วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ความโกรธ



























เมื่อเช้าวันเสาร์เดินทางไปโคราชกับพี่สาว
ไปดูสถานที่สอนนั่งวิปัสสนากรรมฐาน
ที่พี่สาวเคยไปปฏิบัติธรรมมา

ข้าพเจ้ายอมไปเพราะอยากรู้เหมือนกันว่า
เขาทำอะไรยังงัยเกี่ยวกับการเข้าไปปฏิบัติธรรม ...เพราะไม่เคยไปที่สำนักไหนเลย
ไปครั้งนี้ ไปเช้าเย็นกลับ...
พอดีพี่สาวไปทำธุระ เลยพาข้าพเจ้าไปฝากกับอาจารย์ที่เคยสอนพี่สาวด้วย...

ตอนเข้าไปช่วงแรก ๆ ก็เห็นพวกคนที่มาปฏิบัติธรรมนั่งจับกันเป็นกลุ่ม พี่สาวบอกว่าวันนี้ปฏิบัติเป็นวันที่ 3 มีการสอบอารมณ์กัน พูดง่าย ๆ ว่า แต่ละคนนั่งแล้วเห็นอะไรบ้าง ถ้ามีอาการแบบนี้ จะแก้อย่างไร...

ที่บ้านปฏิบัติธรรมเงียบครึ้มเต็มไปด้วยต้นไม้ ข้าพเจ้ารู้สึกแปลก ๆ อย่างแรกคือ
กลัวเป็นแบบวัดพระธรรมกาย กลัวว่าเข้าไปแล้วเป็นลัทธิใด ลัทธิหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่สำนักชี หรือสำนักสงฆ์ สอนด้วยผู้ปฏิบัติธรรม มีพี่เลี้ยงนำอาหารมาต้อนรับ ...ข้าพเจ้าบอกตรง ๆ ว่าไม่กล้าหยิบกินด้วย ....
แปลก ๆ ยังไงก็ไม่รู้ นั่งรออาจารย์สอบอารมณ์ของผู้ปฏิบัติให้เสร็จก่อน

ข้าพเจ้าบอกกับพี่สาวว่า หากข้าพเจ้ามาปฏิบัติจริง
คงได้นั่งหลับเป็นแน่ เพราะรู้สึกง่วงตลอดเวลาเลย ขนาดนั่งเฉย ๆ นะ รู้สึกมึน ๆ
อีกอย่างพี่เลี้ยงที่นำขนมมาให้ ดูนัยต์ตาเขาแปลก ๆ เหมือนเป็นต้อ ...ตาขุ่น ๆ ไม่ใส
...เหมือนคนง่วงนอนก็ไม่เชิง ....ในใจข้าพเจ้าก็คิดว่า คนที่มาปฏิบัติแบบนี้
ต้องเป็นคนที่มีทุกข์เพื่อหาเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ....ถ้าเจอผู้ที่เป็นกัลยาณมิตร
สอนให้ไม่หวังสิ่งใด ๆ ก็คงจะดี .... แม่กับพี่สาวไปวันแรก ๆ มีอาการท้องเสียบ้าง
อยากจะอาเจียนบ้าง แล้วแต่ว่าจะมีอาการอย่างไร (สงสัยอาหารที่รับประทานด้วย)

มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าพเจ้าเชื่อว่า ความรู้สึกครั้งแรก มักจะถูกต้องเสมอ!
การที่ข้าพเจ้าไม่หยิบขนมรับประทาน เพราะเกรงว่าจะใส่ยาสั่งไว้
ตอนหลังเลยลองหยิบมาชิ้นหนึ่ง ปรากฎว่า พอกัดขนมคำแรก
ชิ้นนั้นมีเส้นผมยาวของผู้หญิงออกมา ซึ่งตอนแรกที่หยิบไม่เห็นมีอะไร
ข้าพเจ้ารีบคายทิ้งทันที ....และไม่กินต่อ....
พี่สาวเห็นก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะไม่ได้กิน

ข้าพเจ้าไม่อยากจะลบหลู่สถานที่ เลยไม่กล้าถ่ายภาพมาให้ชม
เพียงแต่ยังไม่แน่ใจอะไรหลาย ๆ อย่างสถานที่แห่งนี้
และข้าพเจ้าคิดว่า อาจจะยังไม่ถึงเวลาที่ข้าพเจ้าจะไปนั่งวิปัสสนา
แล้วปล่อยให้งานกองเต็มโต๊ะ ....

ทำอะไร ต้องทำด้วยใจ หากไม่ทำด้วยใจแล้ว
ย่อมประสบความสำเร็จยาก
แต่ข้าพเจ้าก็นับถือในความสามารถของอาจารย์ที่พี่สาว
(ฝากข้าพเจ้าไว้)
ที่รู้สาเหตุว่า ทำไมข้าพเจ้าถึงไม่ประสบผลสำเร็จในการสอบ
ที่มหาวิทยาลัยเก่า

เขาบอกว่า ให้ข้าพเจ้าลบโปรแกรม
ไม่ดีในจิตใจทิ้งให้หมด
เป็นเพราะข้าพเจ้าไม่ศรัทธาในอาจารย์ผู้สอน
พูดง่าย ๆ ว่าเคืองกับระบบการสอนแบบนี้มาก ....
ซึ่งอาจจะส่งผลให้ข้าพเจ้าไม่ประสบผลสำเร็จ
ดังที่แม่ หรือใคร ๆ อยากให้เป็น ....

ก็อยากจะเตือนน้อง ๆ นักศึกษาที่กำลังศึกษาอะไรก็ตาม
หากใจเราไม่รักในสิ่งนั้น ไม่อยากทำในสิ่งนั้น
ย่อมประสบผลสำเร็จในสิ่งนั้นได้ยาก ....
ก็คงจะจริงอย่างที่อาจารย์ของพี่สาวบอก

หากเราไม่ศรัทธา ไม่อยากนับถือ
แต่เราต้องไปคลุกคลี
เอาวิชาความรู้จากสถานที่ หรือคนผู้นั้น
ก็คงจะเป็นไปด้วยดี นั้นยากตามหลัก เหตุและผล....

ยิ่งความโกรธ ความแค้น ความชิงชัง
หากมันฝังแน่น มันเป็นเรื่องลำบากเหมือนกันนะ
ที่เราจะต้องยอมรับว่า
เราต้องให้อภัยตนเองให้ได้
และขออโหสิกรรมกับสิ่งที่เราได้ทำพลาดลงไป

ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา
หลักธรรมของพระพุทธเจ้านั้น
ใช้กับเราได้เกือบทุกเรื่อง
โปรแกรมใจ เบื้องต้น ป้อนให้ถูก นั้นสำคัญมาก
เพราะมันจะเป็นแรงส่งให้เราประสบความสำเร็จได้

แต่ตอนนี้ข้าพเจ้าชักไม่มั่นใจ หรือเชื่อใจ
ในสถานที่ปฏิบัติธรรมแห่งนี้
แล้วแบบนี้ ข้าพเจ้าจะได้วิชาความรู้ที่ดี
ติดตัวมาด้วยหรอกหรือ?


โดย คิดแล้วเขียน V:)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น