ช่วงเย็นข้าพเจ้ารับประทานอาหารกับพี่สาว
พอดีเปิดสารคดีเรื่องเกี่ยวกับสิงโตทะเลอยู่
ก็คุยสัพเพเหระเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตบนโลก
พอดีนึกขึ้นได้ว่า ได้อ่านหนังสือเล่มนึง
เรื่องไดโนเสาร์ขึ้นมา เป็นหนังสือของ
หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก เล่มนึง
บอกว่าสาเหตุที่ไดโนเสาร์สูญพันธุ์
ไม่ใช่ลูกอุกาบาตจากนอกโลกตกใส่
แต่เกิดจากโรคระบาด ...(พระบอก)
ข้าพเจ้าก็ลองอนุมานว่า ถ้าลูกอุกกาบาตตกใส่
สิ่งมีชีวิตทุกชีวิตต้องตายเรียบหมด
แต่นี่ยังเหลือสัตว์บางชนิดมาถึงปัจจุบันได้
เช่น ช้าง เต่า จระเข้ (พวกสัตว์โบราณ)
เพียงแต่ตัวเล็กลงกว่าเดิมเท่านั้น
และยังพอมีซากไดโนเสาร์เหลือให้เราศึกษา
ถ้าเป็นลูกไฟ มันต้องเผาผลาญราบเป็นหน้ากลองซินะ
(ลองคิดถึงเหตุผลเล่น ๆ ) ....ก็พอจะเข้าเค้าตามที่พระบอก...
ข้าพเจ้าก็ลองยกข้อมาเหตุผลมาคุยกับพี่สาว
พระที่นั่งกรรมฐานนี่ เขาบอกว่าเห็นแบบนั้นนะ
แล้วก็บอกว่า ภูเขาที่ท่านปฏิบัติธรรมอยู่
แต่ก่อนเป็นทะเล ตอนหลังพื้นดินดันตัวสูงขึ้น
จากทะเลก็กลายเป็นดิน
พี่สาวเห็นด้วยว่า แผ่นดินที่เป็นภูเขา
เกิดจากเปลือกโลกเคลื่อนตัวดันแผ่นดินขึ้นมา
ซึ่งเทือกเขาหิมาลัย
ก็เกิดจากอินเดียชนกับทวีปเอเชีย
จึงดันเป็นเทือกเขาหิมาลัยนี่เอง
ตอนนี้พี่สาวกำลังจะสอนเด็กเรื่อง
ให้แปลเกี่ยวกับแผ่นดินไหวด้วย
ซึ่งประเทศญี่ปุ่น เป็นแนวตะเข็บของโลก
อยู่รอยต่อระหว่าง 3 ทวีป
เวลามีการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก
ญี่ปุ่นมักจะโดนก่อน เพราะมีจุดศูนย์กลางที่โตเกียว
(อันนี้ฟังพี่สาวเล่ามาอีกที เห็นแกบอกว่า
วันหลังเอารายละเอียดให้ดู)
ก็พูดกันถึงเรื่องใต้โลก แผ่นดินไหว
พี่สาวก็บอกว่า ใต้โลกนะเป็นของเหลวทั้งนั้น
เวลาเปลือกโลกเคลื่อนตัว ของเหลวก็มักจะดันออกมา
ตามแนวตะเข็บ ซึ่งบางแห่งก็เกิดเป็นภูเขาไฟขึ้นมา
เช่น ภูเขาฟูจิ ....เปลือกโลกมีความหนานิดเดียว
ประมาณ 60 กิโลเมตรเอง ....
หลักวิทยาศาสตร์เหล่านี้
เรา ๆ ก็เคยเรียนผ่านมาแล้วทั้งนั้น
เรื่องเปลือกโลก ของเหลว
ใต้โลกที่เรียกว่า แมกม่า
แต่พอไหลออกมาจากแผ่นดิน เรียกว่า ลาวา
อะไรประมาณนี้ ....
ข้าพเจ้าก็เข้าเรื่องได้อีก
ก็บอกว่า ศาสดาพระพุทธเจ้าเรานี่เก่งนะ
ไม่ต้องวิจัยอะไร แค่นั่งกรรมฐานอย่างเดียว ^_^
สามารถล่วงรู้สรรพสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ได้หมด
ใต้โลกที่เรียกว่า ไฟนรกโลกันต์ ก็คงเป็นพวกแมกม่า
ที่ไหลวนอยู่ภายในโลก และโลกก็หมุนเป็นวงกลม
เหมือนวงล้อเกวียน ทุกอย่างมีขึ้น มีลง มีเกิด มีดับ
๒๕๐๐ ปี ก่อนวิทยาศาสตร์จะค้นพบ
ท่านทราบหมดทุกอย่างแล้ว ....น่าทึ่งเน๊าะ!!
นักวิทยาศาสตร์หลายคนต่างก็ทึ่งในอัจฉริยะภาพ
ศาสดาของเรา และพยายามหาทางพิสูจน์
สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน สมัยนี้ชาติตะวันตก
หันมาสนใจการนั่งวิปัสสนากรรมฐานกันมากขึ้น
มีพระต่างชาติ ก็สนใจในธรรมะมากขึ้น
คนไทยเราเองกลับไปสนใจสิ่งแปลกประหลาด
กับพวกสัตว์ 2 หัว 6 ขา 4 ตา แล้วตีเป็นหวยกัน
แต่ไม่ค่อยสนใจที่มา หรือที่ไป
พูดง่าย ๆ ว่า ได้รับอะไรมา แล้วไม่ค่อยคิดต่อ
หรือตั้งข้อสงสัยน่ะ ... ถ้าทุกคนหัดตั้งข้อสังเกต
หรือตั้งข้อสงสัยกับสิ่งที่เห็น
คงมีนักวิทยาศาสตร์ในประเทศไทยอีกเยอะ
ส่วนมากคนไทย
ตั้งข้อสงสัยในเรื่องที่ไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าใดนัก
อิอิ ...สมัยนี้ต้องเปลี่ยนหลักสูตรให้เด็กคิดให้เป็น
มากกว่า สอนป้อนข้อมูลให้เด็กจำอย่างเดียว
เพราะคงไม่เกิดประโยชน์เท่าใดนัก
เพราะความจำมักจะอยู่ได้ไม่นาน ....
วันนี้ได้ธรรมะจากโต๊ะกินข้าว
เลยนำมาบอกต่อ เขียน blog นี่แหล่ะ
หม่ำเจให้อร่อย ก็ต้องมีธรรมะกลับแกล้มด้วย อิอิ ^_^
โดย คิดแล้วเขียน :)V
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น