วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

บ่นเรื่องคน ....ถ้าอ่านดี ๆ จะมีสาระ



สงสารเพื่อนที่อยู่ระหว่างคู่ปรับ

ไปงานแต่งวันนี้ ก็คิดไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่า
จะต้องเจอพวกเจ้าแม่ของกลุ่มทั้งหลาย
ก็เป็นไปตามคาด ....ทำใจไว้แล้ว
ว่าต้องไปเจอคนบางคน
บางคนเจอหน้าข้าพเจ้า
เหมือนกับเจอตัวอะไร...หน้านี้หงิกใส่
เอ้! ไม่รู้ว่าตรูไปทำความเดือดร้อนให้มันตั้งแต่เมื่อไร
นี่ขนาดห่างออกมา ไม่ไปกินข้าว ไม่สุงสิงด้วย
ยังไม่วาย (นะมึง!) ผัวมันฉันก็ไม่รู้จัก
ก็ไม่ได้ไปแย่ง ไปยุ่งอะไรกะมันสักหน่อย
แต่เจอหน้าตรูทีไร แม่งนี้หยิกใส่
เอ้อ! ก็แปลกดีว่ะ เฮ้ย!
หรือว่าเห็นเพื่อนมันเอาใจเรา
มากกว่าก็ได้มั้ง เลยศูนย์เสียความเป็นเจ้าแม่ไป
อิอิ ^_^

สงสารแต่เพื่อนร่วมทาง
ที่เขาอุตส่าห์หนีพ่อ ช่วยขับรถพาเพื่อนไปงานแต่ง ^_^
มันจะเบื่อบ้างไหมเนี่ยะ!

ทำไมสังคมมันไม่กว้างกว่านี้เน๊อะ ....
ลำบากใจ และก็สงสารเพื่อนมันเหมือนกัน

บางครั้งข้าพเจ้าไม่อยากมีปัญหา
ขอ bye ไม่ขอ Jam และไม่อยากยุ่งด้วย
และอย่ามาโทษว่า เป็นเพราะข้าพเจ้า
เพื่อนมันถึงมาทางนี้ ....

ข้าพเจ้าจะไปกับพี่คนอื่นมากก็ไม่ได้
เพราะข้าพเจ้าค่อนข้างเลือกคบคน
เพราะเกรงเรื่องชู้สาวอย่างมากเหมือนกัน .....
บางคนก็มีเมีย มีพิธีแต่งอย่างดี
แต่เวลาไปงาน แต่ละงาน
ไม่เห็นเอาเมียมันมาออกเลย
ก็แปลกดีนะ
(จินตนาการว่า คนที่แต่งงานแล้วไม่นำคู่ชีวิตมาออกงาน สันนิษฐานไว้ว่ามันคงพิการ ง่อยเปลี้ยเสียขา
เลยต้องเก็บไว้ในบ้าน)
ไม่รู้ว่ามันแต่งงานหาพระแสงอะไร
?!
แถมพูดถึงเมียไม่ได้อีก ...ทำตัวเหมือนไก่แจ้
ป้อตัวเมียไปเรื่อย ๆ ... ไอ้นี่!
อย่ามาใกล้ ๆ ตรู เดี๋ยวเจอลูกถีบ
ถีบไปไกล ๆ .....ถีบสองล้อนะ (ซะเมื่อไร) อิอิ :)P


ไปคราวนี้ ไม่ค่อยได้เก็บภาพเพราะแขกเยอะมาก
อีกอย่างเราเป็นแขก ไม่ได้เป็นเจ้าภาพ
เลยเก็บภาพได้นิดหน่อย พอเป็นพิธี
งานนี้ วิญญาณตากล้องไม่ได้เข้าสิง
แม้แต่เจ้าภาพยังไม่มีรูปเลย เพราะมัวแต่รับแขก
ส่วนตากล้อง ไม่มีใครมีน้ำใจเอ่ยปากถ่ายให้
เอาเป็นว่า ไปงานนี้เพราะเจ้าภาพ แค่นั้นพอ!


Version : เชือดไก่ ให้ลิงดู

คิดแล้วจึงเขียน :))V

วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เสื้อผ้าของคนอวบ ๆ

พรุ่งนี้จะต้องเดินทางไปร่วมงานแต่งงานของลูกสาวเจ้านายเก่า
ข้าพเจ้าไม่ค่อยชอบออกงาน เพราะฉะนั้นเสื้อผ้าจะเอามาใส่อีกครั้ง
ใส่ไม่ได้แล้ว 555 มันอ้วนขึ้นตั้งเยอะ! ...เลยเตรียมตัวฉุกละหุก
เพราะไม่นึกไม่ฝันว่า นางฟ้าจะใจดีส่งราชรถและพลขับมาให้
(นึกว่าจะไม่ได้ไปเสียแล้ว เลยไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย)

บอกตรง ๆ ว่า หาเสื้อผ้าลำบาก บทจะเอาเข้าจริง
ต้องซื้อใหม่ แต่งานนี้อยากไปอยู่แล้ว
เพราะเจ้าภาพน่ารัก เคยไปเที่ยวบ้านเขาที่เชียงราย
พี่เขาน่ารัก แม้จะต่างศาสนากันก็ตาม
ที่สำคัญอยากไปดูพิธีแต่งงานต่างศาสนาด้วย
ไม่ได้แต่ง ไปดูให้เจริญหู เจริญตา ก็ยังดี
ไม่งั้น รุ่นนี้ มีแต่ไปงานศพ ... มีแต่ความทุกข์ของคนอื่น
ที่ต้องไปดู ...ไปงานรื่นเริง เห็นคนอื่นมีความสุข
เราก็พลอยยินดีไปกับเขาด้วย

ว่าแล้ว ซินเดอร์ ต้องรีบนอนแต่หัวค่ำ
ไม่งั้นพรุ่งนี้ลุกไม่ขึ้นเป็นแน่
แล้วจะพยายามเอารูปมาลง web
(ถ้ามีโอกาส)
...

ราตรีสวัสดิ์

คิดแล้วเขียน :)V

วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

อย่าเด็ดดอกไม้ ในดงดำ

ท่อนความนี้ เป็นปริศนาเซียมซีที่ข้าพเจ้าเคยได้
แต่คิดไม่ออก ว่าหมายถึงอะไร?
ดอกไม้ที่อยู่ในป่าลึก! ประมาณนั้นหรือ?


"คนโง่เขลาหลงสร้างบาปตามวิสัย
ชีวิตพบทางแพ่งให้เชื่อผู้ใหญ่
จงหลีกไกลคนพาลพาถลำ
อย่าเด็ดดมดอกไม้ในดงดำ
แม้นดื้อรั้นจักชอกช้ำระกำใจ
"

เป็นปริศนาเซียมซีของเจ้าแม่กวนอิมสอนข้าพเจ้า
แต่ยังหาคำตอบไม่ได้ .....รู้แต่ว่า จงหลีกไกลคนพาล...
นั้นพอรู้

ลักษณะของคนพาล เป็นดังนี้

มงคลที่ ๑ ไม่คบคนพาล (อะเสวนา จะพาลานัง)

ลักษณะคนพาล

๑. ชอบคิดชั่ว เป็นปกตินิสัย
๒. ชอบพูดชั่ว เป็นปกตินิสัย
๓. ชอบทำชั่ว เป็นปกตินิสัย

วิธีสังเกตคนพาล

๑. คนพาลชอบชักนำในทางที่ผิด
๒. คนพาลชอบทำในสิ่งที่มิใช่ธุระ
๓. คนพาลชอบแต่สิ่งผิด ๆ
๔.คนพาลแม้พูดดีๆ ก็โกรธ
๕. คนพาลไม่ยอมรับรู้ระเบียบวินัย กฎหมายและศีลธรรม

คุณของการไม่คบคนพาล

๑. ย่อมถูกชักนำไปในทางที่ผิด
๒. ย่อมเกิดความหายนะการงานล้มเหลว
๓. ย่อมถูกมองในแง่ร้าย ไม่ได้รับความไว้วางใจ
๔.ย่อมอึดอัดใจ เพราะถึงพูดดี คนพาลก็โกรธ
๕. ย่อมแตกสามัคคี เพราะไร้ระเบียบวินัย
๖. ย่อมมีภัยต่างๆ เข้ามาสู่ตัว
๗. ย่อมไปสู่ทุคติอบายภูมิเมื่อตายแล้ว

โทษของความเป็นคนพาล

๑. มีความเห็นผิด ก่อทุกข์ให้ตนเอง
๒. เสียชื่อเสียง ถูกติฉินนินทา
๓. ไม่มีคนนับถือ ถูกเกลียดชัง
๔.หมดสิริมงคล หมดสง่าราศี
๕. ความชั่วทั้งหลายจะเข้ามาหาตัว
๖. ทำลายประโยชน์ตนเองทั้งโลกนี้และโลกหน้า
๗. ทำลายวงศ์ตระกูลของตนเอง
๘. เมื่อตายแล้วจะไปสู่ทุคติอบายภูมิ

โทษของการคบคนพาล

๑. ทำให้ไม่ถูกชักจูงใจในทางที่ผิด
๒. ทำให้สามารถรักษาความดีเดิมไว้ได
๓. ทำให้สามารถสร้างความดีใหม่เพิ่มขึ้นได้อีก
๔.ทำให้ไม่ถูกคนพาลทำร้าย
๕. ทำให้ไม่ถูกตำหนิไม่ถูกใส่ความ
๖. ทำให้ไม่ถูกมองในแง่ร้าย
๗. ทำให้มีความเจริญก้าวหน้า
๘. ทำให้มีความสุขทั้งตนเองและสังคม
๙. ทำให้ตัดเชื้อพาล มิให้ระบาดไป

ตลอดเวลาที่บาปยังไม่ให้ผล คนพาลสำคัญบาปเหมือนน้ำผึ้ง
เมื่อใดบาปให้ผล คนพาลย่อมเข้าถึงทุกข์เมื่อนั้น

บางคนก็รู้นะว่า คบกับคนนี้แล้วไม่ดี แต่ก็ยังคบอยู่ได้
เพราะมีผลประโยชน์เอื้อต่อกัน
เขาถึงบอกว่า มันเหมือนน้ำผึ้งที่เข้าล่อแมลง
รอเวลาเปลี่ยนจากน้ำผึ้ง เป็นน้ำตา

ชีวิตใคร ชีวิตมัน....
แต่ปริศนาธรรมคำสอน อย่าเด็ดดอกไม้ในดงดำนี่
ยังงัยก็คิดไม่ออก เพราะไม่เคยคิดจะเด็ดดอกไม้
สงสัยว่า มันคงเป็นดอกไม้มีพิษแน่ ๆ
เพราะอยู่ในป่าลึก....


Version : สบายอารมณ์

คิดแล้วเขียน :)V


วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

แปลกใจ

วันนี้เข้า web ใหม่
update ข้อมูล กด Save ข้อความแล้ว
กลับเป็นถอยหน้าถอยหลังอยู่นั่นแหล่ะ
เหมือนยังไม่ได้ update รีเฟรชที
ไอ้ที่ update หายหมด! บางทีก็โผล่มา
บางทีก็หายไป อะไร??
ชักยัวะ! เลยงง ใครมาทำอะไรกับฉัน อีกหว่า!!
หวังว่า web ที่เข้าใหม่ มันคงไม่ประหลาดหรอกนะ
เพราะมันเปิดมานานแล้วง่ะ

มีแต่เครื่อง com ข้าพเจ้านั่นแหล่ะ เพี้ยน!!!

คนบ้าไปแล้ว com ดันเพี้ยนตาม
อะไรกันเนี่ยะ!

คิดแล้วเขียน :))V

วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

สบายดี

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาข้าพเจ้าไป ตรวจนัยน์ตากับจักษุแพทย์แล้ว
ทั้งวัดสายตา ความดัน และใช้แสงดูลูกนัยน์ตาที่เห็นภาพเบลอ
เป็นตัวอักษรซ้อนกัน หมอบอกว่าไม่มีอะไร มีแต่เยื่อเหลือง ๆ
เข้าใจว่าเป็นเยื่อในตาของข้าพเจ้าที่ไปขยี้มัน

หมอวินิจฉัยเบื้องต้นว่าเป็น ต้อลม
แต่ตอนนี้หลี่ตาข้างที่ชัด แล้วใช้ตาที่มัว
ก็ยังเห็นเป็นอักษร ตัวหนังสือซ้อนกันอยู่นะ
แล้วทำไมแกบอกว่าไม่เป็นอะไรหว่า?!
ข้าพเจ้าก็บอกว่า เกี่ยวกับการใช้สายตา
อยู่หน้าจอ com มากไปไหม?
แกบอกว่าไม่ใช่หรอก ... เพราะมันเป็นข้างเดียวนี่
ลองดูอาการก่อน หยอดยาตามที่หมอสั่ง
ถ้าไม่ดีขึ้นก็ต้องไปหาอีกที

งานของข้าพเจ้าก็อยู่แต่กับ com ทั้งนั้น
หลีกเลี่ยงไม่พ้น ว่าแล้วก็คันนัยน์ตาขึ้นมาทันที

ปีละโรคจริง ๆ สงสัยคงเป็นโรคเจ้ากรรมนายเวร
ชาติที่แล้วมั้ง (เดาเอา) เพราะหาโรคไม่เจอ ^_^
แบบว่า ไม่รู้เป็นอะไร หาสาเหตุทางวิทยาศาสตร์ไม่พบ
ก็เลยอนุมานไปทาง ไสยศาสตร์เสียเลย :))

ช่วงนี้ต้องขออภัย หากเกิดไม่สามารถ update ข้อมูลส่วนนี้ได้
เพราะมีทั้งงานหลวง และงานส่วนตัว
อาจทำให้ต้องห่างหายไปจาก web นี้บ้าง
เพราะแบ่งภาคไม่ไหว เจ้าลงไม่ทัน
แยกร่างไม่ถูก อิอิ ^_^
(โปรดสังเกต ว่าข้าพเจ้าวันไหนอารมณ์ไม่ดี
แสดงว่า องค์ลง 555 ถ้าได้ปล่อยอะไรออกมา
ก็อย่าถือสาเลยนะ เพราะปล่อยแล้วจะสบายใจ
ไม่ต้องเก็บของไม่ดีไว้กับตัวนาน ๆ
แต่หลายคนอาจเดือดร้อน อิอิ ^_^)

เวลางานในวันทำงาน ก็คือทำงานจริง ๆ
ไม่ได้มีเวลาเดินร่อนไปร่อนมา แบบคนอื่น
มีงานกองดองอยู่เต็มโต๊ะ (ทำแทบไม่ทัน)
เวลาถูกประเมินประจำปี
ถ้าได้ดี ก็อย่ามาอิจฉาก็แล้วกัน
เพราะเราทำงาน ถูกผิด ก็คือทำงาน
ไม่ได้นั่งเฉย ๆ
ไหนจะต้องติดต่อลูกค้า กลับมาบ้าน
ก็ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว มีงานที่บ้านต้องทำอีก
ฯลฯ ปัจจัยไม่เอื้ออำนวยให้ทำอะไรได้ตามใจตนเองมากนัก
ก็อยากจะอิสระอยู่เหมือนกัน ...แต่ทำไม่ได้ ^_^
บอกแล้วงัย เป็นผู้ฉิง แท้จริงแสนลำบาก :))


คิดแล้วเขียน :)V

วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ทายาทกรรม

เคยฟังแม่ชีทศพรเล่าเรื่องกรรมของบุคคลอื่น
ที่มาปรึกษาปัญหาชีวิตท่าน เพื่อเป็นธรรมทาน
ก็เลยทำให้นึกถึงชีวิตของตนเองว่า

ตัวข้าพเจ้าเอง อาจจะเป็นทายาทกรรมของพ่อแม่
จะว่าไปชีวิตของข้าพเจ้าก็จะคล้ายพ่อมากกว่า
อาจจะเป็นกรรมช่วงตอนหนุ่ม ๆ ของพ่อเป็นแน่ ^_^
อย่างว่าอ่ะนะ ก็เพราะข้าพเจ้าเป็นลูกพ่อ
เลยอาจจะต้องเจอเหตุการณ์อะไรคล้าย ๆ พ่อ
แต่สุดท้ายแล้ว ความสุขในชีวิตครอบครัว
ก็เป็นของพ่อ จวบจนบั้นปลาย ^_^

คิดแล้วเขียน :))V

นัยน์ตา

วันก่อนโทร.ปรึกษาแม่ว่า จะไปหาหมอตรวจตาที่ไหนดี
แม่แนะนำ รพ.พระมงกุฏ แต่ต้องไปแต่เช้า รอคิว
อาจช้าหน่อย ต้องลางานอย่างน้อย 1/2 วัน
ดีไม่ดี อาจต้องเต็มวันด้วยซ้ำ เบิกค่ายาได้เต็มที่
แต่รอนาน ... ข้าพเจ้าเลยตัดสินใจไป รพ.เอกชนดีกว่า
นัยน์ตาข้างขวา เห็นตัวอักษรเบลอ เป็นเงาซ้อนกัน
เข้าใจว่า สายตาข้าพเจ้าใช้งานมากไป
อาจทำให้เอียงขึ้นกว่าปรกติ
(โดนพ่อบ่น ว่าเล่น com เยอะ ^_^
ดีไม่ดี ตาบอดขึ้นมา พ่อบอกไม่เลี้ยงแล้วนะ 555 :P)
เพื่อความแน่ใจ คงต้องไปเช็คอาการกับจักษุแพทย์ดีกว่า
หมอว่าอย่างไร ก็คงทำตามคำแนะนำหมอ

ข้าพเจ้าล่ะ ปีละโรคจริง ๆ เลย
นี่ก็กำลังนั่งจินตนาการว่า หากตอนแก่ชรา
สายตาใช้การไม่ได้ จะทำอะไรกินดี
ตอนนี้กำลังคิดว่า จะอัดเสียงอ่านหนังสือ
หรืออ่านธรรมะไว้เปิดฟังตอนแก่ เพราะไม่มีลูกมีหลาน
มานั่งอ่านให้เรา แต่ติดตรงที่ว่า เสียงไม่ไพเราะเอาเสียเลย
มีคนเคยเตือนข้าพเจ้าว่า เคยฟังเสียงตนเองบ้างหรือเปล่า
ก็ไม่รู้ว่า จะให้ข้าพเจ้าดัดจริต ทำเสียงสาว แบบ sex phone
หรือไง ถึงให้ข้าพเจ้าฟังเสียงตนเอง
คงแรดไม่ถึงใจมันมั้ง! หึ หึ!

รู้อยู่ว่า เสียงข้าพเจ้าไม่ค่อยไพเราะหูนักหรอก
โดยเฉพาะคำด่า หากหลุดจากปาก
แล้วใครได้ยินที่ข้าพเจ้าพูด นี่ถือว่า ซวยสุด ๆ แล้วล่ะ :)

เสียงพูดของตนเองฟังแล้ว ก็รับไม่ได้เหมือนกัน 555
ก็เลยไม่ค่อยชอบพูด และก็ไม่ค่อยชอบคนพูดมากด้วย
เพราะว่า รำคาญมากเหมือนกัน
ไม่รู้จะพูดอะไร พูดทำไม แบบพูดไปเรื่อย ๆ ๆ
ไม่มีที่สิ้นสุด หาประเด็นไม่ได้!

พูดถึงสายตาของคนสูงวัย มักจะมีปัญหา
คงหงุดหงิดชะมัดเลย
ทำให้นึกถึงยายที่อายุ 90 ปี
แกใช้วิธีเปิดฟังวิทยุทั้งวัน ทั้งคืนแทน
ก็ดีไปอย่าง มีวิทยุเป็นเพื่อน
อายุเริ่มมาก ร่างกายก็เหมือนรถยนต์
ก็ต้องซ่อมบำรุง ดูแลรักษาไปโดยปริยาย

คิดแล้วเขียน :)V

วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ผักชีขาดตลาด

สืบเนื่องมาจาก
สังคมนิยม ใช้ผักชีโรยหน้าไว้ก่อน
แม้ว่าของใน เนื้อในไม่ดี
ของนอกขอดูดี ราคาสินค้าก็สามารถขายได้
แม้บางคนอาจจะตาถั่ว อย่างน้อยก็พอหลอกขายขาจรได้

ส่วนคนที่ลิ้นเป็นจระเข้ก็พี่แกเล่น เขมือบทีเดียว
จะไปรู้รสชาติอาหารได้ยังไง
เห็นแต่งหน้าอาหารด้วยผักชี มันดูน่ากิน
คนที่ตะกละตะกลาม
ก็เลยสวาปามไปรวดเดียว ...ไม่ได้ดูว่า
รสชาติอาหารเป็นอย่างไร? ^_^

วันนี้ ...พอดี...ข้าพเจ้าอาจพูดตรงและแรง
กับเพื่อนบางคนมากไป ....
ก็เลยทำให้นึกถึงเพลงของอัสนี วสันต์ขึ้นมาทันที!


คนนิยมบริโภคผักชี แบบนี้กันเยอะ
สงสัยต้องหันมาปลูกไว้บ้างแล้วล่ะ
เผื่อตกงาน จะได้ปลูกผักชีขาย
คนที่ชอบโรยหน้าอ่ะ อิอิ ^__^

งั้นมาฟังเพลง ผักชีโรยหน้า ของ อัสนี& วสันต์กันเถอะ!
(ศิลปินเพลงในหัวใจ) เชื่อไหมว่า
เพื่อนพี่สาว เขาเห็นบุคลิกข้าพเจ้าภายนอก
คิดไม่ถึงว่า ข้าพเจ้าชอบฟังเพลงของ อัสนี-วสันต์
ก็บอกแล้วงัย! สังคมสมัยนี้ ชอบผักชีโรยหน้า
ก็เลยดูไม่ออก ถึงข้างใน .....


ฟังวิทยุออนไลน์ ที่ izeemusic


โดย คิดแล้วเขียน :)V

วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เครื่องลาง - ความเชื่อ

วันก่อนตอนที่ไปไหว้พระ แถววัดเล่งเน่ยยี่ (เยาวราช)
จะมีร้านค้าขายของ เกี่ยวกับเครื่องลาง ปีเซี่ยะ ฮก ลก ซิ่ว
แก้ปีชงต่าง ๆ มากมาย ...เดินผ่านร้านค้า
มีรูปปั้นชูชกตัวเล็ก ๆ ขายด้วย เขาถือว่า
เป็นเครื่องลาง

เอ่ะใจ มาครั้งนึงแล้ว ตอนตลาดนัดที่ทำงาน
มีรูปชูชก กับเศรษฐีนวโกศฐ์ พกติดตัวแล้วจะรวย

ข้าพเจ้าเห็นรูปชูชกแล้ว คำถามแรกที่ผุดขึ้นในใจ
ชูชกดีตรงไหน? มีคุณงามความดี ตรงไหน?
ที่เราควรจะบูชา (ชักจะเลยเถิดกันใหญ่แล้ว)

เพิ่งมาถึงบางอ้อ ว่า พวกนี้มาจากหมอดูต่าง ๆ
ที่เขาบอกมาว่า พกแล้วจะรวย
ไอ้ชูชกเนี่ยะนะ! ตะกละกินจนท้องแตกตายนี่นะ
ยังเอามาบูชา ...แถมใจร้าย เฆี่ยนตี ลูกพระเวสสันดร...
ใช้เยี่ยงทาส ....เอาเข้าไป....
(คนเราหนอ? ความโลภทำให้หมอดู หลอกเราได้)

คนเรานี่ก็บ้าอะไรแปลก ๆ ยึดถืออะไรกันแปลก ๆ
พระพุทธรูป มีไม่นับถือ ...ไปนับถืออะไรก็ไม่รู้
แล้ว คำสอนของพระพุทธรูปที่ว่า
"
ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" มันไปไหนเสียล่ะ

ถ้าไม่ทำมาหากิน แล้วพกแต่รูปชูชกเนี่ยะไว้ในกระเป๋า
มันจะรวยไหมล่ะ?! สังคมไทยส่วนมากยังเป็นสังคมที่งมงายอยู่
ใครบอกอะไรมาก็เชื่อถือหมด ....นี่ถ้าเอาตอไม้ สักอัน แปะทอง
ผูกโบว์แดง ไปไว้ใกล้ ๆ วัด
เชื่อไหมว่า
จะต้องมีคนยกมือไม้ตอไม้นั้น

คนไทยยังติดคำว่า
"
ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่" ....เมื่อก่อนข้าพเจ้าก็ไม่ถึงกับงมงาย
ตอนนั้นยังไม่ได้อ่านหนังสือธรรมะ
แต่หลัง ๆ นี่ รู้สึกว่า สังคมมักจะงมงายไสยศาสตร์ฟีเวอร์เกินเหตุ

พ่อข้าพเจ้า นี่ไม่เคยเชื่อหมอดูเลย
พ่อบอกว่า คนพวกนี้ ไม่มีเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ
ใครทักมาดี ก็ว่าดี ใครทักมาว่าไม่ดี ก็ต้องรีบแก้ สะเดาะห์เคราะห์
เสียเงิน เสียทอง ไปมากมาย

พ่อยังเคยเล่าให้ข้าพเจ้าฟังเลยว่า
เมื่อก่อนตอนข้าพเจ้าเด็ก ๆ
มีมอเตอร์ไซด์คันใหญ่ (คล้ายตำรวจสายตรวจทางด่วน)
ซึงมีไม่กี่คันในอำเภอนั้น คนขับสามล้อ
มาทายพ่อข้าพเจ้าว่า ถ้าไม่รีบขายไป
จะตายภายใน 7 วัน ....

พ่อข้าพเจ้าไม่เชื่อ พ่อข้าพเจ้า รอดูอยู่มานานแล้ว
ไม่เห็นตายสักที .... ตอนนี้อายุ
72 ปี แล้ว
มันก็ต้องตายภายใน 7 วันเนี่ยะแหล่ะ
จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสฯ ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์

เลือกเอาซิจะตายวันไหน? แต่ปีไม่รู้
เพราะเขาไม่ได้บอก นี่ถ้าพ่อข้าพเจ้าเชื่อ
รีบขายมอเตอร์ไซด์สุดเท่ห์ไปตอนนั้น
พวกสามล้อ มันคงนั่งหัวเราะงอหายแล้วมั้ง?

ประเทศไทยยังคมเป็นสังคมที่งมงาย กับความเชื่อ
ที่ว่า “ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่” ตลอดกาลนาน
………….
ยิ่งหลัง ๆ หมอดูออกมาทักมาทาย
แล้วดัง เกจิ อาจารย์ต่าง ๆ เริ่มตั้งสำนักมากมาย
ก็เลยทำให้คนหลงงมงายกันได้ง่ายมากขึ้น

ความรวย สร้างด้วยความขยันหา และฉลาดใช้
ไม่ใช่ฉลาดในการขี้โกง หรือการขอคนอื่น

ข้าพเจ้าไม่นับถือหรอก
เพราะกลัวว่า โลภมากแล้วลาภจะหาย
จนท้องจะแตกตาย แบบนั้นสักวัน!!!


--------------------------------------------

ที่มา : ชูชกมหาทาน หลวงพ่อเกาะ วัดท่าสมอ ชัยนาท


หลวงพ่อเกาะ ท่านว่า ชูชกแม้เป็นชายชรา รูปร่างไม่หล่อ คือ เป็นชายแก่ อ้วน ลงพุง
แต่แกมีเมียสาว และสวยกว่าใคร แถมยังไม่ต้องทำมาหากินอีกด้วย
ถ้าชูชกไม่มีคุณด้านเมตตาอย่างสุดประมาณแล้ว
จะขอเงิน ขอทองชาวบ้านได้หรือ
คิดดูง่าย ๆ ถ้าเป็นเราบ้าง เงินทอง
เราหาได้มาด้วยความยากลำบาก กว่าจะได้แต่ละบาท
แต่ละร้อย ถ้าเป็นขอทานธรรมดามาขอ
เราจะยอมให้จนหมดเงินหรือ นี่ชูชกเขามีเมตตาดี
ขอเขาจนหมดตัว เขาก็ยอมให้ ขอทานจนตั้งตัวได้
พระโบราณจารย์ที่มีความรู้ถึงคิดสร้างชูชกขึ้นมา
ไม่ใช่ว่าใช้ชูชกแล้วต้องเป็นขอทาน อันนี้ผิด ใ
ช้แล้วเป็นเมตตาอย่างที่สุด เป็นมหาทรัพย์อย่างสุดประมาณ
ขนาดชูชกรูปร่างหน้าตาน่าเกลียด ยังอยากให้เงินให้ทอง
ขออะไรถ้าเขามีแล้วเป็นให้หมด ให้ใจแข็งอย่างไร
ขี้เหนียวอย่างไร ก็ต้องให้ ต้านทานไม่ได้
นี่ฉันเสกเป็นเมตตามหาเสน่ห์อีกด้วย ขอความรักก็ได้
ขอเงินก็ได้ ของานทำ ขอขั้น ขอตำแหน่งก็ได้
ก็ขนาดลูกในอกแท้ ๆ พระเวสสันดรยังยอมยกให้เลย จริงไหม

วิธีการใช้ชูชกของหลวงพ่อ เอาติดตัวไปด้วย เสมอ
อยากให้ชูชกช่วยขออะไรก็บอกกล่าวไป หมั่นปลุกด้วย

“วินะสิลา” แบมือขอเขาเถิด ตามตำราว่า หากคนใช้ขึ้นจริงแล้ว แม้ลูกในอกเขาก็ยอมยกให้ได้

-------------------------------------------------------------------------

โอ้! แม่เจ้า เครื่องลางมาจากพระสงฆ์หรือนี่
ยังกับปลุกเสก พวกกุมารทองเลยอ่ะ !!!

ถ้าวันนึง ชูชกขอชีวิติท่านบ้างล่ะ?!
เพราะขอสะหมดตัวแล้วอ่ะ
จะให้ได้ไหม? อยากให้คนที่คิดจะนับถือ
ลองใช้ปัญญาพิจารณาดูบ้างว่า
จุดจบของชูชก เป็นอย่างไร?!
แค่นั้นแหล่ะ!

นำมาโพสไว้เพิ่มเติม
เหมือนที่ข้าพเจ้าเขียนไว้เมื่อครั้งก่อนเลย

http://www.tamdee.net/main/read.php?tid-1271.html

ค่านิยมแปลกๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยในรอบหลายปีมานี้ ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อสังคมไทยและการเมืองไทย เช่น การบูชาจตุคามรามเทพ ซึ่งเป็นเทพที่มีสรรพคุณในทาง “มั่งมีศรีสุข” เมื่อสองปีก่อน ก็สะท้อนค่านิยม วัตถุนิยมและทุนนิยมบริโภคที่ชัดเจนมาก
มาถึงปีนี้ มีค่านิยมแปลกๆ ที่กำลังผุดขึ้นมาอีกแล้ว และกำลังอยู่ในช่วงของการ ปั่นกระแสเพื่อให้จุดติด ค่ายนิยมใหม่ที่ว่านี้ก็คือ การบูชาพ่อปู่ “ชูชก” นัยว่าถ้าใครบูชาชูชกแล้วย่อมให้ผลในทางทำมาค้าขาย ขอได้ ไหว้รับ เพราะชูชกเป็นสุดยอดนักเจรจา นักการทูต และนักขอที่ประสบความสำเร็จ ( แสดงว่า คนที่ชวนกันบูชาชูชกคง
(1) ไม่เคยอ่าน/ไม่เคยฟังเรื่องเวสสันดร หรือ
(2) อ่านหนังสือไม่แตก หรือไม่ก็
(3) อ่านไม่จบ เพราะตอนสุดท้ายของชาดก เล่าว่า หลังจากขอกัณหาชาลีได้มาแล้ว ชูชกได้ร่วมงานเลี้ยงในสำนักพระราชวัง แต่ท้องแตกตาย เพราะกินไม่รู้จักพอ)
เมื่อแรกได้ยิน ได้เห็นข่าวนี้ ก็รุ้สึกตกใจว่าสังคมไทยเป็นไปได้ถึงเพียงนี้ทีเดียวหรือ เพราะแต่ไหนแต่ไรมานั้น เราทราบกันดีว่า ชูชกเป็น “บุคคลาธิษฐาน” ( การแสดงนามธรรมให้เป็นรูปธรรมโดยใช้ตัวละคร) ในทางร้าย ซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามกับบุคลาธิษฐานในทางดี คือพระเวสสันดรพูดอีกอย่างหนึ่งว่า พระเวสสันดร คือตัวเอก ที่เป็นรูปธรรมของ “การให้” ส่วนชูชกก็เป็นตัวร้าย ซึ่งเป็นรูปธรรมของ “ความโลภ” อันมีรากฐานอยู่บนความ “เห็นแก่ตัว
การที่บรรพบุรุษของไทย ส่งเสริมให้มีประเพณีเทศน์มหาชาติต่อเนื่องกันมาทุกปีแต่โบราณมาก็เพราะต้องการปลูกฝัง “อุดมคติแห่งการให้” ให้หยั่งรากฝังลึกลงในในสังคมไทย แต่ไม่รู้เป็นอย่างไร ไปๆ มาๆ คนไทยวันนี้ ( น่าเศร้าที่สุดก็คือตรงที่พระสงฆ์นั่นเองที่เป็นผู้นำลัทธินี้ ) กลับพากันหักหน้าบรรพบุรุษด้วยการหันมาบูชาชูชก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความโลภเสียหน้าตาเฉย เห็นข่าวนี้แล้ว อยากอุทานว่า “เสียแรงเทศน์มหาชาติ”
หรือว่า ค่านิยมบูชาชูชกนี้เอง เป็นที่มาของค่า ( ที่ไม่น่า) นิยม ที่ว่า “โกงก็ได้แต่ขอให้แบ่งกัน” หรือค่านิยม “ทำอย่างไรก็ได้ ขอให้ประสบความสำเร็จ โดยไม่ต้องคำนึงถึงผลทางจริยธรรม” และ /หรือ “คนเก่งและโกง คือวีรบุรุษ”
ชูชกเป็นใคร เรารู้กันอยู่แล้วโดยสามัญสำนึก เพราะเรื่องเวสสันดรชาดกนั้นเป็นชาดกที่คนไทยรู้จักดีที่สุดเรื่องหนึ่งเพื่อความแม่นยำ เราน่าจะลองพลิกพระไตรปิฎกมาอ่านใหม่อีกครั้งเพื่อเตือนความจำกันดูว่า ชูชกเป็นใคร พระเวสสันดรเป็นใคร อ่านแล้วจะได้เห็นว่า เราคนไทยออกทะเลไปไกลขนาดไหน ในพระไตรปิฎก ท่านสรุปชาดกว่า ดังนี้
“พราหมณ์ชูชกในกาลนั้น คือ ภิกษุเทวทัต นางอมิตตาปนา คือ นางจิญญมาญวิกา พรานเจตบุตร คือ ภิกษุฉันทะ อัจจุตดาบส คือ ภิกษุสารีบุตร ท้าวสักกเทวราช คือ ภิกษุอนุรุทธะ พระเจ้าสัญชัยนรินทรราช คือ พระเจ้าสุทโธทนะมหาราช พระนางผุสดีเทวี คือ พระนางสิริมหามายา พระนางมัทรี คือ ยโสธราพิมพามารดาราหุล ชาลีกุมาร คือ ราหุล กัญหาชินา คือ ภิกษุณีอุบลวรรณา ราชบริษัทนอกนี้คือ พุทธบริษัท พระเวสสันดรราชคือเราเอง พระพุทธเจ้า ยกพระเทวทัตมาบูชา สังคมไทยถึงได้เสื่อมอย่างที่เป็นเช่นวันนี้
ส่วนพระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้ให้ กลับพากันมองข้าม ในเมื่อเห็นกงจักรเป็นดอกบัวถึงเพียงนี้แล้ว จะไม่ให้เสื่อมถึงที่สุดได้อย่างไร
ตัวชูชกเองนั้น ในคัมภีร์ระบุไว้ชัดเจนอย่างไม่อ้อมค้อมว่าเป็น “ตัวร้าย” ใครที่พลิกพระไตรปิฎกมาอ่าน ก็จะพบว่าท่านเขียนให้ชูชกเป็นตัวร้ายแบบไม่ปิดบัง ซึ่งไม่ควรด้วยประการทั้งปวงที่จะหยิบยกมาเชิดชู คัมภีร์ท่านว่า ชูชกนั้น ประกอบด้วย “บุรุษโทษ” คือลักษณะที่เป็นโทษถึง 18 ประการคือ
1.เท้าทั้งสองข้างใหญ่และคด
2. เล็บทั้งหมอกุด
3. ปลีน่องทู่ยู่ยาน
4. ริมฝีปากบนย้อยทับริมฝีปากล่าง
5. นำลายไหลออกเป็นยางยืดทั้งสองแก้ม
6. เขี้ยวงอกออกพ้นปากเหมือนเขี้ยวหมู
7. จมูกหักฟุบดูน่าชัง
8. ท้องป่องเป็นกระเปาะดั่งหม้อใหญ่
9. สันหลังไหล่หักค่อม คด โกง
10.ตาถล่มลึกทรลักษณ์ ข้างหนึ่งใหญ่ ข้างหนึ่งเล็ก ไม่เสมอกัน
11.หนวดเครามีพรรณดังลวดทองแดง
12.ผมโหรง เหลืองดังสีลาน
13.ตามตัสะครานคลำด้วยแถวเอ็นนูนเกะกะ
14.มีต่อมแมลงวัน และตกกระดังโรยงา
15.ลูกตาเหลือง เหลือก เหล่
16.ร่างกายคดค้อมในที่ทั้งสามคือ คอ หลัง สะเอว
17.เท้าทั้งสองหัน เห ห่างเกะกะ
18.ขนตามตัวหยาบดังแปลงหมู
ชูชก คือ คนเห็นแก่ตัว เมื่อเดินทางไปขอกัณหาและชาลี ซึ่งเป็นโอรสและธิดาของพระ เวสสันดรนั้น ก็ได้หลอกพรานเจตบุตรซึ่งเฝ้าปากทางเข้าเขาวงกตว่าตนเป็น “ราชทูต” ของพระเจ้าสัญชัย แห่งกรุงสีพี ข้อความตรงนี้แสดงว่าชูชกอ้าง “เบื้องสูง” เพื่อประโยชน์ส่วนตัวของตนล้วนๆ แล้วพรานเจตบุตรก็หลงเชื่อ แกจึเดินทางเข้าไปถึงเขาวงกตของพระเวสสันดร และขอโอรสธิดามาได้สำเร็จ แต่เมื่อเดินทางกลับออกมาจากป่าแล้ว ก็นำโอรสธิดาของพระเวสสันดรไปแลกเปลี่ยนเป็น “เงิน”มหาศาล โดยการไถ่ด้วยค่าตัวสูงลิ่ว จากพระเจ้าสัญชัยซึ่งเป็นพระอัยกาสำนักพระราชวังกรุงสีพี จัดงานสโมสรสันนิบาตต้อนรับการที่พระนัดดาทั้งสองพระองค์ได้เสด็จนิวัติพระนคร ชูชกดีใจได้ร่วมเป็นแขกเมือง แต่เพราะนิสัย “เห็นแก่ตัวจัด” ที่ติดอยู่ในกมลสันดาน จึงทำให้ “กินไม่รู้จักพอ” ในที่สุดจึงท้องแตกตายอย่างน่าสมเพช
ชูชกมีฉากสุดท้ายในทางไม่สู้ดีถึงเพียงนี้ แต่กระนั้นก็ยังมีคนหยิบยกมาบูชาในฐานะ ปูชนียบุคคล ส่วนพระเวสสันดรนั้น ทุ่มสุดชีวิตเพื่อรังสรรค์ความดีฝากไว้ให้กับโลกในฐานะพระผู้ให้ แต่แล้วกลับถูกลืม
อ๊ะ หรือว่า ยกย่องคนดีแล้วไม่เร้าใจ เราคนไทยจึงอยากบูชาคนชั่ว?


ที่มา คอลัมน์ ธรรมาภิวัฒน์ เนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 932 9 เมษายน 2553

คิดแล้วเขียน :)V

วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

14 กุมภา

ปีนี้วันที่ 14 กุมภา ตรงกับสองเทศกาล
นั่นคือ ตรุษจีน กับวันแห่งความรัก
...วันนี้...ข้าพเจ้าไปวัดเล่งเน่ยหยี่
กะไปแก้ชง เพราะปีนี้
คนที่เกิดปีเสือ วอก มะเส็ง กุน
ชง แต่ทางวัดประกาศว่า

ในวันนี้ ถือเป็นวันปีใหม่จีน
ยังไม่ทำการสะเดาะเคราะห์แก้ชงให้
เพราะจะปัดสิ่งที่ดีออกจากตัวไปด้วย
ท่านเลยไม่ทำการสะเดาะเคราะห์ให้
แป่ว! ...

ให้ถือว่า วันนี้ให้ขอพรแทน
และก็เป็นวันถือ ห้ามกวาดบ้าน
เพราะจะกวาดสิ่งดี ๆ ออกจากตัวด้วย
ข้าพเจ้าก็เลยไปไหว้ขอพรแทน ^_^

ก็นั่งนึกในใจว่า แสดงว่าในตัวมนุษย์เรา
นั้นก็มีทั้งสิ่งดี และไม่ดี
แต่ของไม่ดี ไม่อยากเอาไว้
ของดี ๆ อยากเอาเข้าตัวให้เยอะ ๆ

หากปัดสิ่งไม่ดีออกจากตัวในวันนี้
แสดงว่าของดี ๆ ก็จะถูกปัดออกจากตัวไปด้วย
เฮ้อ! ...ก็เลย งง นิดหน่อย!
ช่วงนี้หันมาสนใจธรรมเนียมจีนมากขึ้น
เพราะว่า ตั้งแต่ไปเมืองจีนมา
มีความรู้สึกที่ดีกับ คนจีนขึ้นนิดหน่อย

เมื่อก่อนไม่ค่อยชอบคนจีนเท่าไร
เพราะคนจีนส่วนใหญ่
ในความคิดของข้าพเจ้า
มักเป็นคนเห็นแก่ตัวนะ
พูดง่าย ๆ ว่าเป็นคนขี้งก
ตะหนี่ แล้วก็ปากจัด
พูดจาก็แอ่ะอ่ะ โวยวาย
(อันนี้ดูจากญาติ ๆ
และก็พวกอาซิ้ม อาม่าขายของ)^__^


น้อยนักที่จะเห็นคนจีนใจดี
แต่ในสิ่งไม่ดี ย่อมมีสิ่งดีเสมอ
ฉันใดฉันนั้น ข้าพเจ้าชอบคนจีน
ตรงที่ว่า สอนให้ลูกหลานรู้จักกตัญญู
ขยัน อดทน ในการประกอบอาชีพสุจริต
ซึ่งสิ่งนี้ เป็นสิ่งที่ดี ที่คนไทยมักไม่ค่อยสอน
เพราะคนไทยมักขี้เกียจ รักสบาย
(ความขี้เกียจคงรวมถึงข้าพเจ้าด้วยมั้ง อิอิ ^__^)
ดูตัวอย่างได้กับคนค้าขาย

คนจีนประกอบอาชีพค้าขายมักจะเจริญรุ่งเรือง
แต่คนไทยค้าขาย มักจะเจ๊ง ดูได้จากคนอีสาน
เพราะขาดความขยัน และความอดทน
คนอีสานมักจะเป็นลูกจ้างของคนไทย
เชื้อสายจีนซะส่วนใหญ่

จากสถิติน้อยคนนักที่คนอีสานจะได้เป็นเจ้าคนนายคน
ไม่ทราบเหมือนกันว่า ทำไม?
และคนอีสานก็มักจะมีสามีฝรั่ง มากที่สุด!
ส่วนคนภาคใต้นั้น จะขยันกว่าคนอีสาน
โดยดูสถิติที่ส่งลูกหลานให้เรียนในระดับสูง ๆ
เช่น ม.รามคำแหง นักเรียนมาจากภาคใต้มากที่สุด

เขียนไปเรื่อย ไปถึงไหนแล้วเนี่ยะ!
วันนี้กะว่าจะเขียน วันวาเลนไทม์สักหน่อย!
เลยเขียนไม่ออกเลย ^__^
....เอาเป็นว่า เมื่อวันก่อน ไปเยี่ยมพ่อเพื่อนที่ รพ.ใกล้บ้าน
ขากลับนั่งรถตู้มากับเพื่อน เห็นชาย หญิงคู่หนึ่ง
แสดงหนังสดให้ดู โดยการหันจูจุ๊บกัน แบบฝรั่ง
แถมผู้หญิงก็ก้มลงจูจุ๊บไหล่ผู้ชาย ที่ใส่เสื้อกล้าม
ดูจากลักษณะ 2 คนนี้น่าจะทำงานแล้ว
ไอ้เราก็หันหน้ามองกับเพื่อน ...ทำตาปริบ ๆ
โอ้! แม่เจ้า! แล้วแบบนี้จะเหลือหรือ?!

สมัยนี้ หนุ่มสาว ทำอะไรช่างไม่อายฟ้าดินกันเลย
หรือว่า จะทำอวดคนอื่นที่ไม่ได้มีคู่รักหวานแหว๋ว
แบบตัวเอง .... ข้าพเจ้าเห็นแล้ว อายแทน ....
อย่างน้อย การแสดงความรัก หากรู้จักกาลเทศะ
มันก็คงจะดี และดูน่ารักกว่านี้นะ
ข้าพเจ้าคิดแบบนั้น

จบเรื่องเล่า สำหรับวันวาเลนไทม์แล้ว

คิดแล้วเขียน :)V

วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ฤกษ์ยาม - ประเพณีโบราณ


ใกล้เทศกาลวันตรุษจีน กับเทศกาลวันแห่งความรัก
เทศกาลฝรั่งปนจีน ^_^
ปีนี้สีแดงเลยแรงจัด!!

คนจีนเลยลดความแรงลง
ขอเปลี่ยนเป็นสีชมพู เพื่ออวยพรในหลวงด้วย
เพราะเป็นปีเสือดุ หากใส่สีแดง
คงดูว่ามันจะร้อน จนเดือดอะไรทำนองนั้นมากกว่า
ประมาณว่า เปลวไฟ แห่งความรุ่งโรจน์
หากนำมาใช้ไม่ถูกกาลเทศะ ก็คงเป็นผลเสียได้เหมือนกัน
ก็คงเหมือนกับไฟ ที่ให้แสงสว่าง
แต่หากไฟนั้นลุกโชน
มันก็คงสามารถเผาตนเองให้ร้อน
และผู้อื่นได้เช่นกัน แทนที่จะดีกลับเป็นเสีย ...

ตำราโบราณ ความเชื่อคนโบราณ
บางอย่างที่เขาถ่ายทอดกันมาเป็นรุ่น ๆ
มันก็คงจะดี หากนำมาปรับใช้ให้เข้ากับชีวิตประจำวัน

เมื่อก่อน พ่อไม่เคยเชื่อ เรื่องยามอุบากอง
(ดูจากชื่อ สงสัยจะของพม่า)
เรื่องพวกนี้เลยนะ แต่จำมาจากย่า
ที่เชื่อฤกษ์การเดินทาง เพราะชอบเดินทางไปขอหวย
จากวัดต่าง ๆ และคงได้ฤกษ์นี้มาจากพระ

หลัง ๆ พ่อลองปฏิบัติดู ด้วยตนเอง
จากที่พ่อสังเกต และพบอุบัติเหตุร้ายแรง
ตายหมู่กันก็มาก คงด้วยเหตุนี้หรือเปล่า

ยามนี้ ได้ยินมาว่า คนสมัยก่อนออกศึก สงคราม
เขาก็ดูฤกษ์ดูยามนี้ อย่างน้อยสิ่งที่ไม่ดี
จะได้ลดความแรงลง

ข้าพเจ้ายังงงเลยว่า พ่อเชื่อได้งัย!
ปกติไม่เห็นจะเชื่อเรื่องเหล่านี้เลย
แต่พ่อบอกว่า เชื่อจากการสังเกต และลองปฏิบัติดู
และย่าเป็นคนชอบเดินทาง (ขอหวยตามวัดต่าง ๆ 555 )
ปฏิบัติพอเชื่อถือได้

-------------------------------------------
ไปค้นประวัติมาให้

ความเป็นมาของยามอุบากอง คำว่า "อุบากอง"
เป็นชื่อนายทหารเอกของพม่า
ซึ่งเข้ามาตีไทยในสมัยต้นรัชกาล กรุงรัตน โกสินทร์นี้เอง
มีประวัติที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ดังนี้
อุบากอง
เป็นนายทหารยศขุนพล
ได้คุมกำลังเข้าโจมตี เมืองเชียงใหม่ เมื่อแรง ๑ ค่ำ
เดือน ๕ ปีมะเมีย พ.ศ.๒๓๔๐ คราวที่พระเจ้าปะดุง
ยก ๙ ทัพมาตีไทยนั่นเอง แต่ด้วยเหตุผลกลใดไม่ปรากฏ
อุบากองถูกฝ่ายไทยจับกุมตัวได้ คราวนั้นพ่อเมืองเชียงใหม่
ได้คุมตัวอุบากองส่งลงมายังกรุงเทพฯ เมื่อขึ้น ๘ ค่ำ
เดือน ๖ ปีมะเมีย พ.ศ.๒๓๔๐ สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
รัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตน โกสินทร์ จึงสั่งให้สอบสวนอุบากองทันที
ปรากฏว่า อุบากองเป็นคนไทย เกิดในเมืองไทย
เพราะมีพ่อ เป็นเชื้อสายพม่า
แต่แม่เป็นเชื้อสายคนไทยแถบเมืองธนบุรี
พระองค์จึงทรงพระเมตตา พระราชทาน เสื้อผ้า
และให้นำไปจำขังไว้ที่คุกวัดโพธาราม
(วัดพระเชตุพนฯ ในปัจจุบัน)
ระหว่างที่อุบากองกับพวกถูกจองจำ คุมขังที่คุกวัดโพธิ์
เขาได้สอนตำรายันต์ยามยาตรา ให้กับ พรรคพวก
ซึ่งยามนี้ สามารถแหกคุกที่คุมขังได้
เมื่อพรรคพวกสามารถเรียนยามยาตราได้ ตามที่ตนบอกแล้ว
อุบากองก็ทำพิธีตามหลักโหราศาสตร์
พอได้ฤกษ์งามยามดี จึงสามารถพากัน แหกคุกวัดโพธิ์
หลบหนีไปได้อย่างปลอดภัย โดยอุบากองกับพรรคพวก
พากันหลบหนีไปยังเมือง พม่าได้


แต่ยามที่อุบากองบอกกับพรรคพวกนี้นั้น
บังเอิญมีนักโทษพม่า ที่เป็นเชื้อสายไทยบางคน
ไม่ได้หลบหนีไปด้วย จึงบอกเล่ากับผู้คุมนักโทษ
จึงมีการนำมาเล่าเรียนกัน และให้ชื่อยามยาตรานี้ว่า
"ยามอุบากอง" ตามชื่อเจ้าของยามยาตรานั่นเอง


อนึ่ง ยามดังกล่าว ปรากฏว่า มีผู้นับถือว่า แม่นยำ
ได้ผลจริงๆ ด้วย จึงศึกษาเล่าเรียนสืบๆ กัน มาตราบเท่าทุกวันนี้


--------------------------------------------------------

ข้าพเจ้า ก็คุยกับพ่อเล่น ๆ ว่า
แต่ถ้าตารางเที่ยวบิน เกิดออกเดินทาง ตรงกับเวลาที่ไม่ดีล่ะ
พ่อก็บอกว่า อันนี้ก็เสี่ยงดวงเอาเองก็แล้วกัน ว่าดวงจะแข็งไหม?
อู้ฮู้ .....ใครจะเสี่ยงอ่ะ?

ประเพณีโบราณ บางอย่างโบร่ำโบราณสอนเอาไว้
มันก็ต้องมีเหตุ ที่เขาห้ามไว้แบบนั้น
ถ้าศึกษาให้ดี คนสมัยก่อนมักจะสอนและถ่ายทอด
ในสิ่งดี ๆ ไว้ให้ลูกหลานเสมอ

อย่างเช่น ตอนนี้ใกล้วันวาเลนไทม์
เห็นชายหญิงบางคู่ กระดี๋กระด๋า ออกหน้าออกตา
ก็เห็นใจคนมีความรักอ่ะนะ เป็นธรรมดาที่จะตื่นเต้น
คอยรับของขวัญจากแฟน หรือกิ๊ก

เห็นเด็กวัยรุ่นผู้หญิง โพสข้อความว่าจะให้ของขวัญ
วันแห่งความรักกับผู้ชายอะไรดี ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้เป็นแฟน
สมัยนี้ก็รู้อยู่ ว่าวัยรุ่นใจเร็ว ...ท้องก็เร็ว ...และแท้งก็เร็วเช่นกัน!
ข้าพเจ้าเข้าไปโพสแนะนำว่าไม่ดี (สงสัยอีนี่เป็นอีแก่แล้วมั้ง 555)
....เอาเถอะ...เรื่องของใครของมัน ....
ก็คนที่ไม่ได้แต่งงาน (ผู้ใหญ่บ้านข้าพเจ้าสอนมา)
ว่า ผู้หญิงอย่าแสดงออกว่ารักหรือชอบผู้ชายก่อน
มันไม่ดี เพราะผู้ชายมันจะเอาเล่น ๆ
แต่ถ้าผู้หญิงอยากจะสนุกชั่วคราว ก็คงไม่มีใครว่าอ่ะนะ

สังคมสมัยนี้ ก็เลยไปนิยมตามฝรั่งกันหมด
ประเพณีโบราณเลยหลงลืมกันไปแล้ว ....
เห็นอะไร ทำอะไร ก็เป็นเล่นไปหมด
ชีวิตมันก็เลย เป็นของเล่น ๆ ไม่ใช่ของจริงสักที!
ใช่ไหม?!

Happy Valentine's Day
& เฮง ๆ ^___^

คิดแล้วเขียน :)V
-------------------------------------------------------