วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ฤกษ์ยาม - ประเพณีโบราณ


ใกล้เทศกาลวันตรุษจีน กับเทศกาลวันแห่งความรัก
เทศกาลฝรั่งปนจีน ^_^
ปีนี้สีแดงเลยแรงจัด!!

คนจีนเลยลดความแรงลง
ขอเปลี่ยนเป็นสีชมพู เพื่ออวยพรในหลวงด้วย
เพราะเป็นปีเสือดุ หากใส่สีแดง
คงดูว่ามันจะร้อน จนเดือดอะไรทำนองนั้นมากกว่า
ประมาณว่า เปลวไฟ แห่งความรุ่งโรจน์
หากนำมาใช้ไม่ถูกกาลเทศะ ก็คงเป็นผลเสียได้เหมือนกัน
ก็คงเหมือนกับไฟ ที่ให้แสงสว่าง
แต่หากไฟนั้นลุกโชน
มันก็คงสามารถเผาตนเองให้ร้อน
และผู้อื่นได้เช่นกัน แทนที่จะดีกลับเป็นเสีย ...

ตำราโบราณ ความเชื่อคนโบราณ
บางอย่างที่เขาถ่ายทอดกันมาเป็นรุ่น ๆ
มันก็คงจะดี หากนำมาปรับใช้ให้เข้ากับชีวิตประจำวัน

เมื่อก่อน พ่อไม่เคยเชื่อ เรื่องยามอุบากอง
(ดูจากชื่อ สงสัยจะของพม่า)
เรื่องพวกนี้เลยนะ แต่จำมาจากย่า
ที่เชื่อฤกษ์การเดินทาง เพราะชอบเดินทางไปขอหวย
จากวัดต่าง ๆ และคงได้ฤกษ์นี้มาจากพระ

หลัง ๆ พ่อลองปฏิบัติดู ด้วยตนเอง
จากที่พ่อสังเกต และพบอุบัติเหตุร้ายแรง
ตายหมู่กันก็มาก คงด้วยเหตุนี้หรือเปล่า

ยามนี้ ได้ยินมาว่า คนสมัยก่อนออกศึก สงคราม
เขาก็ดูฤกษ์ดูยามนี้ อย่างน้อยสิ่งที่ไม่ดี
จะได้ลดความแรงลง

ข้าพเจ้ายังงงเลยว่า พ่อเชื่อได้งัย!
ปกติไม่เห็นจะเชื่อเรื่องเหล่านี้เลย
แต่พ่อบอกว่า เชื่อจากการสังเกต และลองปฏิบัติดู
และย่าเป็นคนชอบเดินทาง (ขอหวยตามวัดต่าง ๆ 555 )
ปฏิบัติพอเชื่อถือได้

-------------------------------------------
ไปค้นประวัติมาให้

ความเป็นมาของยามอุบากอง คำว่า "อุบากอง"
เป็นชื่อนายทหารเอกของพม่า
ซึ่งเข้ามาตีไทยในสมัยต้นรัชกาล กรุงรัตน โกสินทร์นี้เอง
มีประวัติที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ดังนี้
อุบากอง
เป็นนายทหารยศขุนพล
ได้คุมกำลังเข้าโจมตี เมืองเชียงใหม่ เมื่อแรง ๑ ค่ำ
เดือน ๕ ปีมะเมีย พ.ศ.๒๓๔๐ คราวที่พระเจ้าปะดุง
ยก ๙ ทัพมาตีไทยนั่นเอง แต่ด้วยเหตุผลกลใดไม่ปรากฏ
อุบากองถูกฝ่ายไทยจับกุมตัวได้ คราวนั้นพ่อเมืองเชียงใหม่
ได้คุมตัวอุบากองส่งลงมายังกรุงเทพฯ เมื่อขึ้น ๘ ค่ำ
เดือน ๖ ปีมะเมีย พ.ศ.๒๓๔๐ สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
รัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตน โกสินทร์ จึงสั่งให้สอบสวนอุบากองทันที
ปรากฏว่า อุบากองเป็นคนไทย เกิดในเมืองไทย
เพราะมีพ่อ เป็นเชื้อสายพม่า
แต่แม่เป็นเชื้อสายคนไทยแถบเมืองธนบุรี
พระองค์จึงทรงพระเมตตา พระราชทาน เสื้อผ้า
และให้นำไปจำขังไว้ที่คุกวัดโพธาราม
(วัดพระเชตุพนฯ ในปัจจุบัน)
ระหว่างที่อุบากองกับพวกถูกจองจำ คุมขังที่คุกวัดโพธิ์
เขาได้สอนตำรายันต์ยามยาตรา ให้กับ พรรคพวก
ซึ่งยามนี้ สามารถแหกคุกที่คุมขังได้
เมื่อพรรคพวกสามารถเรียนยามยาตราได้ ตามที่ตนบอกแล้ว
อุบากองก็ทำพิธีตามหลักโหราศาสตร์
พอได้ฤกษ์งามยามดี จึงสามารถพากัน แหกคุกวัดโพธิ์
หลบหนีไปได้อย่างปลอดภัย โดยอุบากองกับพรรคพวก
พากันหลบหนีไปยังเมือง พม่าได้


แต่ยามที่อุบากองบอกกับพรรคพวกนี้นั้น
บังเอิญมีนักโทษพม่า ที่เป็นเชื้อสายไทยบางคน
ไม่ได้หลบหนีไปด้วย จึงบอกเล่ากับผู้คุมนักโทษ
จึงมีการนำมาเล่าเรียนกัน และให้ชื่อยามยาตรานี้ว่า
"ยามอุบากอง" ตามชื่อเจ้าของยามยาตรานั่นเอง


อนึ่ง ยามดังกล่าว ปรากฏว่า มีผู้นับถือว่า แม่นยำ
ได้ผลจริงๆ ด้วย จึงศึกษาเล่าเรียนสืบๆ กัน มาตราบเท่าทุกวันนี้


--------------------------------------------------------

ข้าพเจ้า ก็คุยกับพ่อเล่น ๆ ว่า
แต่ถ้าตารางเที่ยวบิน เกิดออกเดินทาง ตรงกับเวลาที่ไม่ดีล่ะ
พ่อก็บอกว่า อันนี้ก็เสี่ยงดวงเอาเองก็แล้วกัน ว่าดวงจะแข็งไหม?
อู้ฮู้ .....ใครจะเสี่ยงอ่ะ?

ประเพณีโบราณ บางอย่างโบร่ำโบราณสอนเอาไว้
มันก็ต้องมีเหตุ ที่เขาห้ามไว้แบบนั้น
ถ้าศึกษาให้ดี คนสมัยก่อนมักจะสอนและถ่ายทอด
ในสิ่งดี ๆ ไว้ให้ลูกหลานเสมอ

อย่างเช่น ตอนนี้ใกล้วันวาเลนไทม์
เห็นชายหญิงบางคู่ กระดี๋กระด๋า ออกหน้าออกตา
ก็เห็นใจคนมีความรักอ่ะนะ เป็นธรรมดาที่จะตื่นเต้น
คอยรับของขวัญจากแฟน หรือกิ๊ก

เห็นเด็กวัยรุ่นผู้หญิง โพสข้อความว่าจะให้ของขวัญ
วันแห่งความรักกับผู้ชายอะไรดี ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้เป็นแฟน
สมัยนี้ก็รู้อยู่ ว่าวัยรุ่นใจเร็ว ...ท้องก็เร็ว ...และแท้งก็เร็วเช่นกัน!
ข้าพเจ้าเข้าไปโพสแนะนำว่าไม่ดี (สงสัยอีนี่เป็นอีแก่แล้วมั้ง 555)
....เอาเถอะ...เรื่องของใครของมัน ....
ก็คนที่ไม่ได้แต่งงาน (ผู้ใหญ่บ้านข้าพเจ้าสอนมา)
ว่า ผู้หญิงอย่าแสดงออกว่ารักหรือชอบผู้ชายก่อน
มันไม่ดี เพราะผู้ชายมันจะเอาเล่น ๆ
แต่ถ้าผู้หญิงอยากจะสนุกชั่วคราว ก็คงไม่มีใครว่าอ่ะนะ

สังคมสมัยนี้ ก็เลยไปนิยมตามฝรั่งกันหมด
ประเพณีโบราณเลยหลงลืมกันไปแล้ว ....
เห็นอะไร ทำอะไร ก็เป็นเล่นไปหมด
ชีวิตมันก็เลย เป็นของเล่น ๆ ไม่ใช่ของจริงสักที!
ใช่ไหม?!

Happy Valentine's Day
& เฮง ๆ ^___^

คิดแล้วเขียน :)V
-------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น