตัวของข้าพเจ้าวันนี้ ขอเป็นการท่องเที่ยว
สวนสัตว์ ดุจัง สักเล็กน้อย ....

วันก่อนมีโอกาสพูดถึงมดแดง กับมดตะนอย
มดชนิดไหนมีฤทธิ์มากกว่ากัน
แค่คิดเล่น ๆ
มดแดงนั้นกัดเจ็บ คัน ๆ ธรรมดา
แต่มดตะนอย ถ้าต่อยก็ปวดเป็นเรื่อง
ยิ่งกว่ามดแดงอีกนะ

อยากจะโดนมดชนิดไหนกัดดีล่ะ?!
มดแดงเป็นเพื่อนกับมดตะนอย
เพราะฉะนั้น คนเป็นเพื่อนกัน สามารถเข้าดูได้
ไม่ผิดกฎอะไร

ที่เอ่ยพูดถึงเว็ปนี้ ก็เป็นไดอารี่ออนไลน์ส่วนตัว
ที่หลายคนสามารถเข้าดูได้
เพราะถ้าขึ้น web มันคือบทความสาธารณะ
ที่อยากจะเผยแพร่ให้คนอื่นรู้ นั้นไม่ผิด
แต่ที่ไม่ค่อยพอใจ เท่าไรคือ
ข้าพเจ้าบอกไดอารี่ออนไลน์
กับพี่สาวเพื่อนแค่คนเดียว

และไม่ใช่คนในที่ทำงานด้วย
แต่ไม่รู้ว่า ทำไมพวกเหี้ย(ไม่ได้รับเชิญ)
ถึงได้เดินตามใครมา
เข้าบ้านข้าพเจ้าเป็นพรวน!!

คือ ทำนองว่า ข้าพเจ้าเขียนอะไร
ไปเว็ปไหนมันรู้หมด (คนที่ทำงานเดียวกับข้าพเจ้า)
พวกมันรู้ได้อย่างไร
ข้าพเจ้าไม่ได้บอกใครที่ทำงานสักคนเลยอ่ะ!!
แต่ได้ยินมันร้องเพลง ช้าง ช้าง และเพลงแต่ปางก่อน
ในช่วงที่ข้าพเจ้าเข้า web นั้นไม่กี่วัน

คือว่า ไม่ผิดหรอก ที่มันอยากจะรู้เรื่องราวของข้าพเจ้า
เพราะข้าพเจ้าเขียนบน web หลายคนสามารถเข้ามาอ่านได้

แต่ที่ไม่พอใจอย่างมาก
เคยเอ่ะใจหลายครั้ง ไม่รู้ว่าเป็นใครกันแน่?
สงสัยคงจะแฝงตัวอยู่ใน notebook ข้าพเจ้าด้วย
เพราะเคยเอา notebook ไป check ที่ร้าน
มันมี drive ที่ไม่มีชื่อ 2 อัน อยู่ในเครื่องข้าพเจ้า
ล้างก็ไม่ออกด้วย ติดหนึบอยู่ในนี้มานานเป็นปี ๆ แล้ว
ก็เลยขอด่าสักหน่อย .... คือ มันเป็นสิทธิส่วนบุคคล
**ที่ข้าพเจ้าจะทำอะไรก็ได้
ที่ไม่ได้เป็นการเบียดเบียนสิทธิของผู้อื่น

แล้วนี่คือ web ส่วนตัวข้าพเจ้า
ไม่รู้ว่ามันไปหนักส่วนไหนของศีรษะมัน!**
ที่สำคัญเสือกเอามาร้องให้ตรูรู้อีกแน่ะ
เหมือนท้าทาย อยากลองของดี
ก็เลยขอแจกของ ให้แขกที่ไม่ได้รับเชิญเสียหน่อยว่า
เป็นพวกเดียวกัน กับตัวข้างล่างนี้




ไหน ๆ วันนี้ก็เริ่มต้นจั่วหัวเรื่องบรรดามดตัวน้อยตัวนิดแล้ว
น่าจะลองสัตว์อีกสักชนิดหนึ่ง ที่ตัวจริง ๆ หาดูได้ยากในไทย
แต่ชื่อของมันถูกนำมาเรียกขานกันมากในประเทศไทย
โดยเฉพาะใช้เรียกเพศหญิง ...นั่นคือ "แรด" หรือบรรดา
คุณระทวยทึก(กระเทย) ใช้เรียกกันในวงสังคมตนเอง

แต่สำหรับข้าพเจ้าคำว่า "แรด"
สามารถใช้ได้ทั้งเพศหญิงและเพศชาย
ที่ตรงรี่เข้าไปหา เพศตรงข้าม
หรือแม้กระทั่งพยายามแสดงให้เพศตรงข้ามเห็น
ว่าตนเองได้อยู่แถวนั้น

เหมือนเป็นโอกาสเชิญชวน
ให้เพศตรงข้าม มองรูปร่างอันทุเร็จ
ของตนเอง แล้วเอาไปนินทา
อย่างน้อยก็มีความกระหยิ่มยิ้มย่องว่า
เอ่อ! หมายังแล (อะไรประมาณนั้น)

แต่สำหรับคนที่ไม่ใช่หมา และไม่ใช่...
ก็คงไม่มอง เพราะตามันถั่ว เพราะมองไม่เห็น
อันนี้ก็น่าเห็นใจนะ .... อุตส่าห์เดินวนเวียน ๆ ๆ
เข้าไปแถวนั้น ก็ยังไม่สน ...สงสัยคนนี้ คงตาถั่วจริง ๆ
อย่ากระนั้นเลย "แรด" ก็ยังคงเป็น "แรด" ต่อไป

ในเมื่อมันตาถั่ว ทีนี้ล่ะก็ ใครก็ได้วะ
ช่วยเสริม EGO ให้ตูที
จะได้ไปคุยเม้าท์กับชาวบ้านเขาได้ว่า
"หมายังแล" ....

ช่วงนี้ พวกเสื้อแดงไปแถวสวนสัตว์
ทำให้สัตว์หลาย ๆ ตัวตกใจ
ต่างพากันไปหลบซ่อนอยู่กันคนละมุม
เอ้า! สงสารมันหน่อยนะ
ทำอะไรอย่าเสียงดังมาก

เดี๋ยวสัตว์พวกนั้น
ตกใจหมดเลยยยยยย ....

ถ้าอ่านบทความนี้แล้วไม่เข้าใจ
กรุณากลับไปอ่าน ดาวสีเขียวอีกรอบ **

Version : ระฆังแรกของมดตะนอย
สนุกจริง ๆ เลย พาไปเที่ยวสวนสัตว์ดุจัง! อิอิ ^_^

คิดแล้วเขียน :)V

วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2553

เมื่อโลกาวินาศ เราจะทำอย่างไร?!



ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้าไม่ค่อยได้ดูภาพยนตร์ตามโรงหนัง
ใช้วิธีเป็นสมาชิกยืม DVD มาดูที่บ้านรู้สึกว่าจะคุ้มกว่า
เพราะดูแค่ครั้งเดียว รู้เรื่องก็ไม่ยืมต่อแล้ว
วันนี้เลยไปเช่า DVD ของร้าน TSUTAYA แถวบ้านมาดู
เรื่องโลกาวินาศ 2012 และอีกหลายเรื่อง
พูดถึงว่า ช่วงนี้แผ่นดินไหวติด ๆ กันหลายประเทศ
คนที่คิดสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ คงได้ข้อมูลจากนักธรณีวิทยาเป็นแน่
ถึงได้สร้างพล๊อตเรื่องนี้มาโดนใจชาวโลก

เรื่องแผ่นดินไหว คลื่นสึนามิ
บวกกับคำภีร์ไบเบิ้ล เรือโนอาห์
ปฏิทินมายา ศาสนาเกือบทุกศาสนา
พูดถึงวันน้ำท่วมโลก คงจะพอมีเค้าลางแห่งความเป็นไปได้
เพราะภายใต้โลกกลม ๆ ใบนี้มีแมกม่าที่ร้อนระอุใต้พิภพ
ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่า พระพุทธเจ้าเห็นไฟนรกโลกันต์
ก็จากแมกม่าพวกนี้
แต่พระพุทธเจ้ามองลึกลงไปเห็นพวกสัตว์นรกในไฟนั้นด้วยน่ะซิ
น่าแปลก!!
ท่านมองเห็นบนฟ้ามีเทวดา และชั้นภพภูมิทั้งหลาย
ซึ่งเรื่องเทวดา ของฝรั่งก็มีกล่าวไว้เหมือนกัน

แล้วโลกใบนี้ก็เกิดขึ้นมานานแล้ว จนคำนวณเวลาไม่ได้
พิสูจน์ได้แค่หลักฐานทางธรณีวิทยา ซากไดโนเสาร์
ซึ่งต้องนับย้อนเวลาหลายหมื่นปี
โลกใบนี้ก็มีน้ำแข็ง น้ำที่เป็นมหาสมุทร
มีชั้นเทวดา ที่อยู่บนท้องฟ้า (แต่ตามนุษย์ธรรมดาไม่สามารถเห็นได้)

ตั้งแต่ที่ข้าพเจ้าไปเที่ยวเมืองจีนมา
เห็นอุทยานหิน จึงทำให้เห็นว่า
เมื่อก่อนมีการเคลื่อนตัวของแผ่นดิน
ซึ่งตามหลักฐานทางวิทยาศาสตร์
ได้บ่งบอกว่าพื้นดินที่คุนหมิงแห่งนี้
เคยเป็นมหาสมุทรมาก่อน

ฉันใดฉันนั้น เรื่องโลกาวินาศ ก็คงจะตรงกับตำรา
หรือคัมภีร์หลายเล่ม ที่กล่าวไว้ตั้งแต่โบราณมาแล้ว
เช่น เรือโนอาห์ของคัมภีร์ไบเบิ้ล ที่ต่อเรือ เพราะน้ำจะท่วมโลก
แล้วบรรทุกสิ่งมีชีวิตแต่ละคู่ขึ้นเรือ เพื่อสืบเผ่าพันธุ์ต่อไป

ส่วนวันสิ้นโลก ก็คงเหมือนกับระยะเวลาของโลกที่จะต้องกวาดล้าง
สิ่งไม่ดีออกแผ่นดินสักที เหมือนกับระยะเวลาที่ศาสนาพุทธเรียก
" อสงไขย หรือ กัปป์" (ข้าพเจ้าอนุมานเองตามตำราที่ได้อ่านมา
ประกอบกับเรื่องราวต่าง ๆ ที่ได้มีจดบันทึกไว้)

กัปป์ในพระพุทธศาสนา


แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ : -

1. สุญญกัปป์ แปลว่า กัปป์ที่ไม่ทรงมี
พระสัพพัญญูพุทธเจ้า
พระปัจเจกพุทธเจ้า
และพระเจ้าบรมจักรผู้ทรงคุณธรรมอันประเสริฐ

2. อสุญญกัปป์ แปลว่า กัปป์ผู้ทรงผู้วิเศษ 3 จำพวกไว้
คือ พระสัพพัญญูพุทธเจ้า
พระปัจเจกพุทธเจ้า
และพระเจ้าบรมจักร

อสุญญกัปป์ ยังแบ่งออกไปอีก 5 อย่าง ดังนี้

1.สารกัปป์ กัปป์ที่มีพระสัพพัญญูพุทธเจ้า 1 พระองค์
2.มัณฑกัปป์ กัปป์ที่มีพระสัพพัญญูพุทธเจ้า 2 พระองค์
3.วรกัปป์ กัปป์ที่มีพระสัพพัญญูพุทธเจ้า 3 พระองค์
4.สารมัณฑกัปป์ กัปป์ที่มีพระสัพพัญญูพุทธเจ้า 4 พระองค์
5.ภัทรกัปป์ กัปป์ที่มีพระสัพพัญญูพุทธเจ้า 5 พระองค์
คือ กัปป์ปัจจุบันนี้ หมายถึง กัปป์แห่งความเจริญรุ่งเรือง

(ขณะนี้เราอยู่ในภัทรกัปป์นี้ และพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปคือ
พระศรี
พระอริยเมตตรัย ซึ่งเป็นองค์สุดท้ายของกัปป์นี้)
อ่านเพิ่มเติมด้านล่าง:


การที่แผ่นดินเกิดขึ้นครั้งหนึ่งๆ ตั้งขึ้นแล้ว ดำรงอยู่
และถูกทำลายไประยะเวลานั้นเรียก มหากัปป์
มีความยาวนานนับอสงไขยปีทีเดียว
หรือจะเทียบเท่ากับการเอาผ้าขาวบาง 1 ผืน
ค่อยๆ ลูบเขาพระสุเมรุ ซึ่งสูง 1 โยชน์ กว้าง 3 โยชน์
ในทุก 100 ปี มาลูบ 1 ครั้ง จนสึกกร่อนราบเรียบเป็นหน้ากลอง
เป็น 1 อสงไขย หรือกัปป์นั่นเอง

อสงไขย หรือกัปป์นั้น แบ่งอีกอย่างหนึ่งมี 4 ประการคือ : -

1. สังวัฏฏะอสงไขย
แปลว่า ระยะเวลาอันฉิบหายนั้น นับเป็นอสงไขยทีเดียว

2. สังวัฏฏัฏฐายีอสงไขย
แปลว่า ระยะเวลาอันฉิบหายนั้น
ตั้งอยู่นานเป็นอสงไขย ๆ ทีเดียว

3. วิวัฏฏะอสงไขย
แปลว่า ระยะเวลาอันบังเกิดความเจริญ

4. วิวัฏฏฐายีอสงไขย
แปลว่า ระยะเวลาอันตั้งอยู่แห่งความเจริญตลอดกาล

สำหรับสังวัฏฏะอสงไขยนั้นแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ คือ :-

1. เตโชสังวัฏฏะ แปลว่า กัปป์ที่วินาศด้วยไฟ
ไฟจะไหม้ขึ้นไปจนถึงชั้นอาภัสสราพรหมเป็นกำหนด

2. อาโปสังวัฏฏะ แปลว่า กัปป์ที่วินาศด้วยน้ำ
คือ น้ำจะท่วมขึ้นไปจนถึงเบื้องใต้
ชั้นสุภกิณหกาพรหมโลกลงมาเป็นกำหนดเขต

3. วาโยสังวัฏฏะ แปลว่า กัปป์ที่วินาศด้วยลม
คือ ลมจะพัดพาโลกวินาศตั้งแต่เบื้องใต้
ชั้นเวหัปผลาพรหมโลกลงมาเป็นกำหนดเขต

มูลเหตุแห่งความฉิบหาย 3 อย่างในสังวัฏฏะอสงไขย
1. มนุษย์สันดานหนาแน่นด้วยราคะ
สัตว์โลกจะถูกทำลายด้วยไฟ

2. มนุษย์สันดานหนาแน่นด้วยโทสะ
สัตว์โลกจะถูกทำลายด้วยน้ำ

3. มนุษย์สันดานหนาแน่นด้วยโมหะ
สัตว์โลกถูกทำลายด้วยลม

โลกนี้ บังเกิดขึ้นจากผลบุญของสัตว์
แต่แล้วก็วินาศจากผลบาปของสัตว์ด้วยดุจกัน
อกุศลมูลทั้ง 3 เป็นเหตุให้เกิดกัปป์ทั้ง 3
ในวิวัฏฏฐายีอสงไขย แม้ว่าในอสงไขยนี้
จะเป็นยุคแห่งความเจริญสักเพียงใดก็ตาม
ผลบาปของสัตว์ทั้งหลาย
อันหนาแน่นด้วยอกุศลมูลทั้ง 3
ก็ยังอาจบันดาลให้โลกนี้เกิดกัปป์ทั้ง 3 ได้อีก

กัปป์หรือ ยุคทั้ง 3 เป็นไฉน ? เกิดจากอะไร ?

1.โมหมูล เป็นเหตุให้บังเกิด โรคันตรกัปป์
คือ เกิดโรคระบาดร้ายแรง
มีกำหนด 7 เดือน จึงระงับ

2. โทสมูล เป็นเหตุให้บังเกิด สัตถันตรกัปป์
คือ เกิดสงครามร้ายแรง
มีกำหนด 7 วัน จึงระงับ

3. โลภมูล เป็นเหตุให้บังเกิดทุพภิกขันตรกัปป์
คือ เกิดฉาตกภัย อดอยากอาหารตาย
อย่างร้ายแรง มีกำหนด 7 เดือน จึงระงับ

ในมหากัปป์นี้ มี 64 อันตรกัปป์
จากกัปป์ที่ 1 ถึง 7 ถูกทำลายด้วยไฟ
พอกัปป์ที่ 8 จะถูกทำลายด้วยน้ำ
แล้วนับตั้งต้นใหม่เวียนอยู่อย่างนี้รอบละ 8 กัป

จนถึงกัปป์ที่ 64 นับได้ว่า
โลกพินาศด้วยไฟ 56 ครั้ง
น้ำ 7 ครั้ง ลม 1 ครั้ง รวมเป็น 64 ครั้ง


ปัจจุบันนี้โลกอยู่ในกัปป์ที่ 64 คือ
สัตว์โลกจะถูกทำลายด้วยลม คือ ลมมาทุกทิศทุกทาง
นับเป็นมหันตภัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาภัยทั้ง 3 ที่ทำลายสัตว์โลก

เมื่อถึงคราวโลกพินาศ ในจำนาวภูมิ ทั้ง 31 ภูมิ มีภูมิที่พ้นจากถูกทำลาย
คือ ในรูปพรหมภูมิตั้งแต่ชั้นที่ 10 เวหัปผลาภูมิ จนถึงชั้นที่ 16 อกนิฏฐาภูมิ
(เมื่อโลกถูกทำลายด้วยไฟ จะพินาศตั้งแต่อบายภูมิ จนถึงปฐมฌานภูมิ 3
เมื่อถูกทำลายด้วยน้ำ จะพินาศตั้งแต่อบายภูมิจนถึงทุติยฌานภูมิ 3
เมื่อถูกทำลายด้วยลม จะพินาศจนถึงตติยฌานภูมิ 3 )
ส่วนพรหมชั้นสูงกว่า ตติยฌานภูมิขึ้นไป แม้มิถูกทำลาย แต่ก็มีเวลาจุติตามอายุขัย


ก่อนที่โลกจะถูกทำลายแต่ละครั้ง จะมีเทวดาชื่อ โลกพยุหเทวดา
ล่วงรู้ถึงภัยพิบัตินั้น เทวดาเหล่านี้ เศร้าโศกเสียใจ สลดสังเวช
จึงพากันสัญจรลงมายังโลกมนุษย์ ประกาศป่าวร้องไปทั่วถึงภัยอันตรายนั้นๆ
เริ่มบอกตั้งแต่ก่อนโลกพินาศ เป็นเวลา 100,000 ปี
และจะลงมากล่าวเตือนดังนี้ ทุกระยะ 100 ปี


เมื่อมนุษย์และเทวดาทั้งหลายได้รับทราบข่าวนี้แล้ว ย่อมเกิดความสังเวช สลดใจ
รักใคร่ปรองดอง ชักชวนกัน ประกอบกุศลกรรมต่างๆ โดยเฉพาะ
เจริญพรหมวิหารธรรม เมื่อตายแล้ว พากันไปบังเกิดในเทวโลก พรหมโลก
ที่บังเกิดในสวรรค์ ชั้นกามาพจร หรือ พรหมโลกชั้นต่ำ ก็ขวนขวาย เจริญฌานจนตาย
แล้วไปบังเกิดในภูมิชั้นสูงๆ อันพ้นจากความพินาศของโลกต่อไป

ส่วนสัตว์ในอบายภูมิ ทั้งที่มีอกุศลกรรม เบาบางหรือหนักก็ตาม
จะมีญานชนิดหนึ่ง ชื่อชาติสรญาน คือระลึกชาติได้ว่า
ที่ตนต้องเสวยความทุกข์ทรมานต่างๆเหล่านั้น ด้วยเหตุจากการประกอบอกุศลกรรม
จึงรู้สำนึกตน อำนาจของกุศลที่เคยประกอบไว้ในชาติก่อนๆ
จะส่งผลให้พ้นจากอบายภูมินั้นๆ ได้เกิดเป็นมนุษย์บ้าง เทวดาบ้าง
จึงทันได้รับทราบข่าวจากการป่าวประกาศของโลกพยุหเทวดา
และพากันเจริญฌานต่อๆไป จนไปบังเกิดในพรหมโลกจนหมด

ก่อนถูกทำลายด้วยสิ่งใดๆก็ตาม เสียงเอิกเกริก เซ็งแซ่โกลาหล
จะบังเกิดขึ้นในโลก 5 ประการ ที่ทำให้มนุษย์และเทวดาทราบข่าวล่วงหน้า

และพากันเจริญกุศลธรรมต่างๆ เพื่อหนีความพินาศของโลก เสียงประกาศเหล่านั้นคือ

1. กัปปะโกลาหล
เสียงประกาศให้ทราบว่า ต่อจากนี้อีก 100,000 ปี
โลกจะถึงความพินาศ

2. พุทธะโกลาหล
เสียงประกาศเกริกก้องว่า ต่อจากนี้อีก 1,000 ปี
จะมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลกมนุษย์

3. จักกวัตติโกลาหล
เสียงประกาศว่า นับแต่นี้อีก 100 ปี
จะมีพระเจ้าจักรพรรดิบังเกิดขึ้นในโลก

4. มังคละโกลาหล
เสียงประกาศว่า ภายในเวลาอีก 12 ปี
พระพุทธเจ้า จะทรงแสดงธรรมที่เป็นมงคล 38 ประการ

5. โมเนยยะโกลาหล
เสียงประกาศว่าภายในระยะเวลาอีก 7 ปี
จะมีผู้ปฏิบัติโมเนยยะ (ปราชญ์) มาบังเกิดในโลก



-----------------------------------------

« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 16, 2009, 05:02:59 PM »




ความแตกต่างของพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ในภัทรกัปนี้

1. พระกกุสันธพุทธเจ้า
หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า
เมื่อสมัย เป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 8 อสังไขยแสนกัป
ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 37,024 พระองค์
เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย 40,000 พรรษา
พระสรีระสูง 40 ศอก หรือ 20 เมตร
บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 10 เดือน
พุทธรังสีสร้านไปไกล 10 โยชน์ (160 กิโลเมตร)


2. พระโกนาคมพุทธเจ้า
หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า
เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 8 อสงไขยแสนกัป
ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 37,024 พระองค์
เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย 30,000 พรรษา
พระสรีระสูง 30 ศอก หรือ 15 เมตร
บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 1 เดือน
พุทธรังสีสร้านไปไกล ตามแต่พระประสงค์


3. พระกัสสปพุทธเจ้า
หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า
เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 8 อสงไขยแสนกัป
ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 37,024 พระองค์
เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย 20,000 พรรษา
พระสรีระสูง 20 ศอก หรือ 10 เมตร
บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 7 วัน
พุทธรังสีสร้านไปไกล ตามแต่พระประสงค์


4. พระศากยมุนีโคดมพุทธเจ้า
(องค์ปัจจุบันผ่านมา 2500 ปีแล้วเหลืออีก 2500 ปี)

หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า
เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 4 องไขยแสนกัป
ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีก 24 พระองค์ ซึ่งน้อยมาก
เป็นปัญญาพุทธเจ้า อายุไขย 80 พรรษา
พระสรีระสูง 4 ศอก หรือ 2 เมตร
บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 6 ปี
พุทธรังสีสร้านไปข้างละ 1 วา เป็นปกติ

5. พระอริยเมตตรัยพุทธเจ้า
หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า
เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 16 อสงไขยแสนกัป
ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 477,029 พระองค์
เป็นวิริยะพุทธเจ้า อายุไขย 80,000 พรรษา
พระสรีระสูง 80 ศอก หรือ 40 เมตร
บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 7 วัน
พุทธรังสีสร้านไปไกล ยังกำหนดไม่ได้



แสดงว่า มนุษย์ชาติหลายเผ่าพันธุ์ ล้วนเป็นเพื่อน พี่น้องร่วมโลกกัน
ด้วยความแตกต่างทางเชื้อชาติ และสายพันธุ์
แต่ความเชื่อก็ยังคล้ายคลึงกันเสมอมา

เมื่อโลกาวินาศ ทุกสิ่งทุกอย่างกวาดล้างไปกับน้ำ ไฟ
เหลือเศษซาก กองกระดูก ให้ลูกหลานสืบค้นหาต่อไป

ช่วงหลัง ๆ มักจะมีแนวภาพยนตร์ในเรื่องดังกล่าวเยอะมาก
อาจเป็นเพราะโลกเจอมหันตภัยร้ายแรงหลายครั้ง
อย่างสึนามิ เมื่อก่อนไม่คิดว่าจะมีในประเทศไทย

เห็นแต่ในภาพยนตร์ ก็สนุกไปกับมันได้ตื่นเต้น
ในลุ้นระทึกว่า ใครจะรอดหรือไม่รอด
ก็จะมีทั้งคนที่แสดงความเห็นแก่ตัว และคนที่เป็นมนุษยชน
ประเทศทางตะวันตก เขาเจอพายุ เจอภัยธรรมชาติ
ที่ร้ายแรงมากว่าประเทศไทย เขาเลยมีการรณรงค์
ให้รู้จักรักสิ่งแวดล้อม อย่างน้อยก็ได้ช่วยยืดอายุของโลก
ไว้ให้ลูกหลานอยู่กันอย่างไม่ลำบาก
ไม่แน่ ชาติหน้าเราอาจเกิดมาอีก อาจจะต้องอยู่กันลำบากมากขึ้น
(อยากจะเกิดอีกหรือนี่ ว่าจะขอบรรลุโสดาบันในชาตินี้แล้วหนา อิอิ :P)
พูดง่าย ๆ ว่ามนุษย์เราสร้างอะไรไว้ ตัวเราเองนั่นแหล่ะ
ที่จะได้รับผลอันนั้น ...เฮ้อ! ว่าแล้วก็ไปดูเรื่องอื่นต่อดีกว่า


คิดแล้วเขียน :)V

วันเสาร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2553

คนดี คนฉลาด คนเก่ง อย่างไหนดีกว่ากัน?

ข้อแตกต่างคนดี คนฉลาด และคนเก่ง
คนดีมาบริหารประเทศ ได้หรือ?
ในเมื่อรายล้อมไปด้วย นายทุน
ที่พร้อมจะยื่นข้อเสนอให้ทุกวิถีทาง?
พูดง่าย ๆ ว่า ต้องพบเสือ สิงห์ กระทิง แรดเพียบ!!
จะสู้เขาไหวหรือ?

ส่วนคนฉลาดมาบริหารประเทศ
ก็ฉลาดในการทำมาหากิน ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น
แต่สุดท้าย หากเกิดอะไรขึ้นกับบ้านเมือง
คนฉลาดก็คงเอาตัวเองรอดไว้ก่อน จริงไหม?

แล้วคนเก่งล่ะ คนเก่งมาบริหารประเทศ
เก่งในด้านไหนล่ะ? เก่งมาก รู้มาก
โกงก็ได้มาก หากไม่มีคุณธรรม ...

สรุปสุดท้าย นักการเมืองที่ดี
ทำเพื่ออุดมการณ์นั้น
ทำเพื่อบ้านเมือง
คงมีแต่ในอุดมคติ
ซึ่งความเป็นจริงแล้ว มนุษย์เรา
ยังคงต้องกินข้าว ทุกวัน
เงินคือปัจจัยหลัก ที่นักการเมือง
ต้องลงทุน แล้วกำไรล่ะ? เอาจากที่ไหน?
อย่ามาพูดเลย ทำเพื่ออุดมการณ์

ฝันไปเหอะ! ถ้าวันไหนไม่มีข้าวรับประทาน
อุดมการณ์มันจะเดินหน้าต่อได้ไหม?
นี่คือ จุดอ่อนของนักการเมือง

คิดแล้วเขียน :)V

วันพุธที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2553

คนเก่ง

วันนี้ได้ฟังข้อคิดจากคุณดังตฤณต่อจากเมื่อวาน
ได้หยิบยกเกี่ยวกับพวกเด็กเรียนเก่ง ที่กดดันตัวเอง
เพื่อเรียนให้ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง โดยเฉพาะพวกแพทย์
ตามที่ดู VDO ของคุณดังตฤณ เล่าจริง ๆ



ข้าพเจ้าเคยเห็นรุ่นพี่ ลูกของเพื่อนป้า
จบสัตวแพทย์ไปต่อ ดร.ที่เมืองนอก
แล้วกดดันตัวเอง จนไม่สามารถจบ ดร.ได้
เพราะสอบไม่ผ่าน สอบปากเปล่า ครั้งสุดท้าย

พี่คนนี้ เลยเพี้ยนไปเลย
และไม่สามารถกลับมาเป็นสัตว์แพทย์ได้
เพราะจะทำให้เขานึกถึงเรื่องราว
การสอบไม่ผ่านในครั้งนั้น
หลายคนในครอบครัวพี่เขา กลัวเขาฆ่าตัวตาย
เลยต้องเบี่ยงเบนไปทำอาชีพอื่นแทน

เพราะพี่คนนี้ เป็นคนที่จริงจังกับชีวิตอย่างมาก
ข้าพเจ้าก็เห็น และก็อยู่ในสิ่งแวดล้อมเด็กเก่ง ๆ
รู้สึกว่า การเป็นเด็กเก่ง เป็นคนไม่ค่อยน่าคบเท่าไร
เพราะพวกนี้เป็นพวกเครียดสะสมได้ง่าย บางคนเครียดมาก
จนสามารถระบายอารมณ์ร้าย ๆ ออกมาให้คนรอบข้างกระเจิงได้
(ส่วนมากคนที่เก่ง มักเป็นแบบนั้น) เพราะกดดันตนเองมากไป

พี่สาวข้าพเจ้าเมื่อก่อนเป็นเหมือนกัน
เดี๋ยวนี้อารมณ์พี่ท่านเพลา ๆ ลงไปบ้างแล้ว ^_^
โตขึ้น คงเห็นอะไรเยอะมากขึ้นมั้ง
เลยลดการคาดหวังในชีวิตลงไปบ้าง
เพราะการคาดหวังกับชีวิตตนเองมากไป
ตัวเองก็ไม่มีความสุข
คนรอบข้างก็ไม่มีความสุข
เพราะต้องรับภาวะอารมณ์ตึงเครียดอยู่เสมอ

(พวกที่เครียดง่ายนี้มักจะมีรังสี อำมะหิต
แผ่กระจายอยู่รอบตัว ๆ
แล้วใครจะกล้าเข้าใกล้ จริงไหม?)

ตนเองก็อยู่ในแวดล้อมของคนเก่ง ๆ
แต่ทำไมตรูไม่เก่งบ้างฟะ อิอิ ^_^

คิดแล้วเขียน :)V

วันอังคารที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2553

ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ

วันนี้เป็นวันที่ 2 ที่ข้าพเจ้าวิ่งรอบที่ทำงานช่วงเย็น
ปวดหน้าขาอย่างมาก เนื่องจากไม่ได้วิ่งมานานหลายปี
3-4 ปีได้แล้วมั้งที่หยุดวิ่งไป เพราะช่วงนั้นติดภาระกิจ
และไม่มีเพื่อนที่อยากจะออกกำลังกายด้วย

ช่วงนี้เพิ่งเริ่ม หลังจากหมดภาระในการให้อาหาร
และดูแลปลาทอง ...(เหมือนปลามันจะรู้ว่า
ข้าพเจ้าจะไม่มีเวลาดูแลมันแล้วงั้นแหล่ะ
มันเลยรีบลาจากโลกไป)....
ก็ทำให้พอมีเวลาดูแลตัวเองขึ้นมาอีกนิด (นิดเดียว)^_^
เพราะถ้าหากช่วงไหนงานหนัก เครียดมาก ๆ อาจจะไม่ออกต่อ
ต้องขึ้นอยู่กับความพร้อมของร่างกายข้าพเจ้าด้วย
ไม่ชอบอะไรที่ฝืนตัวเองมากไป
(ไม่ใช่คนห่วงสวย หรือติดเพื่อน)
ชอบอะไรที่สบาย ๆ ไม่เคร่งเครียด กดดันตัวเอง
เพราะคนรอบข้างมักจะกดและดันพอแล้ว :))

ห่างหายจากการวิ่งไปนาน จนกลับมาวิ่งอีก
รู้สึกว่าลำไส้มันตันอย่างไรไม่รู้
วิ่ง ๆ แล้วจุกบ่อย (เพราะความที่กินมากในช่วงกลางวัน)
อีกอย่างหน้าขาก็แข็ง เกร่ง ทำให้ปวดกล้ามเนื้อขาเป็นอย่างมาก
ขึ้นลงบันได งี้แถบไม่ไหว ....คงเป็นสักพักใหญ่
ถ้าออกซ้ำ ๆ กัน คงหาย

ารออกกำลังกาย มันดีต่อสุขภาพในระยะยาว
เหมือนเป็นยาวิเศษ ที่รักษาได้เกือบทุกโรค
คงไม่ถึงกับรีบลดน้ำหนัก หวบหาบ
ออกกำลังกายเพื่อให้หัวใจได้สูบฉีดเลือดดีขึ้น
เลือดไปเลี้ยงสมองจะได้ดี ....ปอดจะได้รับออกซิเจนอย่างเต็มที่
ก็ต้องเริ่มดูแลตัวเองบ้างแล้ว เดี๋ยวตอนแก่ เจ็บไข้หามเข้า รพ.
ตอนนั้นไม่มีเงินรักษาล่ะแย่เลย ...แต่ที่สำคัญ
ยิ่งออกกำลังกาย แต่ยิ่งกินน่ะซิ ...ไม่รู้จะห้ามปากตัวเองได้งัย อิอิ ^_^

คิดแล้วเขียน :))

วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2553

กีฬาสี - เกมการเมือง

เจ็บตัวเพราะพนันกันไว้
แพ้-ชนะ เพราะการแข่งขัน
ผู้ที่ฉลาดที่สุด ยังโง่กันได้
เสียใจมากที่สุด เพราะไปเชียร์ข้างคนไม่ดี
กว่าจะรู้ตัวอีกที เสียรู้ไปตั้งเท่าไหร่
การที่เราเป็นคนไม่รับฟังความคิดเห็นคนรอบข้าง
ไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตาม ทำให้ตัวเราเปรียบเสมือน
น้ำที่เต็มแก้ว ไม่สามารถเปิดรับความคิดเห็นของใครได้เลย
นั่นเพราะเรามีใจอคติเป็นทุนเดิม
ใครพูดอะไรมา ไม่เชื่อ ไม่ฟัง
ตรูจะตะแบงไปแบบนี้

กว่าจะรู้ตัวอีกที ว่าพลาด
เพราะโง่ฟังความข้างเดียว
ก็เสียอกเสียใจ แต่จะโทษใครดีล่ะ?
ความมีอคติทำให้ใจไม่เปิดรับฟัง
ความคิดเห็นคนรอบข้าง
แทนที่เราจะได้อะไรดี ๆ
เรากลับมองข้ามไป สุดท้ายแล้ว
ชีวิตก็ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย
นอกจากคำว่า แพ้ และชนะกันอย่างเดียว



คิดแล้วเขียน :)v

วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2553

ดวงชะตา คือ จิตของเรา

วันนี้ได้ค้นพบคำพูดที่ตรงใจข้าพเจ้ามาก
เลยต้องนำเก็บมาโพสไว้ใน blog ตนเอง
คนที่สนใจทางศาสนา มักจะสนใจในโหราศาสตร์ด้วยในเบื้องต้น
จะว่าไป ข้าพเจ้าก็คล้ายคุณดังตฤณนะ
อาจเป็นเพราะ ได้ศึกษาธรรมะ ควบคู่กับโหราศาสตร์ด้วย
เลยได้ข้อคิดอะไร ที่จะคล้าย ๆ กับคุณดังตฤณ
อย่างเช่น การไม่เชื่อคำทำนายดวงชะตา
แต่ก็ยังลังเลว่า จะเป็นจริงดังที่หมอดูทำนายหรือไม่?
ลองมาฟัง คำให้สัมภาษณ์คุณดังตฤณดูนะคะ




ฟังแล้วรู้สึกตรงใจข้าพเจ้าเสียจริง

อันนี้เพิ่มเติม ที่คุณดังตฤณ พูดถึงศาสตร์ฮวงจุ้ย
เขาก็ชอบศึกษาแนวนี้เหมือนกับข้าพเจ้าเลย
อิอิ ^_^

สรุปแล้ว ตัวเราสามารถเปลี่ยนชะตาตัวเองได้
ก็คือ ต้องเปลี่ยนใจ ที่เป็นสันดานเรานั่นเองแหล่ะ :))



ฟังแล้วดีนะคะ

การทำงาน คือการใช้สมาธิในการจดจ่ออยู่ในงานที่ทำ
ใช้ระบบสมองในกลั่นกรอง วิธีจัดการปัญหาต่าง ๆ ของงาน
หากฮวงจุ้ยที่ทำงานที่มีคนเดินเพ่นพ่านไปมาอยู่ตลอดเวลา
หรือเสียงดังอึกครึก ครึกโครม
แล้วผลงานที่ออกมาจะดีหรือไม่ล่ะ ลองคิดดูเล่น ๆ ก็แล้วกัน

ส่วนฮวงจุ้ยในการทำงานที่ดีของข้าพเจ้า คือ
ที่แห่งนั้นไม่มีผู้ชาย เคลียร์ไหม?


คิดแล้วเขียน :)V

ตัวสุดท้ายไปซะแล้ว


แด่เจ้าอ้วน ผู้จากไป ....
ถึงวาระ....มันก็ต้องไป....

วันนี้ปลาทองตัวสุดท้ายที่เลี้ยงมาเกือบ 2 ปีแล้ว
ได้จากไป ด้วยโรคท้องบวม หงายท้องมาหลายเดือน
ที่บ้านต่างสงสารมัน แต่ก็ไม่รู้จะช่วยเหลืออย่างไร
จะนำไปโรงพยาบาลสัตว์เพื่อเจาะลมออกจากท้อง
ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่า มันจะรอดหรือไม่
เพราะโรคนี้หายยาก ไม่มียาใด ๆ รักษา
เป็นแล้ว สามารถกลับมาเป็นใหม่ได้
(คงเหมือนโรคมะเร็งของคนมั้ง)

ที่บ้านหาว่าข้าพเจ้าสร้างเวรกรรมกับมัน
เอามันมากักขังทรมาน
ทั้ง ๆ ที่ข้าพเจ้าก็เลี้ยงดูอย่างดี อาหารไม่เคยขาด
แถมอ้วนจนตาปิด เปลี่ยนน้ำอาทิตย์ละหน ถึงสองหน
ไม่เคยปล่อยให้น้ำเสียเลย ....ตอนไม่สบายก็ไปซื้อยามาใส่
ดูแลยิ่งกว่าคนอีกนะ ...
เพราะปลาไม่เหมือนคน ที่ยังพอช่วยเหลือตนเองได้
เราเลี้ยงดูสิ่งใด ก็ต้องรับผิดชอบสิ่งนั้น
ไม่ใช่ตอนแรก ๆ ก็ดูแลอย่างดี
หลัง ๆ ก็ปล่อยปละละเลย ไม่ดูแล

หลายคนที่เลี้ยงสัตว์ ประมาณว่าเห่อแรก ๆ
หลัง ๆ ขี้เกียจ เลี้ยงแล้วมีปัญหา ก็นำไปปล่อย
สร้างภาระให้กับคนอื่น ข้าพเจ้าไม่นิยม
และก็ไม่ใช่คนมักง่ายขนาดนั้น ....
ขึ้นชื่อว่าสัตว์ มันก็มีจิตใจเหมือนมนุษย์นี่แหล่ะ

ถ้าคิดว่าตัวเองเลี้ยงไม่ได้ เลี้ยงไม่ดี
ก็ไม่สมควรจะเลี้ยงตั้งแต่แรก
อย่าทำอะไรตามกระแส เพราะสัตว์มันมีชีวิต
มันพูดไม่ได้ เจ็บตรงไหน ปวดตรงไหน
พ่อถึงบอกว่า ข้าพเจ้ามีเวรกรรมกับปลา ^__^
เพราะต้องเอาเวลาไปดูแลมัน

ตอนนี้ก็คงพักการเลี้ยงไว้ก่อน
เพราะพ่อกับแม่บ่นข้าพเจ้าบ่อย ๆ
ในการนำสัตว์มาเลี้ยง เพราะเป็นภาระ
เลี้ยงไม่ดี กรรมก็เข้าตัวเองอีก
แม่เขาเป็นห่วงข้าพเจ้า

ไปกักขังปลาไว้ในตู้
อีกหน่อยก็ถูกคนอื่นเขากักขัง ...อ้าว!!
เหมือนกันซะเมื่อไรล่ะ ...ปลาทองเป็นสัตว์เลี้ยงไว้ในตู้อยู่แล้ว
ขืนปล่อยลงคลองให้มันหากินเอง ก็ตายพอดีน่ะซิ
เปรียบเทียบกันไม่ได้หรอก ....

อายุปลาคงถึงวาระมันแล้วก็ได้ พวกนี้อายุไม่ยืนอยู่แล้ว
เราก็หายา ป้อนอาหาร เปลี่ยนน้ำให้มัน
ทำดีที่สุดแล้วล่ะ .... วันนี้ก็ขุดหลุมฝังมันไว้ใต้ต้นมะม่วง
ป้ามาช่วยดูด้วย เพราะตอนที่ข้าพเจ้าไปจีน
ฝากป้าแกช่วยให้อาหารมัน คงจะมีความรู้สึกผูกพันมันบ้าง
แกเลยเอาดอกเข็มมาปักไว้หน้าหลุม ^__^
(อาการเหมือนตอนข้าพเจ้าเด็ก ๆ :))

หลาย ๆ คนเป็นห่วงข้าพเจ้า ในการเลี้ยงสัตว์
เขาคงกล้วว่า ข้าพเจ้านำสัตว์มาเลี้ยง
คือการทรมานมัน ไม่ให้มันมีอิสระ
เดี๋ยวเวรกรรมจะเข้าตัว

เฮ้อ! ตอนนี้ก็เลยต้องเก็บตู้ปลา เครื่องใช้ของปลา
ยา อาหารบางส่วนก็คงต้องไปแจกจ่ายให้คนอื่น
ตอนนี้คงหยุดสักพักในการเลี้ยงปลาทอง ....

แต่ก็ยังพอมีปลาหางนกยูง ที่ลูกเพื่อนพี่สาวมาบริจาคให้ข้าพเจ้า
ให้ช่วยเลี้ยงด้วย นี่ออกลูก ออกหลานเต็มบ่อบัว ....
สงสัยข้าพเจ้าคงมีเวรกรรมกับปลา จริง ๆ แหล่ะ! ^_^

ว่าแล้ว ก็ขอให้เจ้าปลาทองที่ข้าพเจ้าเลี้ยงมาทั้งหลาย ทุกตัว
ไปสู่สุคติเน้อ!! ..

คิดแล้วเขียน :)V

วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2553

ชีวิตมนุษย์ ก็ไม่พ้นเรื่องอย่างว่า ...

วันนี้ข้าพเจ้านำเครื่องโทรศัพท์ไปเปลี่ยนซิม
เพราะใช้งานไม่ได้มาหลายวัน
ทำไปทำมาเปลี่ยนซิมแล้ว
(เบอร์เดิม)ก็ดันเปิดเครื่องไม่ได้อีก
เพราะซิมเก่าใส่รหัสไว้
ทำให้วันนี้ ทั้งกลางวันและเย็น
ต้องแวะห้างสรรพสินค้า
หาร้านที่เป็นศูนย์โทรศัพท์ ...
ทำไปทำมาก็ยังไม่ได้
หลายวันก่อนมีคนโทรเข้ามา
แต่ไม่โชว์เบอร์
ไม่รู้ว่าโดนมือดี
ส่งอะไรเข้าเครื่องหรือเปล่า?!

นี่ถ้าใช้การไม่ได้อาจจะต้องหยุดใช้เบอร์นั้นไปเลย
เพราะว่าเสียเงิน เสียเวลา และเสียสุขภาพจิต!
ก็เหมือนกับเครื่องคอมพ์สมัยก่อน
โดนไวรัสลงตลอด ล้างเครื่องไปไม่รู้กี่รอบ
อารมณ์นี้หงุดหงิด อยากเขวี้ยงมันทิ้งซะตรงนั้นเลย
ทำให้ข้าพเจ้าเดือดร้อน ต้องหาช่างซ่อม

นี่คิดว่า ถ้ามีรถยนต์อีก (ฝันไว้)ไม่รู้ว่ามันจะเกเร
ให้เสียเงินหาหมออีกหรือเปล่า?
มีแต่เรื่องเสียเงินจริง ๆ เรื่องได้เงินนี้
ไม่ยักกะมีมาเลยแห่ะ!
....ว่าแล้วก็เข้าเรื่องดีกว่า ....
วันนี้พี่สาวมาเล่า
เรื่องประสบการณ์ที่ลานจอดรถของห้างสรรพสินค้า
เจอชายกลางคน กับหญิงสาววัยรุ่น
กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันตรงที่จอดรถ
พอดีพี่สาวหาที่จอดรถอยู่
โมโหชายหญิงคู่นี้ มัวแต่ร่ำลากัน
เหมือนอาลัยอาวรณ์แบบไม่อยากจากกัน

พี่สาวก็บ่น ๆ ตรูยิ่งรีบอยู่
ก็สมัยนี้ แบบนี้มันเยอะ .... ทำใจเสียเถอะ!
ตราบใดที่ยังอยู่บนโลกใบนี้
มันก็คงไม่พ้นเรื่องอย่างว่าล่ะนะ

ดีที่ตัวเราเองไม่ได้มีชีวิตเป็นแบบเขา ดีเท่าไรแล้ว
สมัยนี้ หาผู้ชายที่ซื่อสัตย์
รักเดียวใจเดียวกับผู้หญิงเป็นเรื่องยาก
เพราะสังคมมันเปิดกว้างมากขึ้น
ไม่ว่าจะสื่อต่าง ๆ internet
โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ ... เฮ้อ! เห็นแล้วก็ปลงว่า
ดีแล้วที่ไม่แต่งงาน ไม่งั้นคงต้องนั่ง
นอนก่ายหน้าผากทุกวันว่า
วันนี้แฟนตรู จะเอาผู้หญิงคนไหน?! ..
วัน ๆ ก็คงปวดกระบาลไม่ต้องทำมาหารับประทานอะไร
เพราะเสียเวลากับการมานั่งคิดเรื่องพวกนี้

เอาเวลาไปคิด ไปทำอย่างอื่นที่มีประโยชน์ต่อตัวเองไม่ดีกว่าหรือ?!
คิดไปก็เท่านั้น .... ก็บอกแล้วงัย ว่าโลกใบกลม ๆ น่ะ
มีอะไรที่แน่นอนบ้าง?!

สังขารเราปัจจุบันก็ยังไม่เที่ยง อ้วนแล้วอ้วนอีก
บางคนก็เหี่ยวแล้ว เหี่ยวอีก
ส่วนเด็กรุ่นใหม่ มันก็สวยเอา สวยจนผู้ชายมันอยากเอา
แล้วจะสู้มันไหวเหรอ!! ป้า!!
อะไรที่ไม่ใช่ของเรา มันก็คงไม่ใช่อ่ะนะ!
ทำใจเสียเถอะ ป้าเอ๊ย!!

คิดแล้วเขียน :))

วันอังคารที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2553

แผ่นดินไหวทั่วโลก

ช่วงนี้ข่าวแผ่นดินไหวทำให้คนล้มบาดเจ็บ ตายจำนวนมาก
เหตุการณ์เช่นนี้ หากเกิดในเมืองไทย พวกที่อยู่ตึกสูง ๆ
คงไม่ต้องขุดหาซาก (พ่อว่าไว้ ก็แล้วแต่บุญแต่กรรม)
ยิ่งคนในเมืองนิยมอยู่คอนโดกันด้วย เหมือนมีบ้าน 2 หลัง
คอนโดเป็นที่ซุกหัวนอนชั่วคราว เพราะอยู่ใกล้ที่ทำงาน

ส่วนบ้านจริง ๆ อยู่อีกที่นึง ...คนมีฐานะมักจะซื้อเก็งกำไร
ด้วยส่วนหนึ่ง ถ้าตนเองไม่อยู่ก็ให้คนอื่นเช่า
แล้วก็เก็บค่าเช่ามาเป็นค่าส่งบ้าน ส่งรถ ต่อไป
ได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับตำราเงิน ๆ ทอง ๆ มาก็หลายเล่ม
แต่ตนเองไม่ยักกะรวยสักที อิอิ ^_^
เพราะคนจะรวยได้ ก็ต้องกู้เขาก่อน
เราเล่นไม่กู้ แล้วจะมีทรัพย์สมบัติได้อย่างไร
เพราะจำนวนเงินก้อนที่จะไปซื้ออสังหาริมทรัพย์
ไม่ใช่น้อย ๆ ....แต่ข้าพเจ้ากลัวความไม่แน่นอนมากกว่า
เกิดผ่อน ๆ ไปมีเหตุการณ์ฉุกเฉิน ทำให้ไม่สามารถผ่อนส่งต่อไป
เช่น นายจ้างเลิกจ้างกระทันหัน มีสงคราม ป่วย พิการ ฯลฯ

ชีวิตคนเราไม่แน่นอนนี่นะ
กล้า ๆ กลัว ๆ ก็เลยไม่มีเหมือนคนอื่นเขา :))
มีพี่ที่ทำงานบางคน อายุก็จะ 50 แล้วเพิ่งจะมาจอง
ซื้อคอนโดใกล้บ้านข้าพเจ้าที่เพิ่งเปิดใหม่
สงสัยคงซื้อไว้เก็งกำไรมากกว่า เพราะอนาคตจะมีรถไฟฟ้าผ่าน
ซึ่งพี่ที่ทำงานหลายคน ซื้อแถวที่ทำงานไว้แต่ตนเองไม่อยู่
ให้เขาเช่า แล้วเก็บค่าเช่า มันก็มีรายได้เสริมเพิ่มอีกทาง
แต่จะยุ่งยากในการดูแล ตามเก็บค่าเช่า
ถ้าเจอคนเช่าที่ดี ก็ดีไป เจอจอมผลัด ก็แย่หน่อย ...
ส่วนมากคนจะรวยก็ตรงเก็บค่าเช่านี่แหล่ะ
ลำบากตอนแรก ๆ แต่หลัง ๆ เหมือนได้ฟรี ๆ
ส่วนมากนักธุรกิจ พ่อค้า ก็เก็งกำไรจากการซื้อที่ดิน
ปลูกบ้าน ปลูกคอนโดขาย หรือให้คนอื่นเช่า

เมื่อสิ่งปลูกสร้างเยอะๆ
ส่วนหนึ่งทำให้หิน ดิน ทราย ตามธรรมชาติ
มันควรจะอยู่ในที่ ๆ ของมัน
กลับมาเพิ่มน้ำหนักให้กับหน้าดินบางส่วน

อีกอย่าง มีการเจาะขุด เอาแร่ เอาน้ำมันขึ้นมาใช้
ปีนึงไม่รู้กี่ล้าน ๆ แกลลอน

โลกก็ร้อน มลพิษก็เยอะ
ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมเหตุการณ์แผ่นดินไหว

ในแต่ละที่ถึงรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
ก็เพราะน้ำมือมนุษย์ทั้งนั้นแหล่ะ


มีพวกวิศวกรบางคน เขาบอกว่า
สิ่งปลูกสร้าง ไม่เกี่ยวกับแผ่นดินไหว
เพราะพื้นผิวสิ่งปลูกสร้างอยู่กันคนละระดับกับเปลือกส้มโอ
(ไม่รู้ว่าทางวิทยาศาสตร์เขาเรียกว่าอะไร)
แต่ข้าพเจ้าว่ามันมีส่วนเหมือนกันนะ
ถ้าชั้นดินข้างล่างเป็นโพรงมาก ๆ

ก็ทำให้มีการเคลื่อนตัวของชั้นดินมากขึ้น
ถ้าลองศึกษาวิจัยจริง

อาจได้ข้อมูลใหม่ ๆ ทางวิทยาศาสตร์
เพราะเห็นทฤษฎีวิทยาศาสตร์เปลี่ยนแปลงได้เสมอ
ถ้าได้พบเจอทฤษฎีใหม่มาหักล้างทฤษฎีเก่าได้

โลกร้อนก็เพราะมนุษย์ แผ่นดินไหว
ข้าพเจ้าก็ว่ามนุษย์อีกเหมือนกันแหล่ะ
ที่เป็นตัวเร่งให้มันไหวแรงขึ้น


ข้าพเจ้าไม่เถียงว่่า แผ่นดินไหวนั้นเป็นธรรมชาติ
ของโลกใบนี้
แต่มนุษย์ก็เป็นตัวเร่งส่วนหนึ่งด้วยเหมือนกัน


คิดแล้วเขียน :)V

วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2553

วันมาฆบูชา



วันมาฆบูชาที่ผ่านมา ข้าพเจ้าไม่ได้ไปไหน
ก็พาพ่อไปรับประทานอาหาร เนื่องจากต้องอยู่คนเดียว
เพราะแม่ และพี่สาวคนโต พาน้าไปถือศีลที่โคราช
ก็เลยพาพ่อไปเวียนเทียน ที่ร้านอาหารญี่ปุ่นฟูจิแทน ^_^

เดี๋ยวนี้เห็นคนแก่เจ็บป่วย ทำให้เริ่มนึกถึงตนเอง
ถ้าไม่มีลูกมีหลานมาดูแลตอนแก่
เราจะลำบากไหมน้อ?!

จะหวังพึ่งคนอื่น ก็คงไม่เหมือนเราทำเอง
เพื่อน ๆ พี่ ๆ ต่างคนก็ต่างมีภาระ
ยิ่งถ้าเราเจ็บไข้ได้ป่วย
แล้วอยู่คนเดียว เกิดตายขึ้นมา
นอนอืดอยู่บนเตียง กว่าญาติจะมาเจอ
ศพคงแห้งไปแล้ว เหมือนชาวยุโรป
ที่ลูกหลาน ต่างแยกย้ายไปมีชีวิตเป็นของตนเอง
กว่าจะกลับมาหาญาติ พ่อแม่ผู้ใหญ่ ก็สายเสียแล้ว

ชีวิตของคนไทยในปัจจุบัน นับวันก็จะคล้ายประชากร
ชาวยุโรปมากขึ้นทุกวัน เพราะสังคมเปลี่ยนไป
ครอบครัวใหญ่ จะน้อยลง คนจะไม่แต่งงานกันมากขึ้น
และไม่มีบุตรกันมากขึ้น เพราะเศรษฐกิจด้วยส่วนหนึ่ง
ถ้าใครมีลูกมีหลานช่วงนี้ น่าเห็นใจพวกเขานะ
ขนาดตัวเรา ยังคิดว่าเหนื่อยเลย
ถ้าเลี้ยงดูลูกหลานให้มีคุณภาพ ต้องใช้เงินและเวลา
มากขนาดไหน? ....

เมื่อคืนพระจันทร์เต็มดวง ฟ้ากระจ่างเห็นเมฆลอยเด่น
เลยเก็บภาพถ่ายไว้ แต่น่าแปลกคือ ลมพัดแรงขึ้น ๆ
ตอนที่ข้าพเจ้าปีนระเบียงนั่งเล่น เงยกล้องเก็บภาพเมฆบนท้องฟ้า
รู้สึกขนลุกบอกไม่ถูก ถ่ายได้แค่ 2 shot ต้องรีบตะกายลงมา
มันขนลุกแบบแปลก ๆ แถมลมแรงด้วย เอาล่ะซิตู ....


คิดแล้วเขียน :)V