วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2553

รักแท้ต้องขอพ่อแม่

อ่านบทความของแม่ชีทศพร
เลยเก็บมาไว้ใน blog ตนเอง
เผื่อใครผ่านมาเจอจะได้มีประโยชน์
สำหรับผู้ที่ตามหารักแท้

เรื่องขนบธรรมเนียมโบราณ
ถือไว้ ก็ดีกับผู้กระทำเอง
การแต่งงานในสมัยนี้
เห็นแล้วว่า การหย่าร้างสูงมาก
ทั้ง ๆ คนสมัยนี้ รักกันเอง
เลือกกันเอง สมัยก่อน
ผู้ใหญ่จัดหาให้ แต่ก็รักกันดี
เรื่องบางเรื่องอ่านเจอก็ไม่คาดคิดเหมือนกัน
เช่น เรื่องสินสอด ที่ฝ่ายเจ้าบ่าว
ควรให้ยกให้ฝ่ายเจ้าสาว ห้ามเอาคืน
มิเช่นนั้น ลูกสาวของตนจะทำอะไรไม่เจริญรุ่งเรือง

อีกอย่างความพร้อมในเรื่องเงิน และหลาย ๆ เรื่อง
ก็เป็นปัจจัยเบื้องต้นในการกำหนดชีวิตคู่จริง ๆ
วันเริ่มต้นของการใช้ชีวิตคู่ หากเริ่มไม่ดีแล้ว
ก็คงมีปัญหาหลายอย่างให้แก้ตลอดชีวิต

สงสัยเรื่องนี้ต้องแอบไปถามพ่อกับแม่ข้าพเจ้าแล้ว อิอิ ^_^

คิดแล้วเขียน :)V
----------------------------------------------------
ศีลข้อที่ ๓ รักแท้ต้องขอจากพ่อแม่

“ห้ามชิงสุกก่อนห่าม”
“รักแท้ต้องอิงผู้ใหญ่”
“เข้าตามตรอก...ออกตามประตู”
ที่กล่าวมานั้นเป็นสุภาษิตสอนหญิงที่สอนให้ผู้หญิงรักนวลสงวนตัว
สอนให้ผู้ชาย รู้จักให้เกียรติสตรีและเห็นคุณค่าของค่าน้ำนมของแม่ฝ่ายผู้หญิง
นอกจากนี้ยังเป็น การป้องกันไม่ให้ผู้หญิงต้องทนทุกข์
จากความรักอันจอมปลอม
เพราะถ้าฝ่ายชายมีความรักแท้จริงแล้ว
จะต้องรวบรวมความกล้าเข้าไปพบกับผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง
เพื่อขออนุญาตในการคบลูกสาวบ้านนี้
ในฐานะคนรักจากผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง

แม่ชีทศพร กล่าวว่าเดี๋ยวนี้พอเด็กๆ โตเป็นวัยรุ่นก็เริ่มมีความรัก
สนอกสนใจเพศตรงข้าม มีแฟนก็อยากจะอยู่ใกล้ชิดซึ่งกันและกัน
บางคนก็ชิงสุกก่อนห่าม มีความสัมพันธ์กันระหว่างที่ยังเรียนหนังสืออยู่
โดยที่พ่อแม่ไม่รู้เรื่อง ซึ่งสุภาษิตโบราณแบบนี้
กลายเป็นคำสอนที่ใช้ไม่ได้แล้ว

หัวอกของผู้เป็นพ่อแม่ย่อมรักและห่วงใยลูกเป็นธรรมดา
กว่าแม่จะเลี้ยงดูลูกสาวให้เติบโตเป็นกุลสตรีที่มีคุณสมบัติของผู้หญิงที่ดี
เพียบพร้อมไปด้วยปัญญา มีมารยาท จิตใจโอบอ้อมอารี อ่อนโยน
รู้จักคิด มีความเข้มแข็ง สามารถเอาตัวรอดและเลี้ยงดู
ตนเองได้ในสังคมยุคนี้ นับเป็นเรื่องที่ยากเอาการ

ดังนั้นบ้านใดมีลูกสาว ผู้เป็นพ่อแม่ ก็ยิ่งห่วงใยมากเป็นพิเศษ
เพราะลูกสาวได้แต่งงานออกเรือนได้สามีที่ดีรักทะนุถนอม
เป็นที่พึ่งพาได้ พ่อแม่ฝ่ายหญิงก็จะสบายใจคลายความทุกข์

สุภาษิตคำว่า “ห้ามชิงสุกก่อนห่าม”
จึงเป็นการบอกว่าหากยังไม่ถึงวัยที่สมควรจะออกเรือน
หรือยังไม่มีวุฒิภาวะในการรับผิดชอบชีวิตเลี้ยงดูครอบครัวได้
ก็ยังไม่สมควรที่จะแต่งงาน

เพราะสังคมไทยแตกต่างไปจากสังคมตะวันตก
ที่แม้ลูก ๆจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
แต่สำหรับในสายตาของพ่อแม่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นห่วงลูกอยู่เสมอ
และลูกก็เปรียบเสมือนคนในปกครองของผู้เป็นพ่อแม่
นั่นหมายถึงลูกสาวแม้จะโตเป็นผู้ใหญ่
แต่ถ้าพ่อแม่ยังอยู่และเป็นห่วงใยอาทรต่อชีวิตความเป็นอยู่ของลูก
ก็แสดงว่า “หญิงสาวคนนี้ก็ยังเป็นลูกของพ่อแม่บ้านนี้”

การชิงสุกก่อนห่ามโดยไม่บอกกล่าวพ่อแม่
นอกจากจะเป็นเรื่องที่ทำร้ายจิตใจของพ่อแม่แล้ว
ในขณะเดียวกันก็เป็นการผิดศีลข้อที่ ๓ ด้วย เพราะเป็นการพรากลูกสาว
หรือมีเพศสัมพันธ์กับลูกสาวในปกครองของคนอื่นโดยไม่ขออนุญาตนั่นเอง

แม่ชีทศพร กล่าวว่า “ไม่ได้ห้ามคน ๒ คนไม่ให้รักกัน
โยมมีความรักน่ะไม่ได้ผิดหรอก

เรียกว่าคน ๒ คนไปรักกันยังไม่ผิดศีลข้อที่ ๓ แต่จะผิดศีลข้อที่ ๓
ก็ต่อเมื่อพ่อแม่ของ
ฝ่ายหญิงไม่พร้อมที่จะยกลูกสาวให้ไปแต่งงาน
ถ้าพ่อแม่ไม่พร้อมให้
แล้วลูกสาวไป
ชิงสุกก่อนห่ามไปแต่งงานถึงเรียกว่าผิดศีลข้อที่ ๓

ความไม่พร้อมของทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชายที่จะแต่งงาน
มันนำมาซึ่งปัญหาหลาย ๆ
เรื่องทั้งทางโลก ทางธรรมและกรรม

สมมติว่าพ่อแม่ฝ่ายหญิงอนุญาตให้แต่งงานเนื่อง
จาก
ความไม่พร้อมในทางการเงิน
ก็เริ่มก่อให้เกิดปัญหาตั้งแต่ก่อนแต่งงานแล้ว


พอจะแต่งงานฝ่ายลูกเขยก็ไม่พร้อม
ก็ต้องไปหายืมเงินมาจากคนอื่นเพื่อจะได้มีเงินจัดงานแต่งงาน
โดยยืมเงินมาเป็นแสนบาทเพื่อมาเป็นเงินสินสอดทองหมั้นให้
แม่ยายจะได้ไม่อายคนอื่น
พอแต่งงานเสร็จฝ่ายลูกเขยก็เอาเงินคืน
จากแม่ฝ่ายหญิงแล้วรับเอาตัวเจ้าสาวไป
ทีนี้ลูกสาวของเราก็ต้องไปเป็นคนของเขาทั้งชีวิต
หรือบางทีแม่ฝ่ายหญิงไม่อยากจะเห็นลูกสาวตนเองไปลำบาก
ก็คืนเงินที่เป็นเงินสินสอดที่ทางฝ่ายลูกเขย
มอบให้ตนเองเอาคืนให้กับลูกสาว

แม่ชีทศพร บอกว่า ผู้เป็นแม่เจ้าสาวห้ามคืนเงินคืนให้กลับลูกเขย
เพราะเงินสินสอด
ก้อนนี้คืนเงินค่าน้ำนมของแม่เจ้าสาว
ที่แม่เจ้าสาวจะต้องเก็บเอาไว้ ถ้าไม่เก็บ ก็ผิดศีล
ข้อ 3
มันจะส่งผลให้ครอบครัวของลูกสาวเราไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต
ไม่มีความ
รุ่งเรือง
ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นเพราะการเอาเงินคืนไปให้ลูกเขย
ก็เหมือนกับทำพิธีกรรมหลอกๆ หลอกผีปู่ย่าตายาย
หลอกว่าจะมาขอลูกสาวแต่งงาน
วันแรกของการแต่งงานก็เริ่มต้นด้วยความหลอกลวง
แล้วชีวิตของคู่สมรสใหม่จะเป็นมงคลได้อย่างไร

เพราะหลอกทุกๆคนที่มาร่วมงานตั้งแต่วันที่เป็นมงคลแล้ว
ถ้าแม่รักลูกสาวก็จะต้องไม่คืนเงินสินสอด
จำเอาไว้ว่าอย่าทำให้เรื่องนี้เป็นเพียงพิธีกรรมหลอก
ถ้าฝ่ายเจ้าบ่าวมีเงิน
เท่าไรก็ขอให้ทำเท่านั้น
เจ้าบ่าวมีเงินเพียง 500 ก็ให้ 500 บาททำอย่างนี้จะดีกว่า

ขอให้มีความซื่อสัตย์กับครอบครัวฝ่ายหญิงและตนเอง
ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งในวันแต่งงาน
ฝ่ายเจ้าสาวจะชอบยืมของมาใช้ในวันแต่งงานเช่น

ยืมรองเท้า ยืมชุดแต่งงาน เครื่องประดับ เป็นต้น
การหยิบยืมมีความหมายว่าไม่มีการหลุด
หนี้
นี่เป็นรายละเอียดปลีกย่อยที่ควรจะรู้

และถ้าคู่สมรสไหนเคยทำอย่างนั้น ก็ให้กลับไปหาพ่อแม่ของเรา
ไปกราบท่านแล้วบอกกับท่านว่าในตอนที่เราได้แต่งงานมีเรือน
หากทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวเคยทำความทุกข์ใจอะไรๆไว้กับพ่อกับแม่มา
เราขออโหสิกรรมจาก
ท่านทั้งสองคน นี่จึงจะไม่ผิดศีลข้อที่ 3

บทความจาก : http://www.thossaporn.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น