วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553

ซินเดอร์ฯ ได้รับเชิญ


และแล้ว ...ซินเดอร์ก็ได้รับเชิญ


หลังจากที่โอดครวญไปเมื่อวันก่อนเรื่อง
การ์ดเชิญไปงานแต่งงานเพื่อนรุ่นพี่
เพราะอยากไปชมพิธีแต่งงานที่ต่างจากศาสนาเรา
ในที่สุด เหมือนพระเจ้าของศาสนาเขา
จะรู้ใจเรา อิอิ ส่งบัตรเชิญมาให้หญิงสาวเช่นเรา
(ซินเดอร์ฯ ได้รับเชิญ)

แต่แล้ว ไฉนไม่ประทานรถม้ามาให้ด้วย
นี่ล่ะคิดหนักเลย ^__^
เพราะบรรดาแม่เลี้ยง
กะลูกเลี้ยงคงไม่อยากให้ซินเดอร์ร่วม
นั่งรถม้าไปด้วยเป็นแน่!!

เห้อ! เดือดร้อนนางฟ้าผู้ใจดี
ที่ต้องเสกฟักทอง มาพาซินเดอร์ไปซะแล้ว ^_^
นี่แหล่ะ คือการหาข้ออ้างที่ดี...
สำหรับการถอยรถอีก 1 ข้อ
(แต่คงไม่ทันแน่ เพราะมีเวลาแค่ 30 วัน)

ว่าแล้วซินเดอร์ก็ไปนั่ง - นอนฝัน
ในการร่วมปลูกดอกบานชื่น
(มีเมล็ดพันธุ์แถมมาให้กับการ์ดเชิญ)
เพื่อให้โลกเย็นไปพลาง ๆ ก่อนก็แล้วกัน อิอิ :))

วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2553

ลูกเสือ ไม่ใช่ลูกจระเข้


วันนี้มีพี่ที่ทำงานมาแจกการ์ดเชิญงานแต่งงาน
ของลูกสาวพี่เขา ซึ่งเคยไปเที่ยวบ้านเขาที่อยู่เชียงราย
เขาถ่ายภาพมาให้เพื่อน ๆ ที่ยังไม่เห็นได้ดู
แต่ไม่ได้เชิญเราไปงาน (แป่ว!)
อาจจะเห็นว่าเราเป็นเด็ก
หรือกลัวว่า พ่อแม่ไม่ให้เราไปมั้ง!! อิอิ ^_^

หรือกลัวว่าไปงานแต่งลูกเขาเหมือนตอกย้ำ
อะไรกับเรารึเปล่า??++ ที่ ณ ปัจจุบัน
เรายังไม่ได้แต่งงาน (อ้าว!)
หรือคิดว่าเราแอบมี??? (อ้าว!)
คิดได้หลายแง่ ...แต่อย่าคิดเลยปวดหัวเปล่า ๆ
ใครอยากรู้มาถามพ่อกับแม่เราดีกว่า
ว่าเราเป็นคนอย่างไร?

อีกอย่างพ่อข้าพเจ้าเป็นทหารมาก่อน
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ออกรบ เหมือนหน่วยอื่น
แต่ก็ไม่ทิ้งมาดทหาร ^_^
เพราะเวลาพ่อไปหาพี่ที่เป็นทหารที่ทำงานทีไร
ในวัยขนาดนี้ ไม่ได้แต่งตัวเครื่องแบบ นั่งรถเก๋ง
พลทหารหน้าประตูทำความเคารพทุกครั้ง
ที่พ่อผ่านไป .... แบบนี้กระมัง เรียกว่ามาดเท่ห์
มาดดี สีไม่ตก อิอิ ^_^

มาดพ่อเขาจะนิ่ง ๆ เงียบ ๆ แบบข้าพเจ้านี่แหล่ะ! แต่ถ้าเอาเรื่องขึ้นมา พ่อพกปืนไม่ได้เลยนะ มิน่า ถึงไม่มีใครกล้ามาแหย่หนวดเสือ เพราะพ่อข้าพเจ้าเกิดปีเสือ

คนที่เกิดปีเสือ ก็รู้ ๆ กันอยู่
อย่าได้ริอาจกระตุกหนวดเสือเชียวหนา!
ขนาดแว่นตา Rayban สมัยก่อน
ถูกกระชากจากใบหน้า พ่อวิ่งตามผู้ร้าย
2 คน มีปืนด้วย แต่กระสุนอยู่ที่เพื่อนมัน

วิ่งตามจนคนร้ายวิ่งหนีต่อไม่ไหว
พ่อเลยเอาหินก้อนใหญ่ทุบหัวมันจน
คนร้ายมันบอกที่ทิ้งแว่นตาพ่อได้
วิ่งตามเอาเรื่องมันเกือบชั่วโมง
อีกคนวิ่งตะเลิดเปิดเปิงไปคนละทาง ....
พี่สาวเห็นเหตุการณ์มาเล่าให้ข้าพเจ้าฟัง

ไม่รู้ซะแล้ว ว่าเราเป็น ลูกเสือ ไม่ใช่ลูกจระเข้ นี่เอง อิอิ ^___^

อยากลองเลี้ยงไว้ดูเล่น ๆ สักตัวไหมล่ะ!!!
เสือนะ เสือ !!



คิดแล้วเขียน :)V

วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2553

ท่าที และท่าทาง

คำกลอนสุนทรภู่สอนหญิง (สอนชาย)ได้ด้วย ดังนี้

***อย่าเที่ยวทอดสอดส่ายส่งสายตา***

"อนึ่งเนตรอย่าสังเกตให้เกินนัก
จงรู้จักอาการประมาณหมาย
แม้นประสบพบเหล่าเจ้าชู้ชาย
อย่าชม้ายทำชม้อยตะบอยแล

อันนัยน์ตาพาตัวให้มัวหมอง
เหมือนทำนองแนะออกบอกกระแส
จริงไม่จริงเขาก็เอาไปเล่าแซ่
คนรังแกมันก็ว่านัยน์ตาคม "


ถ้ามีคนมาส่งสายตาให้เราแบบนี้
จะทำอย่างไรดี???
บางคนชอบใช้สายตามอง
ถ้าไม่คิดมาก ก็คิดว่าท่าทางเขาเป็นแบบนั้น
แต่เชื่อไหมว่า สายตาของคนมันบอกอะไรได้หลาย ๆ อย่าง?
สายตาที่มองออกมา
ถ้าในใจคนนั้นมันคิดแต่เรื่องลามก
สายตาที่ส่งออกมา มันก็มีความหื่นกระหาย ออกมาด้วย!!
ทำให้ผู้คนรอบข้างมองแล้ว รู้สึกผู้หญิงและผู้ชายคนนี้
ไม่ดีเลย!!!

เวลามองเพศตรงข้าม
สายตามันฟ้องออกมาว่าคิดอะไร?
(ถึงแม้ปากจะพูดว่าไม่คิดอะไรก็ตามเถอะ!)

ถ้าผู้หญิงทำท่าทางแบบนี้บ่อย ๆ
คนโบราณจัดว่าไม่งาม เขาจะหาว่ายัยนี่ให้ท่า ให้ทาง
แบบผู้หญิงหากิน
ส่วนถ้าผู้ชายส่งสายตาแบบนี้
เขาก็ว่าไม่ดี คิดว่าผู้ชายคนนี้ เป็นแมงดา

ทางที่ดี การใช้สายตา และท่าทางควรระมัดระวัง
หากใช้ไม่ถูกที่ ถูกเวลา ระวังจะเจอดีเข้าสักวัน!!!
กลายเป็นว่าส่งสัญญาณให้พวก คุณ(นาย)ตัว ...แถเข้ามาน่ะซิ


ถ้าไม่อยากเป็นข่าวคาว(โลกีย์)

โปรดอย่าใช้ส่งสายตาพร่ำเพรื่อ ...ดังที่กล่าวมา
ขนาดข้าพเจ้านั่งหน้าจอคอมพ์ ทำงาน ไม่สนใจ
มันก็มักจะมีคนแถแกล้งมาใกล้ ๆ ให้ได้เห็น
หรือให้มอง

แถมส่งสายตาให้อีกแน่ะ!!!
เห็นแล้ว อยากถีบอีนี่ กะไอ้นั่นไปไกล ๆ เลย
ตรูลำคาญ!!!! อิ๋บอ๋ายเลยยยยยย !!!

จะทำงานโว้ยยยยย !!!!
ไปหาข้างหน้าเถอะไป้!!!!


ปล.
ไอ้พวกหัวโล้น!! ไม่ต้องเฉียดเสนอหน้าไปให้เห็นล่ะ
เดี๋ยววันไหนบ้าขึ้นมา จะนึกไม่ถึง!!!
แล้วตอนเย็น ๆ ก็ไม่ต้องมาเกร่ ไปเกร่มา ...
เหมือนคอยรอขอส่วนบุญ ทุกเย็น ๆ

หรอกนะ ไม่มีอะไรจะให้ บริจาควัดหมดแล้ว
อยากได้คงต้องรอไปขอคนที่อยู่ในนรกโน่นแน่ะ!!!
(ท่าทางคงอยากจะไป ตายไปคงได้อยู่หรอก...)

น่ารำคาญไอ้พวกไม่รู้จักพอ!


คิดแล้วเขียน :)V

วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553

Salary up ?%

วันนี้เป็นวันที่พนักงานในหน่วยงานรอคอย
คือวันทราบผล ว่าเงินเดือนของตนเองขึ้นกันกี่ %
เท่าที่ทราบของตนเอง คราวนี้น้อยกว่านายคนเก่า
จำนวนเงินที่ได้เพิ่ม ก็ตามที่ข้าพเจ้าคาดไว้ในใจ
กะตรงเพ็ง! เลยอ่ะ คลาดไป 25 บาทเอง อิอิ ^_^
(คิดเป็น % น้อยกว่าหลายปีที่ผ่านมา)

ในครั้งนี้ ข้าพเจ้าสมควรได้น้อย
เพราะผลงานที่ผ่านมา งานข้าพเจ้าค่อนข้างมีปัญหาเยอะ
และแก้ปัญหาได้ช้า ...อยู่ระหว่างเปลี่ยนหัวหน้าหลายหน
(ทั้งศูนย์และส่วน)
งานหยุดชะงักหลายครั้ง คนใหม่มา เราก็ต้องคอยเข้าไป
ช่วยอธิบายให้เขาเข้าใจ
ซึ่งเพื่อนร่วมงานมักจะมาถามปัญหากับข้าพเจ้าอยู่บ่อย ๆ
เลยทำให้งานเราล่าช้าไปด้วย .. จริง ๆ แล้วไม่โทษคนอื่นหรอก
แต่เราจัดตารางเวลาของเราได้ดีเอง มัวแต่ช่วยคนอื่น
งานของเราก็พลอยชะงักไปด้วย

ปีใหม่นี้ต้นปีมาเลย ได้งานเพียบ!! อีกตามเคย
ที่นี่จะเป็นแบบว่า ใครเคยทำได้ เอ็งก็ทำต่อไป
ไม่คิดจะเรียนรู้แลกเปลี่ยนอะไรกันเลย
ส่วนใครทำแล้วมีปัญหามาก นายก็ไม่ใช้
ก็มาสุมให้คนที่ทำแล้วไม่ค่อยมีปัญหา ...
งานของข้าพเจ้ายังดองไว้อยู่หลายเรื่องนะ

สงสัยถ้ามีรถขับ คงต้องกลับบ้านค่ำแบบที่ว่านั่นแหล่ะ
รอเคลียร์งาน เพราะตอนกลางวันไม่มีสมาธิในการทำงานมากนัก
ทั้งคนว่างงาน ก็เดินไปเดินมา
(แม่งเดินกันจัง! ถ้าหาเงินได้กับการเดินไปมา
มันคงรวยกันแล้ว)
นี่เงินเดือนออก หายไปหลายคน
ส่ะใจดีแท้ !!! ^___^

บางคนก็คุยตะแบงเสียงแข่งกัน เปิดเพลงลั่น
บางทีก็ต้องรับโทรศัพท์ทั้งของตนเอง และของผู้อื่น
ที่ไม่ค่อยอยู่ประจำที่ เข้ามาแทรกการทำงาน ฯลฯ
แล้วจะมีสมาธิในการทำให้งานเสร็จไหมล่ะนั่น!!

คิดแล้วเขียน :)V

วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2553

ฝันไกล ไปไม่ถึงสักที

ช่วงหลายวันมานี้ ที่บ้านข้าพเจ้าพูดกับข้าพเจ้าว่า
ในชีวิตเธอ คิดจะมีรถยนต์ขับกับเขาบ้างไหม?
ไอ้เราก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร เพราะมีรถบริการรับส่ง
บ้านก็อยู่ไกล๊ ไกลจากที่ทำงานมาก ๆๆๆๆๆ
ถ้ารถไม่ติด 10 นาที ก็ถึงแล้ว ^_^

เอ้! แล้วจะให้ข้าพเจ้ากระเสือกกระสนดิ้นรน
หาเงินมาผ่อนรถกันทำไมล่ะเน๊าะ!!
แถมวันหยุด ก็ไม่ได้ไปเที่ยวไหนไกล ๆ เลย
นอกจากห้างสรรพสินค้าแถวบ้าน
ซึ่งปั่นจักรยานไปได้

แต่นึกไปนึกมา มีอะไรที่เป็นของตัวเองมันก็ดีอยู่หรอก
แต่ถ้ามีรถยนต์ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงทีเดียว
ยิ่งรถใหม่ มีค่าประกันภัย ภาษีรถยนต์ประจำปีด้วย
นี่ไม่นับว่า ต้องมีเงินสำรองเติมน้ำมันให้เจ้ารถตัวดีด้วย
แถมน้ำมันเครื่อง เห็นคนที่ขับรถอยู่บอกว่าราคาแพงกว่า
น้ำมันที่รถกินอีก ไหนจะต้องดูแลรักษา
เงินสำรองเผื่อฉุกเฉินเพื่อต้องซ่อมด่วน ฯลฯ

แต่เมื่อวานพ่อมาพูดกับข้าพเจ้าว่าถ้ามีเงินผ่อน
จะดาวน์ให้ก่อน อู้ฮู่ ร่ำรวยมาจากไหนเนี่ยะ! :P
ชอบหลอกให้เราฝันอยู่เรื่อยเลย ....
เอ้า! ก็ฝันไปเรื่อยนั่นแหล่ะ จะได้มีความหวัง
เผื่อว่าสักวัน ฝันนั้นจะเป็นจริงบ้าง อิอิ ^__^

คิดแล้วเขียน :)V

รักแท้ต้องขอพ่อแม่

อ่านบทความของแม่ชีทศพร
เลยเก็บมาไว้ใน blog ตนเอง
เผื่อใครผ่านมาเจอจะได้มีประโยชน์
สำหรับผู้ที่ตามหารักแท้

เรื่องขนบธรรมเนียมโบราณ
ถือไว้ ก็ดีกับผู้กระทำเอง
การแต่งงานในสมัยนี้
เห็นแล้วว่า การหย่าร้างสูงมาก
ทั้ง ๆ คนสมัยนี้ รักกันเอง
เลือกกันเอง สมัยก่อน
ผู้ใหญ่จัดหาให้ แต่ก็รักกันดี
เรื่องบางเรื่องอ่านเจอก็ไม่คาดคิดเหมือนกัน
เช่น เรื่องสินสอด ที่ฝ่ายเจ้าบ่าว
ควรให้ยกให้ฝ่ายเจ้าสาว ห้ามเอาคืน
มิเช่นนั้น ลูกสาวของตนจะทำอะไรไม่เจริญรุ่งเรือง

อีกอย่างความพร้อมในเรื่องเงิน และหลาย ๆ เรื่อง
ก็เป็นปัจจัยเบื้องต้นในการกำหนดชีวิตคู่จริง ๆ
วันเริ่มต้นของการใช้ชีวิตคู่ หากเริ่มไม่ดีแล้ว
ก็คงมีปัญหาหลายอย่างให้แก้ตลอดชีวิต

สงสัยเรื่องนี้ต้องแอบไปถามพ่อกับแม่ข้าพเจ้าแล้ว อิอิ ^_^

คิดแล้วเขียน :)V
----------------------------------------------------
ศีลข้อที่ ๓ รักแท้ต้องขอจากพ่อแม่

“ห้ามชิงสุกก่อนห่าม”
“รักแท้ต้องอิงผู้ใหญ่”
“เข้าตามตรอก...ออกตามประตู”
ที่กล่าวมานั้นเป็นสุภาษิตสอนหญิงที่สอนให้ผู้หญิงรักนวลสงวนตัว
สอนให้ผู้ชาย รู้จักให้เกียรติสตรีและเห็นคุณค่าของค่าน้ำนมของแม่ฝ่ายผู้หญิง
นอกจากนี้ยังเป็น การป้องกันไม่ให้ผู้หญิงต้องทนทุกข์
จากความรักอันจอมปลอม
เพราะถ้าฝ่ายชายมีความรักแท้จริงแล้ว
จะต้องรวบรวมความกล้าเข้าไปพบกับผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง
เพื่อขออนุญาตในการคบลูกสาวบ้านนี้
ในฐานะคนรักจากผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง

แม่ชีทศพร กล่าวว่าเดี๋ยวนี้พอเด็กๆ โตเป็นวัยรุ่นก็เริ่มมีความรัก
สนอกสนใจเพศตรงข้าม มีแฟนก็อยากจะอยู่ใกล้ชิดซึ่งกันและกัน
บางคนก็ชิงสุกก่อนห่าม มีความสัมพันธ์กันระหว่างที่ยังเรียนหนังสืออยู่
โดยที่พ่อแม่ไม่รู้เรื่อง ซึ่งสุภาษิตโบราณแบบนี้
กลายเป็นคำสอนที่ใช้ไม่ได้แล้ว

หัวอกของผู้เป็นพ่อแม่ย่อมรักและห่วงใยลูกเป็นธรรมดา
กว่าแม่จะเลี้ยงดูลูกสาวให้เติบโตเป็นกุลสตรีที่มีคุณสมบัติของผู้หญิงที่ดี
เพียบพร้อมไปด้วยปัญญา มีมารยาท จิตใจโอบอ้อมอารี อ่อนโยน
รู้จักคิด มีความเข้มแข็ง สามารถเอาตัวรอดและเลี้ยงดู
ตนเองได้ในสังคมยุคนี้ นับเป็นเรื่องที่ยากเอาการ

ดังนั้นบ้านใดมีลูกสาว ผู้เป็นพ่อแม่ ก็ยิ่งห่วงใยมากเป็นพิเศษ
เพราะลูกสาวได้แต่งงานออกเรือนได้สามีที่ดีรักทะนุถนอม
เป็นที่พึ่งพาได้ พ่อแม่ฝ่ายหญิงก็จะสบายใจคลายความทุกข์

สุภาษิตคำว่า “ห้ามชิงสุกก่อนห่าม”
จึงเป็นการบอกว่าหากยังไม่ถึงวัยที่สมควรจะออกเรือน
หรือยังไม่มีวุฒิภาวะในการรับผิดชอบชีวิตเลี้ยงดูครอบครัวได้
ก็ยังไม่สมควรที่จะแต่งงาน

เพราะสังคมไทยแตกต่างไปจากสังคมตะวันตก
ที่แม้ลูก ๆจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
แต่สำหรับในสายตาของพ่อแม่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นห่วงลูกอยู่เสมอ
และลูกก็เปรียบเสมือนคนในปกครองของผู้เป็นพ่อแม่
นั่นหมายถึงลูกสาวแม้จะโตเป็นผู้ใหญ่
แต่ถ้าพ่อแม่ยังอยู่และเป็นห่วงใยอาทรต่อชีวิตความเป็นอยู่ของลูก
ก็แสดงว่า “หญิงสาวคนนี้ก็ยังเป็นลูกของพ่อแม่บ้านนี้”

การชิงสุกก่อนห่ามโดยไม่บอกกล่าวพ่อแม่
นอกจากจะเป็นเรื่องที่ทำร้ายจิตใจของพ่อแม่แล้ว
ในขณะเดียวกันก็เป็นการผิดศีลข้อที่ ๓ ด้วย เพราะเป็นการพรากลูกสาว
หรือมีเพศสัมพันธ์กับลูกสาวในปกครองของคนอื่นโดยไม่ขออนุญาตนั่นเอง

แม่ชีทศพร กล่าวว่า “ไม่ได้ห้ามคน ๒ คนไม่ให้รักกัน
โยมมีความรักน่ะไม่ได้ผิดหรอก

เรียกว่าคน ๒ คนไปรักกันยังไม่ผิดศีลข้อที่ ๓ แต่จะผิดศีลข้อที่ ๓
ก็ต่อเมื่อพ่อแม่ของ
ฝ่ายหญิงไม่พร้อมที่จะยกลูกสาวให้ไปแต่งงาน
ถ้าพ่อแม่ไม่พร้อมให้
แล้วลูกสาวไป
ชิงสุกก่อนห่ามไปแต่งงานถึงเรียกว่าผิดศีลข้อที่ ๓

ความไม่พร้อมของทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชายที่จะแต่งงาน
มันนำมาซึ่งปัญหาหลาย ๆ
เรื่องทั้งทางโลก ทางธรรมและกรรม

สมมติว่าพ่อแม่ฝ่ายหญิงอนุญาตให้แต่งงานเนื่อง
จาก
ความไม่พร้อมในทางการเงิน
ก็เริ่มก่อให้เกิดปัญหาตั้งแต่ก่อนแต่งงานแล้ว


พอจะแต่งงานฝ่ายลูกเขยก็ไม่พร้อม
ก็ต้องไปหายืมเงินมาจากคนอื่นเพื่อจะได้มีเงินจัดงานแต่งงาน
โดยยืมเงินมาเป็นแสนบาทเพื่อมาเป็นเงินสินสอดทองหมั้นให้
แม่ยายจะได้ไม่อายคนอื่น
พอแต่งงานเสร็จฝ่ายลูกเขยก็เอาเงินคืน
จากแม่ฝ่ายหญิงแล้วรับเอาตัวเจ้าสาวไป
ทีนี้ลูกสาวของเราก็ต้องไปเป็นคนของเขาทั้งชีวิต
หรือบางทีแม่ฝ่ายหญิงไม่อยากจะเห็นลูกสาวตนเองไปลำบาก
ก็คืนเงินที่เป็นเงินสินสอดที่ทางฝ่ายลูกเขย
มอบให้ตนเองเอาคืนให้กับลูกสาว

แม่ชีทศพร บอกว่า ผู้เป็นแม่เจ้าสาวห้ามคืนเงินคืนให้กลับลูกเขย
เพราะเงินสินสอด
ก้อนนี้คืนเงินค่าน้ำนมของแม่เจ้าสาว
ที่แม่เจ้าสาวจะต้องเก็บเอาไว้ ถ้าไม่เก็บ ก็ผิดศีล
ข้อ 3
มันจะส่งผลให้ครอบครัวของลูกสาวเราไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต
ไม่มีความ
รุ่งเรือง
ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นเพราะการเอาเงินคืนไปให้ลูกเขย
ก็เหมือนกับทำพิธีกรรมหลอกๆ หลอกผีปู่ย่าตายาย
หลอกว่าจะมาขอลูกสาวแต่งงาน
วันแรกของการแต่งงานก็เริ่มต้นด้วยความหลอกลวง
แล้วชีวิตของคู่สมรสใหม่จะเป็นมงคลได้อย่างไร

เพราะหลอกทุกๆคนที่มาร่วมงานตั้งแต่วันที่เป็นมงคลแล้ว
ถ้าแม่รักลูกสาวก็จะต้องไม่คืนเงินสินสอด
จำเอาไว้ว่าอย่าทำให้เรื่องนี้เป็นเพียงพิธีกรรมหลอก
ถ้าฝ่ายเจ้าบ่าวมีเงิน
เท่าไรก็ขอให้ทำเท่านั้น
เจ้าบ่าวมีเงินเพียง 500 ก็ให้ 500 บาททำอย่างนี้จะดีกว่า

ขอให้มีความซื่อสัตย์กับครอบครัวฝ่ายหญิงและตนเอง
ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งในวันแต่งงาน
ฝ่ายเจ้าสาวจะชอบยืมของมาใช้ในวันแต่งงานเช่น

ยืมรองเท้า ยืมชุดแต่งงาน เครื่องประดับ เป็นต้น
การหยิบยืมมีความหมายว่าไม่มีการหลุด
หนี้
นี่เป็นรายละเอียดปลีกย่อยที่ควรจะรู้

และถ้าคู่สมรสไหนเคยทำอย่างนั้น ก็ให้กลับไปหาพ่อแม่ของเรา
ไปกราบท่านแล้วบอกกับท่านว่าในตอนที่เราได้แต่งงานมีเรือน
หากทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวเคยทำความทุกข์ใจอะไรๆไว้กับพ่อกับแม่มา
เราขออโหสิกรรมจาก
ท่านทั้งสองคน นี่จึงจะไม่ผิดศีลข้อที่ 3

บทความจาก : http://www.thossaporn.com

วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2553

สถานการณ์เป็นที่น่าพอใจ

หลายวันมานี้ มัวแต่แก้ไขงาน ที่ค้างคาให้เรียบร้อย
ต้องลุ้นกันหน้าตั้ง เพราะใกล้ dead line ของงาน

ถ้าไม่เสร็จต้องเจอปัญหาใหญ่ตามมาอีกหลายระรอก
เพราะต้องเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน
งานเก่า ก็มีปัญหา คาราคาซังมานาน
งานใหม่ ก็มาจ่อคิวให้ดำเนินการ
เครียด ๆ ๆ แต่วันนี้หายเครียดหน่อย
เพราะงานผ่านไปด้วยดี
คนที่ตรวจงานให้ ก็อารมณ์เอาแน่นอนไม่ได้
บทจะดีก็ดี๊ ดี ... ข้าพเจ้าเลยเป็นที่จับตามอง
เพราะไม่ค่อยโดนพี่คนนี้แรง ๆ กับเขาสักที

เพราะเคยเถียงอยู่พักนึง ข้าพเจ้าก็ไม่ยอมเหมือนกัน
555 คนเราราศีเอาเรื่องบ่งบอก ....:))

มาไม้แข็ง เจอไม้อ่อน ล่ะเสร็จทุกราย!!! อิอิ
พวกผู้ชายระวังไม้นี้ของผู้หญิงให้ดี ๆ
เพราะจะตกม้าตาย คำหวาน ๆ มาเยอะแล้ว


นี่แหล่ะน๊า! มารยาหญิง เพิ่งมีใช้ก็งานนี้แหล่ะ
ทั้ง ๆ ที่ในใจนี่ ตรูด่ามันไปหลายคำแล้ว 555 :P

คนเขาไม่ชอบคำพูดแรง ๆ ก็ต้องกัดฟัน
พูดจาดี ๆ กับเขาให้งานมันเดินได้ ไปได้
แต่ไม่ใช่ประจบ หรือทำดีเฉพาะหน้า
คนเราแค่ใช้คำพูดดี ๆ อย่าใช้อารมณ์งานก็ผ่านไปด้วยดี

บางคนแข็งมา เราแข็งตอบ ก็พัง!!
แถมอาจเจอนอกรอบแบบไม่รู้ตัว ล่ะยุ่งเลย
อยู่ในสังคม ต้องน้ำขุ่นไว้ใน น้ำใสไว้นอก
(อันนี้ผู้ใหญ่สอนมานานแล้ว)
แต่ทำไม่ค่อยจะได้ และไม่ค่อยได้งัดมาใช้ด้วย
เพราะมันไม่ใช่นิสัยตนเอง


เขาถึงมีสุภาษิต ดังที่ว่า
"ปากเป็นเอก เลขเป็นโท"

และ

"ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์
มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต
แม้นพูดชั่วตัวตายทำลายมิตร
จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจาฯ"

อันนี้ล่ะใช่เลย!!!
ข้าพเจ้าทำลายมิตรโดยไม่รู้ตัวมาหลายครั้งแล้ว
เพราะพูดไปตามที่คิด
มิตรเลยหายยยยยย หมด เลยยยยย

อิอิ ไปพักผ่อนเอาแรงลุยต่อดีกว่า

คิดแล้วเขียน :))V

วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2553

เครียดคน มากกว่าปัญหาของงาน

เมื่องานมีปัญหา แต่สภาวะแวดล้อมในที่ทำงาน
ไม่เอื้ออำนวยในการแก้ปัญหาแต่อย่างใด
กลับสร้างปัญหา และภาระให้กับข้าพเจ้ามากกว่า
....เรื่องงานค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ แก้ได้....
แต่ถ้าสภาพแวดล้อมที่ทำงานในตอนนี้
เหมือนโดนแตะถ่วงยังงัยไม่รู้

ณ ขณะนี้
คนรู้มาก คือคนที่ทำงานหนักมาก ...
แต่บางคนรู้ แต่ทำเป็นไม่รู้
เพราะตนเองจะได้ทำงานน้อย ๆ

ไม่รู้ว่า เมื่อไรข้าพเจ้าจะหลุดพ้น
วงจรอุบาทว์นี้สักที!!!

เครียด!!

คิดแล้วเขียน :(

วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2553

ความฝันบอกอะไรเราได้

ข้าพเจ้าเป็นคนชอบฝัน (ไม่ใช่แค่ฝันกลางวัน)
ฝันทุก ๆ คืนที่เราหลับตาลง
เหมือนสภาวะจิตทำหน้าที่บางอย่าง
อาจจะได้รับข้อมูลบางอย่างมา
และบันทึกลงในจิตใจ ไม่ว่าวันนั้น
จะทำดี หรือทำไม่ดี จิตจะเป็นตัวฟองน้ำดูดสิ่งเหล่านั้นเข้าหาตัว
หากเราคิดอะไรไม่ดี หรือทำสิ่งแย่ ๆ สภาวะจิตของเราก็จะรับ
สิ่งนั้นเข้าหาตัวด้วยเหมือนกัน (เหมือนกฎแรงดึงดูด)

บางครั้ง ความฝันของเราทุกคืน ๆ
มันมีนัยยะบางอย่าง เป็นรหัสแห่งความฝัน
ที่เกิดขึ้นเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลก
ข้าพเจ้าฝันอะไรหลาย ๆ อย่างมักจะแม่น
(เว้นแต่ตัวเลข ที่นำมาซื้อหวย)
ไม่เคยถอดรหัสเป็นตัวเลขได้ตรงเลย อิอิ :))
ไม่งั้นป่านนี้ รวย นานแล้ว ^__^

ส่วนมากจะเกี่ยวกับเหตุการณ์บางอย่าง
หรือในสิ่งที่ข้าพเจ้ากังวลใจ หรือแม้กระทั่งปัญหา
ในชีวิตประจำวัน เหมือนความฝันบอกเหตุการณ์ของข้าพเจ้า
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อก่อน ตอนเรียนบัญชี
ขณะนั้น ข้าพเจ้าทำงานแล้ว แต่ต้องเก็บชั่วโมงฝึกงาน
แล้วไม่รู้จะเก็บที่ไหน อย่างไร ก็นึกว่า จะไปหาผู้ตรวจสอบบัญชี
ได้รับอนุญาตที่ไหนมาเซ็นต์รับรอง การผ่านงานของข้าพเจ้า
ให้ทางมหาวิทยาลัยได้ ....คิดอยู่นานเลยทีเดียว...
วันนึงก็ฝันนี่แหล่ะ ว่าไปหาป้าตัวเอง ซึ่งตอนนั้น
ป้าบอกว่า ทำไมข้าพเจ้าไม่เปิดประตูเข้ามาหาเขาเอง

จากนั้น ก็เล่าเรื่องที่ต้องการผู้ตรวจสอบบัญชี
เซ็นต์รับรองการผ่านงานให้อาที่อยู่ด้วยฟัง
ก็เลยไปขอคำแนะนำจาก ป้าที่ฝากข้าพเจ้าทำงานแทน
เขาเลยบอกข้าพเจ้าว่า ก็ป้านี่แหล่ะ เป็นผู้ตรวจสอบบัญชี
อ้าว! ...ทำไมฝันมันตรงอย่างนี้หว่า!!!
(นึกในใจ เพราะไม่เคยทราบว่าป้าคนนี้ทำงานนอกเวลาด้วย)

บางอย่างเมื่อข้าพเจ้าทำอะไร ติดขัด
ก็เหมือนมีความฝัน หรือลางสังหรณ์ช่วยชี้ทางให้ข้าพเจ้า
อาจเป็นเพราะข้าพเจ้าเป็นคนใจบุญ และไม่เป็นคนละโมบด้วยกระมัง
เรื่องนี้ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะเจอกับตัวข้าพเจ้าเองหลาย ๆ เรื่อง
เพราะฉะนั้น การทำความดี ไม่สูญเปล่า
หรือแม้การทำความเลว ก็ไม่สูญเปล่าเช่นกัน
ทำสิ่งใด มักได้สิ่งนั้นตอบแทน
ดุจเป็นเงาตามตัว บุคคลคนนั้นแล

และคืนก่อนก็ฝันว่า มีคนรักสิ่งของที่ข้าพเจ้าให้
มากกว่าตัวข้าพเจ้าเสียอีก
(สงสัยทำดีกับข้าพเจ้าเพื่อหวังผลตอบแทนนั่นเอง)
อันนี้เท็จจริงประการใด ...ครั้นจะไปบอกเจ้าตัวคงไม่ได้หรอก
ของแบบนี้ ต้องรู้ได้ด้วยใจของตนเอง :))

วันนี้ที่เขียนบทความนี้ ประมาณว่าแนะนำแก่ทุกท่านที่อ่าน
หากทำงานแล้วมีปัญหา หรือมีอุปสรรค
ลองทำตามความฝันดูบ้าง แล้วจะนึกไม่ถึง!!
(ต้องทำดีเสียก่อน แล้วฝันจึงจะแม่น)

บางคนอาจจะมีข้อโต้แย้ง เพราะจำความฝันตนเอง
ไม่ได้สักที ว่าคืนนึงฝันอะไรบ้าง เพราะตื่นขึ้นมาลืมหมด :))
อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาวะจิตของแต่ละคน
จะว่าไป ก็เป็นพรสวรรค์อย่างนึงของแต่ละคนที่มีไม่เหมือนกัน


ปล. บทความนี้ บางคนอาจจะเชื่่อ
หรือไม่เชื่อโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านก็แล้วกัน

คิดแล้วเขียน :)V

วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2553

ช้า ๆ ได้พร้าเป็นสนิม :))

ช่วงนี้ยุ่งอยู่กับการจัดสถานที่ทั้งที่ทำงานและบ้าน
และวันเสาร์ก็ต้องไปสะสางบางส่วนที่ทำงานด้วย
ทั้งงานที่ทำงาน งานส่วนตัว และส่วนรวมของบ้าน

ทำให้ไม่ค่อยมีเวลาเข้า net การโพสรูปที่ไปเที่ยวมา
อาจทำให้ล่าช้ากว่าปรกติ (เริ่มลืมแล้วเหมือนกัน อิอิ ^_^)
ก็คงต้องแบ่งภาคในการแยกทำงานอ่ะนะ มีแค่ 2 มือ
กับหัวเดียว(กระเทียมลีบ) มานานแล้ว
ทำอะไรก็อาจดูอืดอาด ยืดยาดไม่ทันใจวัยโจ๋ซักเท่าไร
แต่อะไร ๆ ถ้าไม่เกินกำลังและความสามารถข้าพเจ้า
ก็ทำได้อยู่หรอก ไม่อยากเป็นประเภทเตี้ยแล้วยังอุ้มค่อมอีก
หลาย ๆ เรื่อง ก็ต้องปล่อยให้มันเป็นไปเองบ้าง
ขืนทำหลาย ๆ อย่างเกินกำลังตนเองก็ไม่ดี
ทั้งสุขภาพกาย และใจด้วย

ช้า ๆ ได้พร้าเป็นสนิม อิอิ :))
ก็บอกแล้วไง ว่านี่คือ ตัวข้าพเจ้าเอง
ต้องอยู่กับคนใจเย็น
เพราะถ้าใจร้อน ก็คงไม่มีใครทนอยู่ข้าพเจ้าได้นานเหมือนกัน 555
ไปทำงานต่อและ ....


คิดแล้วเขียน :))V

วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2553

สวัสดีปีใหม่ผู้ใหญ่

วันนี้มีพี่มาชวนไปบ้านผู้ใหญ่
ที่เคยทำงานร่วมกันมาแต่เกษียณไปแล้ว

ช่วงหลังข้าพเจ้าไม่ได้ติดต่อกับพี่เขา
(นึกงัยมาชวนวันนี้?) และถ้าข้าพเจ้าไปคงไม่สนุก
(ทั้งเขาและเรา 555) เขาคงชวนตามมารยาท
ก็ปฏิเสธไปตามมารยาทเช่นกัน

ห่างมาตั้งนานแล้ว ต่อคงไม่ติดหรอก
อีกอย่างเบื่อสายตาหลาย ๆ คน มันคงมองด้วยสายตาว่า
อีนี่มาได้งัย ตรูไม่ได้เชิญ ...
(เคยโดน ตรูถึงได้ออกจากวงนั้นอย่างถาวรงัย)
^_^


ด้วยความที่ยังมีเชื้อผู้ดีอยู่ในตัว
หน้ายังไม่หนาพอ ที่จะทำตัวกลมกลืนไปกับเขา
ก็เลยขอตัว กินข้าวอยู่ที่ห้องตามปรกติ

และที่สำคัญ วันนี้เป็นวันที่พี่ที่ห้องทำงานข้าพเจ้าหลาย ๆ คน
นัดกันไปอวยพรปีใหม่ นายเก่า ที่ย้ายไปอยู่ตึกอื่น
นี่สิ สมควรจะไป ... เพราะนายคนนี้ ช่วยเหลือข้าพเจ้ามาตลอด
จนหลาย ๆ คน แบบอีพวกมือไม่พาย เอาปากจ่อบาทา
หาว่า กิ๊กกะนาย ซึ่งนายคนนี้ ถ้าไม่รู้จักจริง ๆ
เขาไม่ได้เจ้าชู้แบบ คลำไม่มีหาง
ของแบบนี้ อยู่ที่ใครจะเล่นกะแกด้วยหรือเปล่า?

บางคนซะอีก ดูเงียบ ๆ หงิม ๆ หรือดุร้าย
อีนี่แหล่ะ แอบย่องหาเมียชาวบ้าน
(ไม่ใช่เรื่องของเรา อย่าไปพูดถึงดีกว่า
เอาเป็นว่า ถ้าเรื่องไม่มาหาเรา
เราอย่าเอาตัวไปหาเรื่องดีม๊ะ!) ^__^

วันนี้บางคนก็ไป บางคนก็ไม่ไป อวยพรนายเก่า
หลาย ๆ คนที่มีอคติกับนายคนนี้ เขาก็ไม่ไป

ก็ยังมีอีพวกรู้ข่าว (คงรู้จากอีกาคาบไปบอก)
ไปคอยยืนจ่ออยู่แถวนั้น ดูว่าใครมาอวยพรนายบ้าง
เห้อ ๆ พวกนี้แหล่ะ ตัวหาข่าว ทำทีมาคุย แล้วมันก็เอาไปนินทา
สังคมมนุษย์เป็นแบบนี้ ใครจะอย่างไร ที่ไหน ขอตรูสู่รู้ไว้ก่อน
เดี๋ยวไม่มีเรื่่องเม้าท์ในกลุ่ม :)))

ข้าพเจ้านับถือนายคนนี้ เพราะนายเขามีน้ำใจแก่ลูกน้อง
ไม่คิดเอาเปรียบ หรือเป็นคนเห็นแก่ได้
หรือชอบแต่พวกประจบสอพลอ

ตั้งแต่ข้าพเจ้าเข้าทำงานมา
นายคนนี้ช่วยเหลือข้าพเจ้ามาพอสมควร
ให้ข้าพเจ้าได้แสดงฝีมือในการทำงานตั้งแต่เริ่มเข้า
ตำแหน่งหน้าที่ที่มีเกียรติมาตลอด
จนเพื่อนรุ่นพี่ หลายคน อิจฉา รุ่นข้าพเจ้าที่เข้ามา
นายคนนี้ สร้างเด็กรุ่นใหม่ ๆ ได้เสมอ

กาลเวลา สามารถบ่งบอก
นิสัยใจคอของมนุษย์ได้เสมอ

คิดแล้วเขียน :)V

วันพุธที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2553

รู้สึกผิด

วันนี้ ด้วยความรีบร้อนและด้วยความตั้งใจดี
หยิบสลิปเงินสมาชิกสหกรณ์ของเพื่อนที่่นั่งใกล้ ๆ
และของตนเอง แต่ด้วยความที่เหมือนกันไม่ทันดูชื่อ
แกะของเพื่อน แทนที่จะเป็นของตนเอง
ตกใจเล็กน้อย ที่เห็นเงินในใบสลิป
ถูกหักเพราะการกู้ยืมวงเงินเป็นล้าน
กะว่าจะโทร.ไปต่อว่า สหกรณ์
ที่ไหนได้ ข้าพเจ้าสะเพร่าเอง
ดันมาเปิดของเพื่อน รีบขอโทษเขาใหญ่
ตกใจด้วย ตรูไม่เคยกู้เงินเป็นล้านสักหน่อย
มาได้ยังงัยเนี่ยะ ...เหลือบไปมองชื่อ

โล่งอก แต่ก็รู้สึกผิด เหมือนเป็นการเสียมารยาท
ที่ไปดูฐานะการเงินของคนอื่น ซึ่งเรื่องบางเรื่อง
เราต้องมีมารยาทไว้บ้าง ถ้าเจ้าของเขาไม่อนุญาต
อย่าได้ไปหยิบฉวย สิ่งของคนอื่นมาเป็นของตนเด็ดขาด
แม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อย เพราะสิ่งเหล่านี้
จะเพาะบ่มนิสัย ชอบเอาของคนอื่นมาเป็นของตนเอง
โดยไม่รู้ตัว หรือไม่เจตนา ผิดศีลข้อที่ 2 เชียวนะ
หากกระทำผิดเรื่อย ๆ จนเป็นนิสัย จะไม่รู้สึกละอายใจเลย
และต่อไปก็กล้าที่จะเอาแฟนของคนอื่นมาเป็นของตนเองได้เช่นกัน

เรื่องของศีล เป็นเรื่องละเอียด และสะอาด
อยากให้ตัวเองพ้นมลทิน หรือข้อครหาต่าง ๆ
ต้องหมั่นเตือนตัวเองบ่อย ๆ ว่า
สิ่งของ ของคนอื่น ที่เจ้าของเขาไม่รู้ เขาไม่อนุญาต
อย่าได้หยิบฉวยมาเชียว มิฉะนั้น ต่อไปในอนาคต
อาจจะมีใคร มาหยิบฉวย ของของเราที่เรารัก
หรือของที่เราหวงได้ตลอดเวลา


ด้วยเหตุนี้ วันนี้ข้าพเจ้าเลยค่อนข้างรู้สึกละอายใจตนเอง
ที่ไม่ระมัดระวัง ด้วยความหวังดี แต่ก็เหมือนตนเองสะเพร่า
คนอื่นอาจจะคิดว่า เรามีเจตนาอยากจะดูของคนอื่นด้วยก็ได้
ก็ซวย 2 เด้ง! คือนอกจากตัวเองจะรู้สึกผิดในใจแล้ว
คนอื่นที่เขาไม่เข้าใจเรา เขาก็คิดว่า เรามีเจตนาอยากดูของคนอื่น
ด้วยเช่นกัน

คิดแล้วเขียน :)V

วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2553

วันจันทร์ แสนเหนื่อย

ช่วงนี้เห็นงานบนโต๊ะ แล้วรู้สึกเบื่อ เหนื่อย ๆ
ทั้ง ๆ ที่เป็นวันจันทร์ คงเป็นเพราะเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา
ข้าพเจ้าได้เก็บของจัดบ้านไปบางส่วนบ้างแล้ว
หลังจากที่รกมานาน และผลัดไปหลายครั้ง
นี่ยังไม่เรียบร้อยดี ส่วนที่ทำงาน
หลังจากไปเที่ยว งานก็กองรอเคลียร์อยู่
ช่วงนี้เหนื่อยจริง ๆ วันนี้ยังไม่อยาก post
เล่าเรื่องที่ไปเที่ยว ...ยิ่งโตก็ยิ่งมีภาระมากขึ้น

แถมน้องญาติ ๆ ก็มาขอคำปรึกษาอยากหา
งานใหม่ทำ เพราะที่ทำอยู่ปัจจุบันเครียด
ลูกน้องไม่รับผิดชอบ เจ้าตัวเป็นหัวหน้า
มีอะไรก็ต้องรับภาระปัญหาของลูกน้องหมด
เลยอยากลาออก ... จริง ๆ แล้วเราก็ต้องมานั่งนึกดูนะว่า

การที่เราได้เงินเดือน หรือตำแหน่งสูง ๆ
เพราะเราต้องความรับผิดชอบที่เยอะขึ้น
จะให้ทำงานแบบสบาย ๆ แบบตอนเข้างานใหม่ ๆ ไม่ได้หรอก
สมัยนี้ บริษัทคงไม่โง่จ้างคนเงินเดือนเป็นหมื่น
มาทำงานแบบเสมียน สบาย ๆ หรอก
สู้จ้างเด็กฝึกงาน จบใหม่ ๆ ไม่ดีกว่าหรือ?
เงินเดือนถูกดี (แต่ที่ทำงานเราเป็นแห่ะ!)


วันนี้เราไม่เป็นหัวหน้า
ถ้าอีกหน่อยเราอาวุโสกว่าเขา
เขาก็ต้องให้เราเป็นอยู่ดี อยู่ที่ว่าเราจะบริหารงาน
และบริหารคนอย่างไร ให้เขาทำงานให้เราได้

ไม่ใช่เจอปัญหาก็วิ่งหนี พี่สาวมันเทศน์ให้ฟังซะยาว
(ทำอย่างกะว่าเป็นปัญหาเรางั้นแหล่ะ อิอิ ^_^)

ยิ่งสมัยนี้ คนยิ่งหางานกันทำ อะไรที่มีปัญหา
ก็ต้องแก้ไขให้ตรงจุด ลูกน้องไม่ทำงาน
ก็ต้องมีวิธีการจัดการซิ ไม่ใช่ลาออก
บางคนไม่ได้เป็น ก็ใช้วิธีการไซโคคนรอบข้าง
ทดสอบภูมิและปัญญาของเรา
เห็นไอ้นี่อ่อนหัด แหย่ ๆ มันก็ไหวแล้ว

ถ้าเราหงอ ลูกน้องมันก็ได้ใจ
การที่เราได้เป็นหัวหน้า แสดงว่าเราต้องมีส่วนดี
มีความสามารถที่คนอื่นไม่มี ความรับผิดชอบนั้นเป็นเงาตามตัว
ในเมื่อเราทำงานมาหลายปี เรามีประสบการณ์มากกว่าคนอื่น
เพราะฉะนั้น อย่ากลัว และอย่าหนีปัญหา ให้แก้ที่ตรงจุด

ลูกน้องไม่ทำงาน ไม่ใช่เราไปทำงานแทนลูกน้อง
คุณก็เหนื่อยตลอดชีวิต การใช้คนอื่นทำ ต้องเผื่อใจไว้ด้วย
หากคุณไม่อยากเหนื่อย และหนักอยู่คนเดียว
ต้องกระจาย ภาระหน้าที่ให้แต่ละคนทำ
แต่อย่าไปหวังว่าคนอื่นจะทำได้เต็ม 100%
แค่ 80% นี่ ก็ถือว่าดีมากแล้ว

นำปัญหาของน้องคนนี้ไปเล่าให้พี่สาวฟัง
เสมือนหนึ่งได้ความรู้เพิ่มอีกด้านด้วย
(ก็พี่เรา เขาเป็นหัวหน้าคนมาเยอะแล้ว
ก็เจอหลายรูปแบบ นำมาเล่าแบ่ง ๆ กันฟัง :)))

บางที การที่เราเจออะไรยาก ๆ
ก็เป็นบททดสอบความสามารถของชีวิตเราได้ดีเหมือนกัน

แต่วันนี้เหนื่อยจริง ๆ
ไปอุ๊ก(นอน)ดีกว่า

คิดแล้วเขียน :)V

วันศุกร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2553

หัวโขน - อารมณ์หญิง

วันนี้ ที่ทำงานข้าพเจ้าไปจัดเลี้ยงปีใหม่ตอนกลางวันที่ข้างนอก
วันนี้ พี่ ๆ หลายคนอารมณ์ไม่ดี เพราะเรื่องไร้สาระ
จัดคนลงรถไม่ลงตัวกัน
เลยพลอยให้ข้าพเจ้าเกือบถูกหางเลขไปด้วย
เพราะขับรถหาร้านไม่เจอ ด้วยความที่เจ้านายผู้หญิงหงุดหงิด
กับลูกน้อง และเพื่อน เลยไม่ได้ฟังว่า ทางไปร้านยังงัย
รีบจ้ำเดินออกไปทันที เอาล่ะทีนี้ ไปกันแค่ 2 คน
จำชื่อร้านก็ไม่ได้ ไม่รู้ทางอีกแน่ะ ก็ต้องโทร.หาเพื่อน
ที่อยู่รถคันอื่น ออกมาเป็นคันแรก แต่เกือบถึงทีหลัง
เพราะมัวแต่ทิฐิ อารมณ์โกรธนี่ ไม่เข้าใครออกใครเลย

ไม่ทันฟัง ก็เลยไม่รู้ และแต่ละคนก็โกรธ กระทบกัน
ในเรื่องไม่เป็นเรื่อง ...แต่โชคยังดีหน่อย
ที่ข้าพเจ้าไม่ได้มีอารมณ์ร่วมไปกับเขาด้วย

เพราะข้าพเจ้าควรจะอารมณ์เสียกับเรื่องงาน
ของตนเองที่มีปัญหามากกว่า ในเรื่องไม่เป็นเรื่องอีกเช่นกัน
พอมาเจอเพื่อน ๆ มีอารมณ์ไม่ดีกระทบใส่กัน
ทำให้ลืมเรื่องของตนเองเสียสนิท

พวกผู้หญิงเวลาทำงานนี้ มักจะจุกจิก
ชอบเก็บเอาเรื่องไร้สาระมาเป็นอารมณ์
บางคนตำแหน่งสูงกว่าอีกคน
ก็เก็บมาคิดแล้วว่า ทำไมชื่อฉันอยู่ล่างกว่าอีกคน

เรื่องไร้สาระไหมนี่!
และโทรมาต่อว่าข้าพเจ้า หน้าห้องเลขานาย
หาว่าหน่วยงานข้าพเจ้าแกล้งเขา
เอาชื่อเขามาอยู่ด้านล่างได้งัย
ทั้ง ๆ ที่เขาตำแหน่งสูงกว่าอีกคน

โอ๊ย! จะบ้าตาย! ทำงานกับคนหมู่มาก
จะมานั่ง check รายชื่อทุกคนได้อย่างไรว่า
ใครตำแหน่งใครสูงกว่า ใครจบปริญญา
ตาย...ถ้าทำแบบนั้น คงไม่ต้องทำงานกันแล้ว
นายเราก็พลอยเป็นไปกับเขาด้วย

งานเยอะจะตายอยู่แล้ว จะให้เรา check รายตัวได้งัย
มันอยู่ที่ต้นสังกัดหน่วยงานเขาเอง
ส่งเรื่องมาให้เราอีกที เรื่องภายในหน่วยงานตัวเอง
ยังจัดการไม่ได้ มีอะไร ๆ
ก็โยนเหมามาว่าทางหน่วยงานอื่นทำผิดได้ยังงัย

ถอดยศ ถอดตำแหน่งออก ก็เท่า ๆ กันแล้ว
คุณค่าของตนเอง อยู่ที่ผลงานมากกว่า
ไม่ใช่หัวโขนที่สวมอยู่
คนไทยยังติดนิสัย เจ้าขุนมูลนาย
เลือกชั้นวรรณะ จนไม่ต้องทำงาน
ประเทศไทย จึงต้องตามหลังฝรั่งอยู่
ก็คงเป็นส่วนหนึ่งด้วยนั่นแหล่ะ


ไร้สาระจริง ๆ กับพวกผู้หญิง!
บางทีก็เบื่อ ๆ เหมือนกันนะ
ในเรื่องงาน น่าจะแบ่งแยกได้
แต่พวกคุณเธอ ก็ชอบเอาเรื่องไม่เป็นเรื่อง
มาเป็นสาระได้ตลอดเวลา ...จะบ้าตาย!

โชคดีหน่อย ที่ข้าพเจ้าจับฉลากได้รางวัลเป็นที่พอใจ
คือ ไดร์เป่าผม (สงสัยเตรียมตัวสำหรับงานยุ่งจนหัวบาน :))
แถมสีชมพู หวานแหว๋ว
และได้เหมือนพี่ที่ไปด้วยกันอีกต่างหาก
คู่เหมือนกันจริง ๆ ประมาณว่า มาด้วยกัน
ก็ได้เหมือนกัน


พักนี้ได้ของขวัญปีใหม่ เกี่ยวกับศีรษะ
สงสัยจะให้เราหัดแต่งตัวให้สวย ๆ มั้ง
คงสวยไม่พอ อิอิ ^__^

คิดแล้วเขียน :)V

วันอังคารที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2553

สังคม

ช่วงปีใหม่ ชีพจรลงเท้า
นั่งติดที่ไม่ได้นาน ต้องลุกไปโน่นมานี่
ทำธุรกิจ ติดต่อประสานงา(น) กับบุคคลอื่น ๆ ตลอด
วันนี้ก็ไปอวยพรเจ้านายใหญ่
เดี๋ยวปีใหม่ก็จัดเลี้ยงนอกสถานที่อีก
ต้องเสียเงินคนละ 300 บาท ค่าจับของขวัญ
เดือนนี้ยิ่งจน ๆ อยู่ โบนัสออกก็ใช้หนี้หมด ^_^

เอ้อ! เท่าไรจึงจะพอ??
หาได้มากก็ใช้ได้มาก
คนเรามีเท่าไรก็ไม่พอจริง ๆ นะ
เมื่อก่อนเงินเดือนตอนทำงานใหม่ ๆ 5000 กว่าบาทเอง
ตอนนั้นทองยังไม่ถึงหลักหมื่น (ทำไมพอใช้นะ?)
คงเป็นเพราะ แรก ๆ ทำงาน สังคมยังไม่กว้าง
คนยังไม่รู้จัก พอมีสังคม รายจ่ายมันก็เพิ่มขึ้นตามตัว
เพราะฉะนั้น ลด ๆ สังคม และการรักษาหน้าลงบ้างก็ได้
เราจะได้เหนื่อยน้อยลง มีเวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น
ยิ่งโต หรือมีตำแหน่งสูงเท่าไร ก็ต้องมีสังคมที่กว้างขึ้น
เพราะเราต้องติดต่อผู้คนมากมาย

หากคนเราไม่รักหน้าตัวเองมากนัก
ชีวิตคนไทย คงอยู่ได้อย่างพอเพียงจริง ๆ :))

วันนี้เข้า web ภาพไม่ได้อีกแล้ว
สงสัยคงจะรอให้ภาพเสร็จตอนช่วงตรุษจีนมั้ง ^_^

คิดแล้วเขียน :)V

วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2553

นี่แหล่ะตัวฉัน

ต้นปีใหม่มักจะมีคำทำนายของหมอดูยี่ห้อต่าง ๆ มาเสมอ
ซึ่งถ้าดี ก็ทำให้เรากระดี๋กระด้า ถ้าไม่ดี ก็ให้คิดได้มากเหมือนกัน
หมอดูนี่ ก็มีอิทธิพลต่อคนในประเทศไม่เบา
บางคนทักทายซะ จนไม่มีอะไรดีเลยหรือยังงัย?

ยิ่งเฉพาะเรื่องการเมือง เห็นทายแย่ทุกปี
บางครั้งอ่านหรือฟัง ก็ห่อเหี่ยว
เลยทำให้คิดว่า อะไรมันจะเกิดมันก็ต้องเกิดล่ะนะ

หรือหมอดูทายว่า แฟนจะมีกิ๊ก วันทั้งวัน
ก็คอยตั้งหน้าตั้งตาจับผิดแฟนอยู่นั่นแหล่ะ!
บางคนก็หาเรื่องมาเป่าหูเข้าอีก
เห็นคนอื่นอยู่แบบสงบ ๆ ไม่ได้
รู้สึกมันจะขาดใจ เสียตรงนั้น :))

แต่ปีนี้ ราศีข้าพเจ้าหมอดูให้ระวังเรื่องปาก
ห้ามแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ
มิฉะนั้นอาจจะทะเลาะกับคนรอบข้างได้ง่าย
แต่ก่อนอดกลั้นได้ ระยะหลัง ๆ มันทนไม่ไหว
อะไรที่ไม่ใช่เรา มันทำไม่ได้ ขัดกับความรู้สึกตนเองไม่ได้
คิดอย่างไรก็พูดไปแบบนั้น คนรอบข้างบางคนรับไม่ได้ก็มี

คนบางคนก็ชอบให้เราจะเป็นใครก็ไม่รู้
ก็ตลกดีนะ มาเปรียบเทียบว่า ทำไมไม่ทำเหมือนคนนั้นล่ะ คนนี้ล่ะ
ก็ถ้ามันดีนัก มาคบกะตูทำไมฟร่ะ ก็ไปกับมันดิ!
(นี่แหล่ะ หมอดูถึงให้เตือนเรื่องระวังปากงัย อิอิ ^__^)


ข้าพเจ้ากับเพื่อนบางคน คิดเห็นไม่เหมือนกัน ก็ขัดแย้ง
ทะเลาะกันบ่อย ๆ ก็มี แต่ข้าพเจ้านี่ นิสัยไม่ดีอย่าง
ใครขัดใจอะไรแล้ว ชอบเก็บมาคิดหลายวัน และโกรธนาน
ทำไม่ได้หรอก อะไรที่ไม่ชอบ แล้วให้บอกว่าชอบน่ะ
แรก ๆ ก็พอทำได้หรอก แต่ถ้าบังคับมาก ๆ ก็ไม่ทำเลยเหมือนกัน

ยิ่งถ้าโมโหล่ะก็ อย่ามายุ่งกะข้านะ
เดี๋ยวได้มีฟาดหัวฟาดหางกันบ้างหรอก
นิสัยแบบนี้ เลยไม่ค่อยเป็นคนที่มีเสน่ห์น่ารัก
จ๊ะจ๋าหรอก ก็เป็นตัวของตัวเองแบบนี้มานาน
ราศีข้าพเจ้าเลยมีคู่ยากสักหน่อย
^__^ พูดง่าย ๆ ว่าดูภายนอกเรียบร้อย
แต่จริง ๆ แล้วเรียบไม่ร้อยน่ะซิ อิอิ

ก็ภูมิใจในตัวเองแน่ล่ะ เป็นตัวของตัวเองดีที่สุด
ไปเที่ยวตามก้นคนอื่นเขา มันน่าภาคภูมิใจไหมล่ะ?


คิดแล้วเขียน :)V

วันศุกร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2553

สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๓ ต้อนรับปีขาล

เช้าวันนี้ ตื่นสายกว่าที่คิดไว้นิดหน่อย
เนื่องจากเมื่อคืนรออยู่ count down ดึกไปหน่อย
แต่ตื่นเช้ามา ก็รีบไปตลาด ก่อนหน้านั้นก็ออกไปใส่บาตร
ที่ตลาดเขาก็มีงานเทศกาล ให้คนในอำเภอมาเข้าคิว
ใส่บาตรในตลาดนั้นเอง เราก็รีบไปรีบกลับ
ตั้งใจว่า อยากไปไหว้พระ พอดีอยากไปดูวัดที่แม่ชีทศพรบวช
เลยนั่งรถประจำทางไปวัดพิชัยญาติ แถวสี่แยกบ้านแขก
ก่อนหน้านั้นถามทางอาไว้แล้ว เลยไปได้ฉลุย
แต่รอรถเมล์นานมาก ๆ เพราะมีวิ่งอยู่แค่ 7 คัน
กระเป๋ารถบอก (ลาหยุดกันหมด)
ที่ข้าพเจ้าไปต้องผ่านท้องสนามหลวง
รถติด เพราะประชาชนต่างพากันมาไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้าน
คู่เมืองแถวนั้น ไม่ว่าจะเป็นพระแม่ธรณีบีบมวยผม
ศาลหลักเมือง วัดพระแก้ว วัดชนะสงคราม วัดโพธิ์ ฯลฯ
ย่านนั้นรถติด แน่นขนัด เต็มไปด้วยผู้คนที่แห่แหนมาไหว้พระ
ต้อนรับปีใหม่กัน เราก็ได้ไหว้เหมือนกัน แต่ไหว้บนรถประจำทาง
^_^ ครบ 9 วัด แล้วมั้ง อิอิ ^__^

ไปวัดพิชัยญาติ มีพวกเหล่าคนถือศีลเดินจงกรม
ข้าพเจ้าก็ไปกราบพระบรมสารีริกธาตุ
กะจะร่วมทำบุญหล่อพระสมปรารถนาสักหน่อย
เจ้าหน้าที่บอกว่า ปิดรับไปเมื่อวันที่ 31 ธ.ค.52 แล้ว
เมื่อคืนมีพิธีสวดมนต์ข้ามปีด้วย
มิน่าล่ะ เห็นคนถือศีลหลายคนนอนเรียงราย หลับกัน
คนมาปฏิบัติธรรมเยอะจริง ๆ แต่ก็เงียบสงบดี
เรารีบทำบุญก็รีบกลับ

วันนี้ยังไม่ทำอะไรเลย
หมดไปอีก 1 วันแล้ว

คิดแล้วเขียน :)