วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

การเปล่งวาจาที่ควรกล่าว

จากการที่ข้าพเจ้าฟังธรรมของแม่ชีทศพร
ที่ผ่านมาก็หลายตอนอยู่ กล่าวถึงกรรมของแต่ละคนที่มาหาแม่ชี
เพื่อแก้กรรม จริง ๆ แล้วพระพุทธเจ้าไม่เน้นสอนให้แก้กรรม
เน้นให้ละความชั่ว เพื่อทำความดีให้ถึงพร้อม
หากความดีพร้อมแล้ว วิบากกรรมเก่าไม่ตัดรอน
ผลแห่งความดีนั้น ก็จะปรากฎออกมาเอง

ที่แม่ชีช่วยเหลือบุคคลที่มีความทุกข์เหล่านั้น
โดยชี้ให้เห็นกรรมของแต่ละคน
ว่าทำอย่างไรมา ถึงได้มีผลเป็นแบบนั้น

ชี้ให้รู้ถึงเหตุที่เกิดทุกข์ ...ซึ่งจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริงนั้น
เราไม่สามารถทราบด้วยตนเอง เพียงแต่ผู้ทรงศีลเป็นผู้กล่าว
โดยดูจากเหตุปัจจุบันสามารถมองย้อนไปในอดีตได้

แสดงว่าจิตของคนเรา เป็นตัวสะสม Memory ทุกเรื่องราว
ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว ....บางครั้งเศษกรรมของอดีต
สามารถส่งผลให้เราเป็นไปในปัจจุบัน
ซึ่งการแก้กรรมของแม่ชีนั้น ส่วนมากจะให้เจ้าตัวที่มีความทุกข์
กล่าวหรือเปล่งวาจาออกมา ขออโหสิกรรม บางครั้งก็ให้สมมติ
เล่นเป็นเจ้ากรรมนายเวรคนนั้น ๆ ในชาติก่อน
ซึ่งการเปล่งวาจาแบบนี้ เป็นตัวปลดปล่อยจิตตัวเดิมนั่นเอง
ไม่เช่นนั้น เราคงจะต้องวนเวียนในเรื่องเดิม ๆ

จริง ๆ แล้วเจ้ากรรมนายเวร ข้าพเจ้าเชื่อว่า
คือ สิ่งที่เราสั่งสมทุกอย่างไว้ในจิต
หากเป็นกรรมไม่ดี ก็ทำให้เราทุกข์
กรรมดีก็ทำให้เราสุข และเป็นตัวกำหนดโชคชะตาของเราได้
ก็คือ ตัวจิต ของเรานั้นเอง

คิดดี พูดดี ทำดี ล้วนแต่ส่งผลต่อชะตากรรมของเราทั้งสิ้น

การเปล่งวาจา หรือการอธิษฐานวาจาออกมาขออโหสิกรรม
นั้นเป็นสิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้เราหลุดพ้นจากทุกข์ที่เราประสบอยู่
ที่มักจะวนเวียนกลับมาหาเราเสมอ เสมือนเป็นกงกรรมกงเกวียน
บางคนล้มเหลวชีวิตครอบครัว ก็มักจะประสบปัญหาแบบนั้นตลอด

ข้าพเจ้าก็สันนิษฐาน ว่าคนที่เคยคิดฆ่าตัวตายครั้งนึงได้
ชาติต่อไปก็จะมีเหตุที่ทำให้เขาคิดฆ่าตัวตายแบบนั้นอีก
จนกว่าจะหลุดถอนออกจากวงเวียนของจิตแบบนั้น
และการปฏิบัติกรรมฐานวิปัสสนา ก็เป็นสิ่งที่แก้กรรมได้ดีที่สุด
เหมือนเป็นเครื่องล้าง memory ขยะในใจที่สะสมมาหลายภพหลายชาติ

และจากการที่ข้าพเจ้าอ่าน และฟังธรรมะ อย่างองคุลิมาล
สามารถบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ได้ โดยกรรมจากการที่ฆ่าคนเป็นร้อย ๆ
ก็ไม่สามารถตามมาทันได้ ด้วยอานิสงค์ของการปฎิบัติและเจริญกรรมฐานนี่เอง

ข้าพเจ้าเห็นคนที่ปฏิบัติธรรมแล้ว บางคนก็ยังไม่หลุดพ้น
บางคนก็ยังเข้า ๆ ออกวัดอยู่ เหมือนการสอบเป็นขั้น ๆ ไป
แล้วแต่บารมีที่สั่งสมด้วย
ช่วงอายุขัยมนุษย์นั้น สั้นนัก ชาติภพเดียว
คงไม่สามารถหลุดพ้นจากวัฎฎสงสารได้หรอก
เพราะมันมีปัจจัยอื่นเข้ามาแทรกด้วยเสมอ
อาจจะเป็นกรรมดี หรือไม่ดี ....พระพุทธเจ้าจึงสั่งสอนให้เรา
ไม่ประมาทในการใช้ชีวิต ให้รีบสะสมความดี ละความชั่ว
เพื่อจิตของเราได้ผ่องใส

ความโลภ ความโกรธ ความหลง
ที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคนจักไม่คลายหายไปได้ง่าย ๆ
ก็เหมือนกินยาแก้โรคความทุกข์ แต่ก็ยังไม่หายขาดสักที
กินยาธรรมะ เพื่อประคองชีวิตไปชาตินึง ชาตินึง
เกิดมาภพใหม่ ชาติใหม่ ก็เสมือนเริ่มต้นเรียนรู้ นับหนึ่งกันใหม่
หากใครพอมีทุนความดีของเดิม ก็เกิดมาอยู่ในชาติตระกูลดี
ไม่อดอยาก ลำบากมากนัก ...

นอกจากที่จะมีความเพียร ตั้งหน้าปฏิบัติธรรม ตั้งมั่นเอาจริงเอาจัง
เพื่อหลุดพ้นกองทุกข์แห่งนั้นจริง ๆ ติดต่อกันหลายชาติ

อย่างเช่น พระพุทธเจ้าก่อนที่จะตรัสรู้และปรินิพพานได้
ท่านได้สั่งสมบารมี มีความเพียรในการทำความดี
ยาวนานมาถึง 10 ชาติ แน่ะ
แล้วเราล่ะ วันนี้พอจะมีความดีที่เกิดในใจตนเองบ้างหรือยัง?

ถ้ายังก็คงต้องรีบทำแล้วล่ะ เพราะเหลือเวลาอยู่บนโลกมนุษย์อีกไม่นานนัก
20-30 ปี นี่ไม่นานเลยนะ ก็คงเหมือน
หนังสือเตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว ของดังตฤณ
ที่พยายามสอนวัยรุ่น ให้รู้จักธรรมะนั่นเอง ....

คิดแล้วเขียน :)V

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น