วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2553

เมื่อโลกาวินาศ เราจะทำอย่างไร?!



ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้าไม่ค่อยได้ดูภาพยนตร์ตามโรงหนัง
ใช้วิธีเป็นสมาชิกยืม DVD มาดูที่บ้านรู้สึกว่าจะคุ้มกว่า
เพราะดูแค่ครั้งเดียว รู้เรื่องก็ไม่ยืมต่อแล้ว
วันนี้เลยไปเช่า DVD ของร้าน TSUTAYA แถวบ้านมาดู
เรื่องโลกาวินาศ 2012 และอีกหลายเรื่อง
พูดถึงว่า ช่วงนี้แผ่นดินไหวติด ๆ กันหลายประเทศ
คนที่คิดสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ คงได้ข้อมูลจากนักธรณีวิทยาเป็นแน่
ถึงได้สร้างพล๊อตเรื่องนี้มาโดนใจชาวโลก

เรื่องแผ่นดินไหว คลื่นสึนามิ
บวกกับคำภีร์ไบเบิ้ล เรือโนอาห์
ปฏิทินมายา ศาสนาเกือบทุกศาสนา
พูดถึงวันน้ำท่วมโลก คงจะพอมีเค้าลางแห่งความเป็นไปได้
เพราะภายใต้โลกกลม ๆ ใบนี้มีแมกม่าที่ร้อนระอุใต้พิภพ
ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่า พระพุทธเจ้าเห็นไฟนรกโลกันต์
ก็จากแมกม่าพวกนี้
แต่พระพุทธเจ้ามองลึกลงไปเห็นพวกสัตว์นรกในไฟนั้นด้วยน่ะซิ
น่าแปลก!!
ท่านมองเห็นบนฟ้ามีเทวดา และชั้นภพภูมิทั้งหลาย
ซึ่งเรื่องเทวดา ของฝรั่งก็มีกล่าวไว้เหมือนกัน

แล้วโลกใบนี้ก็เกิดขึ้นมานานแล้ว จนคำนวณเวลาไม่ได้
พิสูจน์ได้แค่หลักฐานทางธรณีวิทยา ซากไดโนเสาร์
ซึ่งต้องนับย้อนเวลาหลายหมื่นปี
โลกใบนี้ก็มีน้ำแข็ง น้ำที่เป็นมหาสมุทร
มีชั้นเทวดา ที่อยู่บนท้องฟ้า (แต่ตามนุษย์ธรรมดาไม่สามารถเห็นได้)

ตั้งแต่ที่ข้าพเจ้าไปเที่ยวเมืองจีนมา
เห็นอุทยานหิน จึงทำให้เห็นว่า
เมื่อก่อนมีการเคลื่อนตัวของแผ่นดิน
ซึ่งตามหลักฐานทางวิทยาศาสตร์
ได้บ่งบอกว่าพื้นดินที่คุนหมิงแห่งนี้
เคยเป็นมหาสมุทรมาก่อน

ฉันใดฉันนั้น เรื่องโลกาวินาศ ก็คงจะตรงกับตำรา
หรือคัมภีร์หลายเล่ม ที่กล่าวไว้ตั้งแต่โบราณมาแล้ว
เช่น เรือโนอาห์ของคัมภีร์ไบเบิ้ล ที่ต่อเรือ เพราะน้ำจะท่วมโลก
แล้วบรรทุกสิ่งมีชีวิตแต่ละคู่ขึ้นเรือ เพื่อสืบเผ่าพันธุ์ต่อไป

ส่วนวันสิ้นโลก ก็คงเหมือนกับระยะเวลาของโลกที่จะต้องกวาดล้าง
สิ่งไม่ดีออกแผ่นดินสักที เหมือนกับระยะเวลาที่ศาสนาพุทธเรียก
" อสงไขย หรือ กัปป์" (ข้าพเจ้าอนุมานเองตามตำราที่ได้อ่านมา
ประกอบกับเรื่องราวต่าง ๆ ที่ได้มีจดบันทึกไว้)

กัปป์ในพระพุทธศาสนา


แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ : -

1. สุญญกัปป์ แปลว่า กัปป์ที่ไม่ทรงมี
พระสัพพัญญูพุทธเจ้า
พระปัจเจกพุทธเจ้า
และพระเจ้าบรมจักรผู้ทรงคุณธรรมอันประเสริฐ

2. อสุญญกัปป์ แปลว่า กัปป์ผู้ทรงผู้วิเศษ 3 จำพวกไว้
คือ พระสัพพัญญูพุทธเจ้า
พระปัจเจกพุทธเจ้า
และพระเจ้าบรมจักร

อสุญญกัปป์ ยังแบ่งออกไปอีก 5 อย่าง ดังนี้

1.สารกัปป์ กัปป์ที่มีพระสัพพัญญูพุทธเจ้า 1 พระองค์
2.มัณฑกัปป์ กัปป์ที่มีพระสัพพัญญูพุทธเจ้า 2 พระองค์
3.วรกัปป์ กัปป์ที่มีพระสัพพัญญูพุทธเจ้า 3 พระองค์
4.สารมัณฑกัปป์ กัปป์ที่มีพระสัพพัญญูพุทธเจ้า 4 พระองค์
5.ภัทรกัปป์ กัปป์ที่มีพระสัพพัญญูพุทธเจ้า 5 พระองค์
คือ กัปป์ปัจจุบันนี้ หมายถึง กัปป์แห่งความเจริญรุ่งเรือง

(ขณะนี้เราอยู่ในภัทรกัปป์นี้ และพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปคือ
พระศรี
พระอริยเมตตรัย ซึ่งเป็นองค์สุดท้ายของกัปป์นี้)
อ่านเพิ่มเติมด้านล่าง:


การที่แผ่นดินเกิดขึ้นครั้งหนึ่งๆ ตั้งขึ้นแล้ว ดำรงอยู่
และถูกทำลายไประยะเวลานั้นเรียก มหากัปป์
มีความยาวนานนับอสงไขยปีทีเดียว
หรือจะเทียบเท่ากับการเอาผ้าขาวบาง 1 ผืน
ค่อยๆ ลูบเขาพระสุเมรุ ซึ่งสูง 1 โยชน์ กว้าง 3 โยชน์
ในทุก 100 ปี มาลูบ 1 ครั้ง จนสึกกร่อนราบเรียบเป็นหน้ากลอง
เป็น 1 อสงไขย หรือกัปป์นั่นเอง

อสงไขย หรือกัปป์นั้น แบ่งอีกอย่างหนึ่งมี 4 ประการคือ : -

1. สังวัฏฏะอสงไขย
แปลว่า ระยะเวลาอันฉิบหายนั้น นับเป็นอสงไขยทีเดียว

2. สังวัฏฏัฏฐายีอสงไขย
แปลว่า ระยะเวลาอันฉิบหายนั้น
ตั้งอยู่นานเป็นอสงไขย ๆ ทีเดียว

3. วิวัฏฏะอสงไขย
แปลว่า ระยะเวลาอันบังเกิดความเจริญ

4. วิวัฏฏฐายีอสงไขย
แปลว่า ระยะเวลาอันตั้งอยู่แห่งความเจริญตลอดกาล

สำหรับสังวัฏฏะอสงไขยนั้นแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ คือ :-

1. เตโชสังวัฏฏะ แปลว่า กัปป์ที่วินาศด้วยไฟ
ไฟจะไหม้ขึ้นไปจนถึงชั้นอาภัสสราพรหมเป็นกำหนด

2. อาโปสังวัฏฏะ แปลว่า กัปป์ที่วินาศด้วยน้ำ
คือ น้ำจะท่วมขึ้นไปจนถึงเบื้องใต้
ชั้นสุภกิณหกาพรหมโลกลงมาเป็นกำหนดเขต

3. วาโยสังวัฏฏะ แปลว่า กัปป์ที่วินาศด้วยลม
คือ ลมจะพัดพาโลกวินาศตั้งแต่เบื้องใต้
ชั้นเวหัปผลาพรหมโลกลงมาเป็นกำหนดเขต

มูลเหตุแห่งความฉิบหาย 3 อย่างในสังวัฏฏะอสงไขย
1. มนุษย์สันดานหนาแน่นด้วยราคะ
สัตว์โลกจะถูกทำลายด้วยไฟ

2. มนุษย์สันดานหนาแน่นด้วยโทสะ
สัตว์โลกจะถูกทำลายด้วยน้ำ

3. มนุษย์สันดานหนาแน่นด้วยโมหะ
สัตว์โลกถูกทำลายด้วยลม

โลกนี้ บังเกิดขึ้นจากผลบุญของสัตว์
แต่แล้วก็วินาศจากผลบาปของสัตว์ด้วยดุจกัน
อกุศลมูลทั้ง 3 เป็นเหตุให้เกิดกัปป์ทั้ง 3
ในวิวัฏฏฐายีอสงไขย แม้ว่าในอสงไขยนี้
จะเป็นยุคแห่งความเจริญสักเพียงใดก็ตาม
ผลบาปของสัตว์ทั้งหลาย
อันหนาแน่นด้วยอกุศลมูลทั้ง 3
ก็ยังอาจบันดาลให้โลกนี้เกิดกัปป์ทั้ง 3 ได้อีก

กัปป์หรือ ยุคทั้ง 3 เป็นไฉน ? เกิดจากอะไร ?

1.โมหมูล เป็นเหตุให้บังเกิด โรคันตรกัปป์
คือ เกิดโรคระบาดร้ายแรง
มีกำหนด 7 เดือน จึงระงับ

2. โทสมูล เป็นเหตุให้บังเกิด สัตถันตรกัปป์
คือ เกิดสงครามร้ายแรง
มีกำหนด 7 วัน จึงระงับ

3. โลภมูล เป็นเหตุให้บังเกิดทุพภิกขันตรกัปป์
คือ เกิดฉาตกภัย อดอยากอาหารตาย
อย่างร้ายแรง มีกำหนด 7 เดือน จึงระงับ

ในมหากัปป์นี้ มี 64 อันตรกัปป์
จากกัปป์ที่ 1 ถึง 7 ถูกทำลายด้วยไฟ
พอกัปป์ที่ 8 จะถูกทำลายด้วยน้ำ
แล้วนับตั้งต้นใหม่เวียนอยู่อย่างนี้รอบละ 8 กัป

จนถึงกัปป์ที่ 64 นับได้ว่า
โลกพินาศด้วยไฟ 56 ครั้ง
น้ำ 7 ครั้ง ลม 1 ครั้ง รวมเป็น 64 ครั้ง


ปัจจุบันนี้โลกอยู่ในกัปป์ที่ 64 คือ
สัตว์โลกจะถูกทำลายด้วยลม คือ ลมมาทุกทิศทุกทาง
นับเป็นมหันตภัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาภัยทั้ง 3 ที่ทำลายสัตว์โลก

เมื่อถึงคราวโลกพินาศ ในจำนาวภูมิ ทั้ง 31 ภูมิ มีภูมิที่พ้นจากถูกทำลาย
คือ ในรูปพรหมภูมิตั้งแต่ชั้นที่ 10 เวหัปผลาภูมิ จนถึงชั้นที่ 16 อกนิฏฐาภูมิ
(เมื่อโลกถูกทำลายด้วยไฟ จะพินาศตั้งแต่อบายภูมิ จนถึงปฐมฌานภูมิ 3
เมื่อถูกทำลายด้วยน้ำ จะพินาศตั้งแต่อบายภูมิจนถึงทุติยฌานภูมิ 3
เมื่อถูกทำลายด้วยลม จะพินาศจนถึงตติยฌานภูมิ 3 )
ส่วนพรหมชั้นสูงกว่า ตติยฌานภูมิขึ้นไป แม้มิถูกทำลาย แต่ก็มีเวลาจุติตามอายุขัย


ก่อนที่โลกจะถูกทำลายแต่ละครั้ง จะมีเทวดาชื่อ โลกพยุหเทวดา
ล่วงรู้ถึงภัยพิบัตินั้น เทวดาเหล่านี้ เศร้าโศกเสียใจ สลดสังเวช
จึงพากันสัญจรลงมายังโลกมนุษย์ ประกาศป่าวร้องไปทั่วถึงภัยอันตรายนั้นๆ
เริ่มบอกตั้งแต่ก่อนโลกพินาศ เป็นเวลา 100,000 ปี
และจะลงมากล่าวเตือนดังนี้ ทุกระยะ 100 ปี


เมื่อมนุษย์และเทวดาทั้งหลายได้รับทราบข่าวนี้แล้ว ย่อมเกิดความสังเวช สลดใจ
รักใคร่ปรองดอง ชักชวนกัน ประกอบกุศลกรรมต่างๆ โดยเฉพาะ
เจริญพรหมวิหารธรรม เมื่อตายแล้ว พากันไปบังเกิดในเทวโลก พรหมโลก
ที่บังเกิดในสวรรค์ ชั้นกามาพจร หรือ พรหมโลกชั้นต่ำ ก็ขวนขวาย เจริญฌานจนตาย
แล้วไปบังเกิดในภูมิชั้นสูงๆ อันพ้นจากความพินาศของโลกต่อไป

ส่วนสัตว์ในอบายภูมิ ทั้งที่มีอกุศลกรรม เบาบางหรือหนักก็ตาม
จะมีญานชนิดหนึ่ง ชื่อชาติสรญาน คือระลึกชาติได้ว่า
ที่ตนต้องเสวยความทุกข์ทรมานต่างๆเหล่านั้น ด้วยเหตุจากการประกอบอกุศลกรรม
จึงรู้สำนึกตน อำนาจของกุศลที่เคยประกอบไว้ในชาติก่อนๆ
จะส่งผลให้พ้นจากอบายภูมินั้นๆ ได้เกิดเป็นมนุษย์บ้าง เทวดาบ้าง
จึงทันได้รับทราบข่าวจากการป่าวประกาศของโลกพยุหเทวดา
และพากันเจริญฌานต่อๆไป จนไปบังเกิดในพรหมโลกจนหมด

ก่อนถูกทำลายด้วยสิ่งใดๆก็ตาม เสียงเอิกเกริก เซ็งแซ่โกลาหล
จะบังเกิดขึ้นในโลก 5 ประการ ที่ทำให้มนุษย์และเทวดาทราบข่าวล่วงหน้า

และพากันเจริญกุศลธรรมต่างๆ เพื่อหนีความพินาศของโลก เสียงประกาศเหล่านั้นคือ

1. กัปปะโกลาหล
เสียงประกาศให้ทราบว่า ต่อจากนี้อีก 100,000 ปี
โลกจะถึงความพินาศ

2. พุทธะโกลาหล
เสียงประกาศเกริกก้องว่า ต่อจากนี้อีก 1,000 ปี
จะมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลกมนุษย์

3. จักกวัตติโกลาหล
เสียงประกาศว่า นับแต่นี้อีก 100 ปี
จะมีพระเจ้าจักรพรรดิบังเกิดขึ้นในโลก

4. มังคละโกลาหล
เสียงประกาศว่า ภายในเวลาอีก 12 ปี
พระพุทธเจ้า จะทรงแสดงธรรมที่เป็นมงคล 38 ประการ

5. โมเนยยะโกลาหล
เสียงประกาศว่าภายในระยะเวลาอีก 7 ปี
จะมีผู้ปฏิบัติโมเนยยะ (ปราชญ์) มาบังเกิดในโลก



-----------------------------------------

« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 16, 2009, 05:02:59 PM »




ความแตกต่างของพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ในภัทรกัปนี้

1. พระกกุสันธพุทธเจ้า
หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า
เมื่อสมัย เป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 8 อสังไขยแสนกัป
ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 37,024 พระองค์
เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย 40,000 พรรษา
พระสรีระสูง 40 ศอก หรือ 20 เมตร
บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 10 เดือน
พุทธรังสีสร้านไปไกล 10 โยชน์ (160 กิโลเมตร)


2. พระโกนาคมพุทธเจ้า
หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า
เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 8 อสงไขยแสนกัป
ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 37,024 พระองค์
เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย 30,000 พรรษา
พระสรีระสูง 30 ศอก หรือ 15 เมตร
บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 1 เดือน
พุทธรังสีสร้านไปไกล ตามแต่พระประสงค์


3. พระกัสสปพุทธเจ้า
หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า
เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 8 อสงไขยแสนกัป
ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 37,024 พระองค์
เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย 20,000 พรรษา
พระสรีระสูง 20 ศอก หรือ 10 เมตร
บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 7 วัน
พุทธรังสีสร้านไปไกล ตามแต่พระประสงค์


4. พระศากยมุนีโคดมพุทธเจ้า
(องค์ปัจจุบันผ่านมา 2500 ปีแล้วเหลืออีก 2500 ปี)

หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า
เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 4 องไขยแสนกัป
ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีก 24 พระองค์ ซึ่งน้อยมาก
เป็นปัญญาพุทธเจ้า อายุไขย 80 พรรษา
พระสรีระสูง 4 ศอก หรือ 2 เมตร
บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 6 ปี
พุทธรังสีสร้านไปข้างละ 1 วา เป็นปกติ

5. พระอริยเมตตรัยพุทธเจ้า
หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า
เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 16 อสงไขยแสนกัป
ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 477,029 พระองค์
เป็นวิริยะพุทธเจ้า อายุไขย 80,000 พรรษา
พระสรีระสูง 80 ศอก หรือ 40 เมตร
บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 7 วัน
พุทธรังสีสร้านไปไกล ยังกำหนดไม่ได้



แสดงว่า มนุษย์ชาติหลายเผ่าพันธุ์ ล้วนเป็นเพื่อน พี่น้องร่วมโลกกัน
ด้วยความแตกต่างทางเชื้อชาติ และสายพันธุ์
แต่ความเชื่อก็ยังคล้ายคลึงกันเสมอมา

เมื่อโลกาวินาศ ทุกสิ่งทุกอย่างกวาดล้างไปกับน้ำ ไฟ
เหลือเศษซาก กองกระดูก ให้ลูกหลานสืบค้นหาต่อไป

ช่วงหลัง ๆ มักจะมีแนวภาพยนตร์ในเรื่องดังกล่าวเยอะมาก
อาจเป็นเพราะโลกเจอมหันตภัยร้ายแรงหลายครั้ง
อย่างสึนามิ เมื่อก่อนไม่คิดว่าจะมีในประเทศไทย

เห็นแต่ในภาพยนตร์ ก็สนุกไปกับมันได้ตื่นเต้น
ในลุ้นระทึกว่า ใครจะรอดหรือไม่รอด
ก็จะมีทั้งคนที่แสดงความเห็นแก่ตัว และคนที่เป็นมนุษยชน
ประเทศทางตะวันตก เขาเจอพายุ เจอภัยธรรมชาติ
ที่ร้ายแรงมากว่าประเทศไทย เขาเลยมีการรณรงค์
ให้รู้จักรักสิ่งแวดล้อม อย่างน้อยก็ได้ช่วยยืดอายุของโลก
ไว้ให้ลูกหลานอยู่กันอย่างไม่ลำบาก
ไม่แน่ ชาติหน้าเราอาจเกิดมาอีก อาจจะต้องอยู่กันลำบากมากขึ้น
(อยากจะเกิดอีกหรือนี่ ว่าจะขอบรรลุโสดาบันในชาตินี้แล้วหนา อิอิ :P)
พูดง่าย ๆ ว่ามนุษย์เราสร้างอะไรไว้ ตัวเราเองนั่นแหล่ะ
ที่จะได้รับผลอันนั้น ...เฮ้อ! ว่าแล้วก็ไปดูเรื่องอื่นต่อดีกว่า


คิดแล้วเขียน :)V

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น