วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ฟ้ามาเตือน

เมื่อคืนนี้ ฟ้าแถวบ้านแรงมาก
ฝนตกช่วงค่ำ ๆ และหนักขึ้นเมื่อช่วงดึก ๆ
ข้าพเจ้าเห็นว่าฟ้าแรง เลยคิดจะเลิกทำงาน
ปิดไฟนอน ปรากฎว่า พี่สาวลืมปิดประตูบ้านป้า
ทำให้ต้องรีบกางร่มไปปิด และตรวจดูความเรียบร้อยของบ้านก่อนนอน
ปรากฎว่า ช่วงที่กำลังจะกลับมาบ้านอา
ข้าพเจ้าอาศัยจังหวะ ฟ้าแลบ แล้วกะวิ่งออกมา
แต่ฟ้าเล่นไม่รอจังหวะให้ข้าพเจ้าวิ่งเลย
ให้ตายเหอะ! ฟ้าแรงมาก
ทำให้ข้าพเจ้าต้องหยุดรอจังหวะ
นั่งคอยว่าฟ้าจะหยุดอาละวาดกี่โมง
แบบว่า ทำให้เราสามารถเดินไปบ้านอา อย่างไม่ต้องหวาดเสียวน่ะ!

ใช้เวลารอฟ้าพิโรธ นั่งอยู่เฉย ๆ ปิดหูตลอด ประมาณ ครึ่งชั่วโมงกว่า ๆ ได้
พอได้จังหวะว่า เสียงไกลออกไปสักหลายนาทีแล้ว
ทีนี้ก็รีบปิดประตูทันที!
นาทีนั้นแป๊ปเดียว หลังจากกลับมาได้แล้ว
ฟ้าก็ลงมาใกล้ ๆ แถวบ้านอีก

อู้ย! ฟ้าจ๋าฟ้า
เหมือนแกล้งข้าพเจ้าเลยนะ
เล่นแรงนะเนี่ย เล่นทีเผลอ ^__^
สงสัยจะดัดนิสัยข้าพเจ้า ให้รู้จักคำว่า "รอจังหวะบ้าง"

เพราะข้าพเจ้าเป็นคนนิสัยใจร้อน
คอยอะไรไม่ค่อยเป็น เลยดัดนิสัยให้อยู่นิ่ง ๆ แบบคนอื่นให้เป็นบ้าง
ไม่งั้น คงจะโง่ไปอีกนาน อิอิ ^__^
แต่ก็คิดว่า นิสัยตนเอง คงดัดยากเสียแล้ว เพราะใจเย็นไม่ค่อยเป็น 555 :)
ทำได้แค่ประเดี๋ยวประด๋าว
อะไรไม่ได้ดังใจ มีอะไรก็ออกมาหมด
ชาวบ้านเขาก็รู้หมด! โดยเฉพาะศัตรูที่รู้ข้อมูลเรา
นี่แหล่ะน๊า! คนเก็บอะไรไม่ค่อยเป็น เพราะมันอึดอัด!
เสียเปรียบคนอื่นก็ตรงนี้แหล่ะ!

โดย คิดแล้วเขียนV:)

วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Lovely picture


บ้านป้ากับบ้านอา เป็นอะไรที่นกชอบมาทำรัง
บ้างก็ตรงขอบหน้าต่าง บ้างก็บนต้นไม้
แต่เดี๋ยวนี้ นกไม่ค่อยชอบทำรังบนต้นไม้
เพราะเปียกฝน และต้องเจอกับกระรอก
มันจึงหันเปลี่ยนมาทำรังบนชายคา หลังคา
หรือหน้าต่าง ภาพนี้เป็นภาพที่ถ่ายจาก
หลังคาโรงจอดรถ ลูกนกคอยแม่นำอาหารมาป้อน
ส่วนภาพบน เป็นภาพตอนค่ำแล้ว
แม่นกกลับรังมา กกลูก เห็นแล้วน่ารักดี
เลยเก็บมานำขึ้น web ^__^

อยู่กับธรรมชาติรอบ ๆ ตัวเรา
ได้เรียนรู้อะไรมากมาย
กว่าลูกนกแต่ละตัวจะรอด
ต้องฝ่ามรสุมชีวิตหลายด่าน
บางตัวหัดบิน แต่บินไม่แข็งแรง
ตกลงมาก็เป็นเหยื่ออันโอชะของสุนัข แมว
หรือกระรอกจับกิน

ชีวิตของสัตว์ ต่างต้องดิ้นรนต่อสู้ด้วยตัวเองทั้งนั้น
พ่อกับแม่เป็นแค่ คนคอยพยุง ยามเมื่อเราล้ม
วันใดไม่มีพ่อกับแม่อยู่ ลูกนกก็ยังบินได้ด้วยปีกของมันเอง
ดูสารคดีต่าง ๆ เราจะเห็นวงจรของสิ่งมีชีวิต
ทำให้คิดว่า โลกเราที่ว่าน่าอยู่นั้น
จริง ๆ แล้วต้องต่อสู้อย่างมาก จึงจะมีชีวิตอยู่รอด!

ถ้าไม่มองโลกในแง่ร้าย เราก็จะถูกพิษสงของสัตว์ร้าย
กัดตายได้ เพราะฉะนั้น อย่าทำอะไรที่มองโลกในแง่ดี
หรือไว้ใจใครมากไป เพราะแต่ละคนเขาไม่เหมือนพ่อกับแม่เรา
คนที่ไม่ใช่พ่อแม่เรา เขาให้เรา เพราะหวังอะไรจากเรา ?!

เหมือนกับลูกนก หรือแม่นกตัวนี้
เราให้อาหารมันกิน มันเลยเชื่อง
สามารถเข้าใกล้ได้ นี่คือ ภัยอย่างหนึ่ง
หากมีสุนัข เข้าใกล้ มันมักจะไม่ค่อยรีบบินหนี
เพราะมันคิดว่า สุนัขไม่ทำร้ายมัน เหมือนกับเรา
ที่ให้อาหารมันกิน
สุดท้าย นกแถวบ้านตายเพราะความเชื่อง!
ไปหลายตัวเลยทีเดียว

โดย คิดแล้วเขียนV:)

Alone : โดดเดี่ยว ผู้น่ารัก


เลี้ยงปลาทองมาได้หลายปีแล้ว จากเดิมมีแค่ 1 ตัว
กลัวมันจะเหงาไปซื้อเพื่อนมันมาให้อีก 4 - 5 ตัว
ปรากฎว่าทะยอยเป็นโรคตายหมด
ตอนนี้กลับมาเหลือตัวเดียวแบบเดิม
ตัวนี้เป็นตัวแรกที่ซื้อมาด้วย
อึด! ทน! จริง ๆ :)

กินเก่ง เลยแข็งแรงกว่าตัวอื่นด้วยมั้ง
อีกอย่างพื้นฐานมันมาจากตลาดนัด
ไม่ได้ซื้อมาจากตู้เพาะเลี้ยง
ความอึด ความอดทน เลยสูงกว่าเพื่อน ๆ
ที่ซื้อมาจากตลาดปลา ห้องแอร์
พวกนั้น เป็นนิด เป็นหน่อย
ใส่ยาก็แล้ว ไม่ค่อยหาย
หายเหมือนกัน แต่หายไปจากโลกนี้ ^__^

วันก่อน ไม่รู้พ่อนึกอะไรขึ้นมา
เดินมาดู ๆ แล้วก็คุยว่า
เราน่ะ ทำบาป ทำกรรมกับมัน
เลี้ยงมัน ก็เอาตัวเข้าไปผูกพันกับมัน
เลี้ยงไม่ดี กรรมตกอยู่ที่คนเลี้ยงนะ
ดูซิ ว่ายวนไปวนมาอยู่แค่ในตู้
คนติดคุก ยังมีวันได้ออก
แต่นี่ ตายแล้วถึงได้เป็นอิสระ

โธ่! ป๋าขา! แหม! นี่มันเป็นสัตว์เลี้ยงในตู้กระจกนะคะ
จะไปปล่อยลงแม่น้ำได้งัย! มันก็ตายพอดี
ปลาชนิดนี้ มันเกิดมาเพื่อให้คนเลี้ยงนะคะ
ใครอยากจะไปทรมานมัน

เอาเป็นว่า พ่อไม่ค่อยชอบให้เราเลี้ยงสัตว์
กลัวว่า เราจะไปทำบาปกับมัน
อีกอย่างคงอยากให้เราทำอย่างอื่นมากกว่า
ไม่งั้น ไม่ได้ไปไหน เพราะจะไปต่างจังหวัดแต่ละที
ก็ห่วงนั่น ห่วงนี่ กลัวมันอด กลัวไม่มีคนคอยให้อาหาร
ก็เที่ยวฝากคนอื่นเลี้ยงด้วย

จู่ ๆ พ่อก็บอกว่า วันเกิดนี่นะ ลองไปโคราช
ไปนั่งวิปัสสนากับพี่สาวเขาดู
สงสัยคุณแม่ กับคุณพี่สาวเห็นเราว่างจัดมั้ง
เลยให้คุณพ่อมาชักชวนเรา
คงอยากให้ลูกสาวบรรลุธรรมในชาตินี้กระมัง ^__^
จะได้ไม่ต้องเกิดอีก
พ่อเรานี่ก็แปลกคนจริง!
คงจะห่วงเรามากกว่า
อายุก็เลยครึ่งคนแล้ว
ยังไม่สามารถมีผู้ชายดี ๆ ดูแลเราได้แทนเขาได้
คงจะให้เราไปดีทางด้านนี้ แบบพี่สาวกระมัง
เอ้อ! พ่อหนอพ่อเรา ^__^

โดย คิดแล้วเขียนV :)

วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เดินอ้อม

เมื่อเราเดินทางตรงไม่ได้
ก็ให้เราเดินเส้นทางอ้อม ^_^

มิน่าล่ะ ถึงได้มีพวกฉลาด
แผ่กระจายกำลังผล ดักหน้า ดักหลัง
เพื่อเฝ้าประกบติด ยังกับถูกผู้ควบคุมความประพฤติอย่างไรอย่างงั้นเลย
แล้วมารายงานเม้าท์แตกกันจาละหวั่น! ใครเจออะไรมาบ้าง
ไอ้นั่นมันเป็นอย่างงั้น อย่างงี้
เรื่องคนอื่นล่ะสนใจดีนักเชียว แต่เรื่องงานตัวเองกลับไม่สนใจ
พอสิ้นปี ใครเงินเดือนขึ้น มากน้อยเท่าไร ก็เอามาวิจารณ์กันสนุกปากกันอีก
อยู่ที่ไหน ก็ไม่แคล้วโดนนินทาลับหลัง
เราเลยเก็บมานั่งบ่น นั่งนินทามันลับหลังบ้าง จะได้หายแค้น
ถ้ามันยังตามมาอ่านเจอ อิอิ ^___^

ตามตรูมากนัก เดี๋ยวจะหลอกให้ไปป่าช้าซะเลย! จะได้ไม่ต้องตาม!
ตอนเช้า มาทำงาน ก็มานั่งดักรอตรงหน้าประตู
พอเรานั่งทำงานตรง com
เราลุกปุ๊ป มันก็เข้า net ตรง com เราปั๊บ!

ทำงานแบบไม่มีความสุข! ให้ตายเหอะ!
ยัยผู้หญิงก็เฝ้ามองว่า เราจะไปกับกิ๊กมันหรือเปล่า?
และฝูงตัวผู้! ก็ทำทีว่าจะกลับบ้านกับมัน!
เดินมารายงานตัวกันทุกชั่วโมง!

สงสัยคงจะเคยพฤติกรรมแบบนี้บ่อย ๆ กับใครบางคน
ก็เลยคิดว่าคนอื่นเขาจะทำแบบตัวเอง!
giang ทั้งบริษัทฯ งานการไม่ทำ จ้องแต่จะหาคนทำเมีย กับหาคนทำผัว!
แล้วบริษัทฯ มันจะไปรอดหรือ?!!

แก่จะเข้าโลงกันแล้ว ยังจะคิดแต่เรื่องใต้สะดือกันอยู่อีก
ผู้ชายก็หัวล้านเถิกขึ้นไปไหน ๆ แล้ว! ผู้หญิงนินทาจนปากห้อย!
ก้นย้อยใหญ่ไปตาม ๆ กัน เพราะมัวแต่นั่งกิน นั่งเม้าท์แตก จับกลุ่มกัน!
ลองสังเกตดูนะว่า ในกลุ่มน่ะ คุยเรื่องอะไรบ้าง
80% เป็นเรื่องของชาวบ้านแทบทั้งนั้น ลองสังเกตดูนะ

ปลงสังเวช! พวกนี้ยังไม่เห็นโลงศพ ก็คงยังไม่หลั่งน้ำตา!

คิดแล้วเบื่อ จริง ๆ นะเนี่ยะ!
ไม่เคยคิดว่า จะได้เจอสังคมแบบนี้!
เฮ้อ! อนาถใจ!

โดย คิดแล้วเขียน!

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552

พลังงานลี้ลับ




โลกของวิญญาณ


เราต่างเกิดมา ทุกคนล้วนมีกรรม(การกระทำของตนเป็นตัวกำหนด)
จิตเป็นตัวรับรู้ และบันทึกเรื่องราวทุกเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
ในแต่ละช่วงอายุ ซึ่งมีทั้งดี และไม่ดี เปรียบเสมือน การถ่ายวีดีโอ
หรือมีการถ่ายภาพเก็บซ่อนไว้ในจิตใต้สำนึกโดยไม่รู้ตัว

สิ่งเหล่านี้สะสม บ่มนิสัย เป็นการแสดงออกมา
ในรูปแบบพฤติกรรมของมนุษย์แต่ละคน ที่แตกต่างกัน
บางคนเกิดวัน เดือน ปีเดียวกัน แต่มีนิสัยที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง


พูดง่าย ๆ ว่า ทุก ๆ สิ่งที่ล้อมรอบตัวเรา ตั้งแต่เล็กจนโต
สังคมที่เราอยู่ก็เป็นตัวสำคัญ ที่ช่วยกำหนดพฤติกรรมของเราให้เป็นไปในรูปแบบต่าง ๆ
เป็นตัวปั้น ตัวแต่ง ตัวเสริม คุณลักษณะเฉพาะตัวของแต่ละบุคคล
เรียกได้ว่า ไม่มีใครสามารถเหมือนใครได้ทั้งหมด แม้แต่ฝาแฝด

เหล่านักวิทยาศาสตร์ พยายามค้นหาเกี่ยวกับพฤติกรรมความแตกต่างของมนุษย์แต่ละคน
แต่สามารถทำได้ หาได้เฉพาะโครงสร้างของมนุษย์เท่านั้น
หน่วยที่เล็กที่สุดของมนุษย์ที่เรียกว่า DNA
ซึ่งเป็นการถ่ายทอดทางพันธุกรรม
แต่ทางจิตใจยังไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ว่า
สิ่งที่เรียกว่า จิต นี้ ต้นกำเนิดมาจากอะไร?
เพราะเป็นนามธรรม เป็นสิ่งที่ยากเกินกว่ามนุษย์ธรรมดาจะเข้าใจได้

หลายศาสนาพยายามเน้นให้ทุกคนกระทำความดี ละความชั่ว
โดยบัญญัติในรูปกฎ ระเบียบ ต่าง ๆ ให้มนุษย์ได้ปฏิบัติตาม ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
เหตุเพราะ หากไม่มีกฎระเบียบ ออกมาในลักษณะนี้ ย่อมสร้างปัญหาวุ่นวายให้กับสังคมในสมัยก่อนได้
เพราะสมัยก่อน มนุษย์เรายังไม่มีกฎหมาย บัญญัติขึ้นมา นอกจากศาสนา
ที่ช่วยเป็นตัวกำหนด บทบาทมนุษย์แทน ไม่ให้กระทำสิ่งต่าง ๆ เกินขอบเขตของตน
และล่วงเกินไปถึงผู้อื่น มิฉะนั้นสังคมก็จะอยู่อย่างสงบไม่ได้


แต่กระนั้น ก็ยังมีสิ่งลี้ลับ ที่หลาย ๆ คนตั้งข้อสังเกต หรือเป็นสิ่งที่เล่ากันต่อ ๆ มา
ที่เรียกกันว่า โลกวิญญาณ มีจริงหรือไม่
สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถพิสูจน์ได้ประจักษ์ได้เที่ยงแท้และแน่นอน
เพราะไม่สามารถจับต้องได้ อาศัยเพียงผู้ที่มีพลังจิตพิเศษเท่านั้น
ที่จะสามารถสื่อถึงสิ่งเหล่านี้ได้ บางคนก็เชื่อ บางคนก็ไม่เชื่อ
ที่ไม่เชื่อเพราะไม่เคยเห็นเลยไม่เชื่อ ก็คงเหมือนกันอากาศที่เราหายใจอยู่
ถ้าเราไม่มีวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยพิสูจน์ เราก็ยังไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่า
ในอากาศนี่นะ มันมีกระแสคลื่นพลังงานซ่อนอยู่
ฉันใดก็ฉันนั้น ในโลกวิญญาณ ก็คงซ่อนอยู่ในรูปอากาศนี้เช่นเดียวกัน
แต่เป็นในระดับที่มนุษย์เราไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าเท่านั้นเอง


มนุษย์จำเป็นต้องหาตัวแปร กระแสพลังงานตัวนั้นให้ได้ก่อน
จึงจะรู้ว่า วิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้ว่า โลกของวิญญาณนั้นเป็นเช่นไร?
ก็เหมือนกับ การหาคลื่นวิทยุ คลื่นไฟฟ้า คลื่นแม่เหล็กในอากาศได้ นั่นแหล่ะ
คนที่มีจิตละเอียด จิตที่มีความสงบ นิ่ง และเยือกเย็นเท่านั้น
ที่จะสามารถจะเข้าถึงโลกของวิญญาณได้
เหมือนพระอริยะเจ้าหลาย ๆ รูป ที่มีจิตละเอียด
สามารถล่วงรู้ เหล่าเวไนยสัตว์ได้



ลักษณะวิญญาณเป็นอย่างไรนั้น ข้าพเจ้าไม่อยากเดา
และก็ไม่สามารถบอกได้เช่นเดียวกัน เพราะไม่เคยเห็น ^_^
แต่พอจะอนุมานได้คร่าว ๆ ว่า
เป็นกระแสพลังงานที่แฝงอยู่ในรอบ ๆ ตัวมนุษย์นี่แหล่ะ
และมีข้อแม้อีกอย่าง ที่ข้าพเจ้าคิดว่า
จิตของคนเรามีลักษณะพิเศษ
สามารถปรุงแต่งให้เห็นเป็นรูปต่าง ๆ
ภาพต่าง ๆ ให้เห็นได้เช่นกัน
อาการคงเหมือนคนประสาทหลอน ประมาณนั้น

ฉันใดก็ฉันนั้น บางครั้งนิมิตที่เราเห็น บางทีก็ไม่เป็นจริง
หลาย ๆ คนไปนั่งวิปัสสนากรรมฐานมา ยังหลงติดภาพที่เราเห็นตอนที่หลับตา
คิดว่า ตนเองได้ไปสวรรค์ หรือไปเที่ยวนรกจริง ๆ เสียแล้ว

เคยได้ยิน และได้อ่านตำราหลายแห่ง
ครู อาจารย์หลาย ๆ คน ที่สอนนั่งวิปัสสนากรรมฐาน
ท่านก็บอกว่า ให้นั่งหลับตาไป อย่าไปคิดฟุ้งซ่าน
ใจอย่าไปติดกับภาพที่เห็นนั้น ไม่มีจริง!
แต่ข้าพเจ้าก็แปลกใจไม่หายว่า
แล้วแบบไหนล่ะ ที่เราเห็นจะเป็นภาพของจริง!!!

สงสัยข้าพเจ้าจะต้องลองไปนั่งวิปัสสนากรรมฐานเสียหน่อยแล้วกระมัง!
จะได้รู้ว่า ภาพไหนเป็นลักษณะของจิตที่ปรุงแต่งเอง และภาพไหน
เป็นภาพที่เราเห็นว่า เป็นของจริง!
ว่าแต่ว่า ข้าพเจ้าเป็นคนที่กลัวผีที่สุดเลย
แล้วแบบนี้ ข้าพเจ้าจะสามารถนั่งวิปัสสนากรรมฐาน กับเขาได้ไหมล่ะนี่ อิอิ ^__^

โดย คิดแล้วเขียน V:)
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อธิบายศัพท์

เวไนยสัตว์

เวไนยสัตว์ มาจากคำภาษาบาลีว่า เวเนยฺย กับคำภาษาสันสกฤตว่า สตฺตว แปลรวมกันว่า สัตว์ผู้ควรแก่การแนะนำสั่งสอน สัตว์ที่พึงแนะนำได้ สัตว์ที่พอดัดได้สอนได้
ในบรรดาสัตว์โลกทั้งหลาย มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีสมอง มีสติปัญญา สามารถคิดและไตร่ตรองได้ แต่การจะเข้าใจสิ่งใดได้นั้นมีมากน้อยแตกต่างกันไป และความเข้าใจธรรมะของมนุษย์ก็ยังแตกต่างกันออกไปอีก
ความเข้าใจธรรมะนี้ไม่จำเป็นต้องสัมพันธ์กับความสามารถในการเรียนรู้วิชาการแขนงต่างๆ ในทางโลก เพราะผู้ที่ได้ชื่อว่าเรียนเก่งอาจจะไม่สามารถเข้าใจธรรมะได้ ในขณะที่ผู้ที่เรียนไม่เก่งอาจจะสามารถเข้าถึงธรรมะอันลึกซึ้งของพระพุทธเจ้าได้อย่างถ่องแท้และรวดเร็ว

มนุษย์บางคนเป็นเวไนยสัตว์ เพราะเป็นผู้ที่สามารถฟังธรรมะในพระพุทธศาสนาแล้วนำไปปฏิบัติฝึกอบรมตนตามธรรมะนั้นได้ แต่บางคนไม่อาจเรียกว่า เวไนยสัตว์ เพราะไม่มีปัญญาแม้ว่าจะฟังธรรมกี่ครั้งกี่หนก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ ไม่สามารถนำไปปฏิบัติตามได้

วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ความอิจฉา ริษยา!!

ต้นกำเนิดของอารมณ์แบบนี้ คือ เป็นลักษณะของคนอ่อนแอ
หรือคนที่ไม่มีความมั่นใจในตนเอง
ชอบนำตนเองมาเปรียบเทียบกับคนอื่น

เมื่อเห็นผู้อื่นได้ดี มีความสุขเกินหน้าเกินตาไม่ได้
ต้องหาวิธีสกัดดาวรุ่ง (ริ่ง ^_^)
หรือไม่ก็พยายามหากลยุทธ์วิธีทำให้ผู้อื่นขายหน้า

วิธีการแบบนี้ พวกผู้หญิงเขาชอบใช้กัน เพราะไม่กล้าเผชิญหน้ากันตรง ๆ
หากผู้ชายใช้วิธีการแบบนี้ ก็เท่ากับยอมนุ่งกระโปรง ไปเล่นแบบผู้หญิงดี ๆ นี่เอง!

โดย คิดแล้วเขียนV:)

วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ผู้นำขององค์กร

วันนี้ที่รอคอย ^_^ ของผู้บริหารบางท่าน
วันนี้องค์กรของข้าพเจ้า ได้เปลี่ยนเก้าอี้ผู้บริหารระดับสูงไม่มากแต่ก็มีบทบาทพอสมควร
คัดเลือกจากการแข่งขัน โดยการสอบ หลาย ๆ คนบอกว่า
มีคนวางหมากไว้แล้ว ว่าจะเอาใครขึ้น เนื่องจากไม่เอาคนเก่ง
เพราะไม่เอื้อประโยชน์ต่อคนคุมเกม ซึ่งอาจจะเป็นนักการเมือง
หรือประธานคณะกรรมการองค์กร

ข้าพเจ้าว่าไม่จริงทั้งหมดหรอก
เนื่องจากการทำงานที่ผ่านประสบการณ์มา 10 กว่าปี
สังเกตจากการทำงานของหัวหน้างานแต่ละท่าน

ผู้นำไม่จำเป็นต้องเก่งมาก แต่จำเป็นอย่างยิ่งต้อง
มองคนออก และใช้คนเป็น และเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล

วิสัยทัศน์ นี่หมายถึง การมองอะไร ๆ ในภาพรวม มองไกล ๆ
มีมุมมองที่สามารถปรับเปลี่ยนองค์กร ไปสู่จุดมุ่งหมายได้
ไม่มีกฎตายตัวมากนัก ไม่ใช่ทำงานมา 10 ปี คิดอย่างไร ก็อยู่แบบนั้น
ไม่กล้าตัดสินใจ ไม่กล้าแหวกกฎ ยึดแต่ตำราที่ร่ำเรียนมา
หรือยึดกฎระเบียบมากไป หรือลงลึกรายละเอียดในเนื้องานมากไป

เขาจ้างคุณให้เป็นผู้บริหาร ไม่ใช่คนทำงาน แล้วลูกน้องที่นั่งสลอน! น่ะ
ไม่ใช้เขาล่ะ เห็นลอยไปลอยมากันเยอะแยะไปหมด
คนทำงานเก่ง ก็ทำเป็นอยู่แค่คนเดียว ที่เหลือนายไม่เอา!
เพราะเหนื่อยที่ต้องมานั่งสอน

ผู้บริหารต้องเก่งเรื่องคน เรื่องมนุษย์สัมพันธ์
หากเก่งทฤษฎี ตกเรื่องมนุษย์สัมพันธ์ ก็ไม่สามารถเป็นผู้นำที่ดีได้
เพราะผู้นำหรือผู้บริหาร ต้องทำงานเกี่ยวเนื่องกับคน

หากคุณด้อยเรื่องมนุษย์สัมพันธ์ จบเห่! เท่านั้นเอง
พวกที่เก่ง ๆ แล้วไม่ได้ขึ้นน่ะ
อย่ามาอ้างเลยว่าไม่ใช่ลิ่วล้อพวกผู้ใหญ่
แต่ถามหน่อยเหอะ มีลูกน้องคนไหน อยากทำงานกับผู้บริหารที่เก่ง
แต่ EQ พฤติกรรมทางอารมณ์ต่ำบ้าง

การจะก้าวขึ้นสู่ที่สูงนั้น มันต้องมีปัจจัยอะไรหลาย ๆ อย่างที่ต่างจากคนทำงานปกติ
ไม่ใช่ว่าทำงานเก่งแล้วจะไปได้สวย

สังคมมีแต่คนเก่งมากพอแล้ว ขาดแต่คนดีมีคุณธรรมเท่านั้น

โดย คิดแล้วเขียน V:)

วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ข้อคิดจากธรรมะท่าน ว.วชิระเมธี

ปุจฉา

งานไม่สัมฤทธิ์ ชีวิตไม่รื่นรมย์

ดิฉันมีปัญหาใคร่ขอกราบเรียนถามท่าน ว. วชิรเมธีดังนี้

ทุกวันนี้ ดิฉันไม่มีความสุขที่จะไปทำงานและไม่มีความสุขที่จะอยู่กับผู้ร่วมงานเลย โดยพื้นฐานแล้วดิฉันเป็นคนที่จริงจังกับชีวิต ไม่ค่อยพูดเล่นกับใครถ้าไม่สนิทด้วย ดิฉันย้ายที่ทำงานมาที่ใหม่ อยู่มาได้ปีกว่าแล้ว แต่ ยังไม่สนิทกับใครเลย ดิฉันทำงานไปเรื่อยๆโดยไม่ยุ่งกับใคร ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนและไม่ทำร้ายใคร บ่อยครั้งคนในที่ทำงานคุยกัน เล่นกัน แต่ดิฉันจะนั่งเงียบๆ รู้สึกอึดอัดว่าเราเป็นตัวประหลาด ดิฉันไม่ทราบว่าจะพูดอะไรจริงๆ รู้สึกว่าตัวเองมีปมด้อยในการทำงานที่นี่ ทั้งๆที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานดี ดิฉันอยากลาออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่กลัวเหลือเกินว่าในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ จะไม่ประสบความสำเร็จ ดิฉันขอกราบเรียนถามท่านว่า

1.ผิดไหมที่ดิฉันเป็นแบบนี้ และดิฉันจะต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อที่จะให้คนอื่นยอมรับหรือไม่ แค่คิดดี ทำดี ไม่เบียดเบียนใครพอหรือเปล่าคะ
2. กรุณาให้คำแนะนำถึงวิธีการที่จะทำงานและอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างมีความสุข และวิธีการเปลี่ยนแปลงตนเองให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เผชิญอยู่


วิสัชนา

การที่คุณเป็นคนมีบุคลิกภาพเงียบขรึม คงไม่ใช่ความผิดบาปอะไร เพราะเราแต่ละคนต่างก็มีบุคลิกภาพที่แตกต่างกันไปเป็นเรื่องธรรมดา แต่หากจะมีปัญหาขึ้นมาก็คงเป็นเพราะว่า คุณคงไปทำงานอยู่ในแวดวงของคนที่ไม่สอดคล้องกับบุคลิกภาพของคุณต่างหาก
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ งานกับคน ไม่สอดคล้องกัน จึงเกิดอาการผิดฝาผิดตัวขึ้นมา จนชีวิต การงาน สัมพันธภาพ ไม่ราบรื่น
นานมาแล้ว ผู้เขียนเคยมีลูกศิษย์คนหนึ่งที่มีปัญหาคล้ายๆ คุณ กล่าวคือ เขาเป็นคนไม่ค่อยพูด ชอบเก็บเนื้อเก็บตัว แต่ถึงกระนั้นก็สู้อุตส่าห์เรียนมาทางการตลาดจนจบ วันหนึ่งเมื่อถึงเวลาทำงาน ก็พบกับปัญหาใหญ่อันเนื่องมาแต่บุคลิกภาพกับงานที่ทำไม่สอดคล้องกัน เพราะงานในฐานะนักการตลาดนั้น ไม่ต้องการคนที่มีบุคลิกภาพเงียบๆ ขรึม ๆ ไม่สุงสิงกับใคร ไม่มีความทะเยอทะยาน เมื่อทนทำงานไปสักพักหนึ่ง ในที่สุดก็ต้องตัดสินใจลาออก หลังจากนั้นก็ได้งานใหม่ตามสายงานการตลาดที่เรียนมาเหมือนเดิมอีก แต่ทำไปไม่กี่เดือนก็ลาออกอีก วันหนึ่งนักการตลาดที่มีโลกส่วนตัวสูงคนนี้ ก็ได้ค้นพบว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่งานอีกต่อไปแล้ว หากแต่อยู่ที่ตัวเองที่ไม่ชอบงานของนักการตลาด ที่ต้องเป็นคนหูไวตาไว มีความกระตือรือร้น คิดแคมเปญเก่ง ช่างพูดช่างจา มนุษยสัมพันธ์เยี่ยม เมื่อเกิดการ “ค้นพบ” อย่างถ่องแท้แล้ว จึงผันตัวเองไปทำงานส่วนตัวที่ได้ “เงียบสมใจ” ทุกวันนี้ ก็เลยมีความสุขดี เพราะได้มีโลกส่วนตัวสมใจ

กรณีของคุณถ้าเป็นไปในทำนองนี้ก็คงต้อง “คิดใหม่ ทำใหม่” ไม่เช่นนั้นแล้ว จะเกิดสภาวะ “คนไม่สำราญ งานไม่สำเร็จ” ยิ่งทำงาน ยิ่งเสียคุณภาพชีวิต

การทำงานนั้น ไม่ว่าจะทำงานอะไรก็ตาม ควรคำนึงถึงคุณภาพชีวิตด้วยเสมอไป เพราะหากคุณทำงานไป แต่ไม่ได้คุณภาพชีวิต ปัญหาทางจิต ปัญหาสุขภาพ รวมทั้งปัญหาสังคมคือการ “ต่อ” กับใครไม่ติดก็จะตามมา และหากเราทิ้งอาการอย่างนี้ไว้นานๆ วันหนึ่งเราก็จะเป็นเพียงคนที่ประสบความสำเร็จในการทำงาน แต่ทว่ากลับเป็นมนุษย์ที่ล้มเหลว

การคิดดี ทำดี นั้นมองเผินๆ ก็เหมือนจะพอแล้ว แต่หากมองให้ลึกซึ้งกว่านั้น ก็ควรจะเติมอะไรดีๆ เข้าไปได้อีกมากมายเช่น
-คิดดี
-พูดดี
-ทำดี
-มนุษยสัมพันธ์ดี
-รับผิดชอบดี
-อารมณ์ดี
-ใจดี
หากคุณยังไม่อยากลาออกจากที่ทำงานเก่า ก็ขอแนะนำให้คุณลองปรับตัวให้มีมนุษยสัมพันธ์ดีกว่าเดิม โดยปรับตัวตามแนวทางสร้างมนุษยสัมพันธ์ตามสูตรของพระพุทธเจ้า ๔ ประการ คือ

(๑) เอื้ออารี
(๒) วจีไพเราะ
(๓) สงเคราะห์มวลชน
(๔) วางตนเสมอสมาน

เอื้ออารี หมายถึง ฝึกการเป็นผู้ให้ เพราะผู้ให้ ย่อมได้รับการให้ตอบ การให้คือการเชื่อมไมตรีที่มีผลต่อสัมพันธภาพดีเยี่ยม ผู้รู้กล่าวว่า

“ผูกสนิทชิดเชื้อนั้นเหลือยาก
เหมือนเหล็กฟากผูกไว้ก็ไม่มั่น
ถึงผูกด้วยมนต์เสกลงเลขยันต์
ก็ไม่มั่นเหมือนผูกไว้ด้วยไมตรี”

คุณอาจหยิบยื่นอะไรให้ใครสักคนหนึ่งโดยไม่เคยหวังผลด้วยซ้ำ แต่บางทีหนึ่งครั้งที่คุณให้ออกไป อาจจารึกอยู่ในใจของผู้รับตราบนานเท่านาน ท่านพุทธทาสเคยกล่าวว่า “หากเรามีขนมอยู่ในมือชิ้นหนึ่ง เรากินคนเดียว ก็อิ่มแค่มื้อเดียว แต่หากแบ่งให้เพื่อน ขนมชิ้นนั้น จะอิ่มอยู่ในใจเพื่อนไปตลอดกาล”

วจีไพเราะ หมายถึง การเป็นคนพูดจาน่ารับฟัง ช่างพูดช่างจา มีวาทศิลป์ในการพูด รู้จักว่าเมื่อไหร่จะพูด เมื่อไหร่จะนิ่ง เมื่อไหร่ควรพูดเล่น เมื่อไหร่ควรพูดจริง การพูดเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดชนิดหนึ่งในการสร้างความสำเร็จ คุณลองสังเกตดูสิ คนสำคัญๆ ของโลกที่ประสบความสำเร็จ โดยมากล้วนแล้วแต่เป็นนักพูดเก่งๆ กันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นลินคอร์น, จอห์น เอฟ เคเนดี,มาติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์,หรือแม้แต่บารัค โอบาม่า พลังของการพูดนั้นมีมหาศาลสามารถเปลี่ยนทางน้ำ ย้ายขุนเขา สะกดทัพนับแสนก็ยังได้ หากคุณไม่ค่อยพูด ก็ลองบอกตัวเองใหม่สิว่า ธรรมชาติสร้างปากมาไม่เฉพาะแต่ใช้รับประทานอาหารเท่านั้น แต่ยังสร้างมาให้เรารู้จักการพูดจาอย่างมีวาทศิลป์อีกด้วย

สงเคราะห์มวลชน หมายถึง การเป็นคนมีอัธยาศัยไมตรีอันดี เข้ากับคนส่วนใหญ่ได้ เห็นใครทำอะไรแล้วไม่นิ่งเฉย มีจิตสำนึกสาธารณะ ชอบช่วยเหลือเกื้อกูลเพื่อนร่วมงาน เพื่อนมนุษย์ กล่าวอย่างสั้นที่สุด ก็คือ การไม่เห็นแก่ตัวนั่นเอง

วางตนเสมอสมาน หมายถึง การปรับตัวให้สามารถอยู่ร่วมกับเพื่อนร่วมงานได้อย่างปกติในลักษณะ “มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน” หากเราลงเรือพาย แต่เราไม่พายเรือเหมือนคนอื่น ก็คงไม่แคล้วต้องกลายเป็นคนแปลกแยก ถ้าคุณรู้ว่า คุณไม่ชอบพายเรือ ก็ไม่ควรจะไปนั่งอยู่ในเรือพาย ซึ่งเขาต้องการความร่วมมือร่วมใจ คุณควรออกไปหาที่นั่งที่เหมาะกับคุณจะดีกว่า

อย่างไรก็ตาม เท่าที่อ่านจากคำถาม คุณคงมีปัญหาในเรื่องมนุษยสัมพันธ์ แต่คุณไม่ได้มีปัญหาในแง่จิตวิทยาแน่ เพราะคุณสามารถวิเคราะห์ปัญหาของตนเองได้เป็นอย่างดีทีเดียว ดังนั้น ก็หวังว่า คำวิสัชนาที่เขียนมาข้างต้นนั้น คงจะทำให้คุณมองเห็นทางออกได้อย่างแน่นอน

.......................................................

จากคำตอบของท่าน ว.วชิระเมธี

หากยังต้องติดต่อผู้คนในสังคม คงต้องเดินสายกลางดีที่สุด
ไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป
บางคนก็พูดมากเกินไป อาจทำให้เกิดความรำคาญเสียสมาธิในการทำงาน
ก็คงต้องปรับเปลี่ยนฮวงจุ้ยที่นั่งใหม่ ไม่เช่นนั้น
คนไม่สำราญ งานไม่สำเร็จเป็นแน่!

โดย คิดแล้วเขียนV:)

ครอบครัวหรรษา

เมื่อวันที่ 14 ส.ค. เป็นวันเกิดของคุณพ่อข้าพเจ้า
หลายปีมานี้ รู้สึกว่าท่านแก่ขึ้นมาก ปีนี้อายุย่าง 72 แล้ว
เมื่อวานนี้ 3 คนพี่น้อง เลยพาคุณพ่อและคุณแม่
ไปรับประทานอาหารนอกบ้าน
(ซึ่งเสาร์-อาทิตย์ถ้าวันไหนพร้อมก็จะพากันไปอยู่บ่อย ๆ)

หลายปีมานี้ ลูก ๆ ไม่ค่อยได้พาท่านไปเที่ยวไหน
เพราะแต่ละคนติดภาระของตนเองทั้งนั้น
มีแต่พ่อกับแม่ ไปเที่ยวกันเอง

ส่วนลูกคนเล็กก็เฝ้าบ้านให้ ^_^
วันที่ 12 ส.ค.ที่ผ่านมา
ก่อนที่ข้าพเจ้าจะไปเดินเทอดพระเกียรติพระราชินีที่สนามหลวง
ตนเองอยากรับประทานไอศกรีมขึ้นมา
เลยเข้าไปรับประทานในร้านคนเดียว

(ทำเป็นประจำมาตั้งนานแล้ว
เพราะติดมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย
ไปไหนทำอะไรคนเดียวได้หมด ไม่รู้สึกเขิน
แต่อดแปลกใจไม่ได้มากกว่า
เพราะชอบมีคนมองข้าพเจ้า
เวลากินอาหารคนเดียว ซึ่งก็งง!
ว่ามันมองทำไม? ไม่ใช่คุณตัวนั่งอ่อยผู้ชายสักหน่อย
มากินข้าวนะเฟ้ย!)

ข้าพเจ้เข้าไปในร้านไอศกรีม Swenzen
ปรากฎว่า เห็นลูก ๆ พาพ่อแม่วัยชรา
มารับประทานไอศกรีมกันเยอะเลย
บางคนก็มาเป็นครอบครัวใหญ่
ก็รู้สึกดีว่า การมีครอบครัวที่อบอุ่น
ก็ทำให้คนชรา คลายเหงาได้เหมือนกัน
ตอนหนุ่มสาวต่างทำมาหารับประทาน
นาน ๆ มารวมตัวกันในวันสำคัญ ๆ
ก็รู้สึกปลาบปลื้มใจไม่ได้

ก็นึกในใจว่า เรายังโชคดีขนาดไหน
ที่มีครอบครัวที่อบอุ่น
สงสารแต่คนที่ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่อยู่แล้ว
ถ้าหากไม่สามารถมีครอบครัวเป็นของตัวเองได้
ข้าพเจ้าคิดว่า พวกเขาคงจะเหงาพอสมควร

ตอนนี้พ่อแม่ยังอยู่ครบ อยากทำอะไร ก็รีบ ๆ ทำซะ
เดี๋ยวเวลาท่านไม่อยู่ จะได้ไม่ต้องเสียใจภายหลัง

โดย
คิดแล้วเขียน V:)

วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เรื่องของเด็ก ๆ

ที่ทำงานของข้าพเจ้าไม่ค่อยมีเด็กเล็ก ๆ มาวิ่งเล่น
จะมีก็แต่ลูกหลานคนงาน เด็กส่งเอกสารเท่านั้น ที่เห็นประจำ
ซึ่งพวกนี้เงินเดือนจะน้อย เราผู้ซึ่งไม่มีลูก
หรือหลานใกล้ชิด ก็มักจะไปเที่ยวชื่นชมลูกชาวบ้านเขา :)

ด้วยความที่ตนเอง เคยเป็นเด็กต่างจังหวัดมาก่อน
ก็พอทราบถึงความลำบากของพ่อแม่ในช่วงเล็ก ๆ เหมือนกัน
เห็นลูกคนงาน ยังไม่ไปเรียนหนังสือ ก็นึกสงสาร ตัวดำ ๆ แต่งตัวมอมแมม

ข้าพเจ้ามักจะแบ่งปันขนมให้เด็กเหล่านี้รับประทานเสมอ ๆ
จากเมื่อก่อนมีแค่เด็กหลานคนสวนคนเดียว
ตอนนี้กลับกลายเพิ่มเป็น 2 คน
คือเด็กผู้หญิงไว้ผมจุก ตัวดำ ๆ เหมือนกัน หน้าตาธรรมดา
แต่พูดจาน่ารัก เพราะมีแม่เขาสอนมาดี

เปรียบเทียบระหว่างเด็กสองคน
คนแรก หลานคนสวนหน้าตาดี แต่พูดจาไม่เพราะ ดื้อ ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่
คนที่สอง หน้าตาธรรมดา แต่แปลกตรงไว้ผมทรงจุก
แต่เด็กเขาพูดจาไพเราะ ทุกคนเลยหันมาใส่ใจกับเด็กผมจุกมากกว่า
เพราะเป็นของแปลก!

ตอนแรก ๆ ไม่ค่อยมีใครชอบเด็กผมจุกเท่าไรนัก
เพราะตัวดำ ๆ หน้าตาไม่น่ารักเหมือนเด็กผู้หญิงทั่วไป
บางคนกลับหัวเราะเป็นตัวตลกไป เหมือนกุมารทองมากกว่า
เด็กผมจุกนี่เก่ง ให้ทำอะไรทำได้ สวดมนต์ได้
ข้าพเจ้าเลยแซวว่า ให้ขนมแล้ววันหลังอย่าลืมให้เลขด้วยนะ ^_^

พอเด็กถูกแซวจากข้าพเจ้าหน่อยเดียว จากบางคนที่รังเกียจไม่เคยชายตามอง
ที่นี้คนที่ชอบเล่นหวย เลยขนเสื้อผ้าของลูกตัวเองเอามาให้เด็กใหญ่เลย
แถมขอเลขเด็กอีกด้วยนะ

คนเราก็แปลก! หากไม่มีผลประโยชน์อะไร สามารถทำอะไรให้อะไรด้วยใจ
โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนได้ไหม เห็นน้ำใจคนสมัยนี้แล้วรู้สึกว่า
ต้องมีผลประโยชน์ก่อนหรืองัย ถึงให้ได้!

หลายวันก่อน เด็กคนแรก หลานคนสวน ขึ้นมาหาข้าพเจ้า
ตอนที่ข้าพเจ้าไม่อยู่ มานั่งคอย หลาย ๆ คนเขาไม่ให้
เพราะเห็นพฤติกรรมเด็กไม่ค่อยน่ารัก พูดจาไม่เพราะ
เด็กเลยลงไปด้วยความเสียใจ เพราะถูกย่าลากตัวให้ลงไป

ยามผู้หญิง มาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า สงสารเด็กมัน
เด็กขึ้นมาคอยอยู่ตั้งนาน แต่ไม่มีใครสนใจเด็กคนนี้เลย

เมื่อมีเด็กจุกแล้ว เด็กคนนี้เลยหัวเน่า
เพราะเด็กจุกปากหวาน ไม่ดื้อ คนเลยชอบ

น้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ต้องมีคนบอก
ถ้าทำด้วยใจ ก็สามารถทำได้

โดย คิดแล้วเขียนV :)

วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2552

นิยามของคำว่า แฟน คือ?

วันนี้เด็กน้อยไว้หัวจุก อายุประมาณ 4 ขวบได้ ลูกของคนที่ทำงาน
ซึ่งข้าพเจ้ากับเพื่อนบางคน มักจะให้ขนมรับประทานเสมอ ๆ
เด็กน้อยหัวจุก ได้มาพูดคุย และสอบถามข้าพเจ้าว่า มีแฟนหรือยัง?

นี่ไม่ใช่คำถามที่เด็กคิดเองแน่
แต่คงมีใครใช้ให้มาถาม
(โดยเฉพาะคนที่อยากรู้เรื่องของข้าพเจ้า)

ด้วยความที่ข้าพเจ้าไม่ใคร่ชอบเห็นเด็กแก่แดด
จึงย้อนถามเด็กไปว่า แล้วเราน่ะรู้จักคำว่า "แฟน"
หรือเปล่าล่ะ ถ้าตอบได้ เดี๋ยวจะบอกให้

....เด็ก ก็ยิ้มอาย ๆ ...แล้วเด็กก็ตอบเองว่า
แฟนก็คือเพื่อน อ้าว!...
เจ้าบ้านก็เลยบอกว่า งั้นทุกคนที่เป็นเพื่อน
ก็เป็นแฟนกันหมดซิ ...เด็กทำท่า งง งง แถมทำให้ผู้ใหญ่ที่อยากรู้เรื่องของเจ้าบ้าน งง ต่อไปอีกด้วย :)
....ซักพักนึง เจ้าบ้านออกไปถ่ายเอกสารใหม่ ก็ถามว่า รู้หรือยัง แฟนคืออะไร?
เด็กก็ตอบว่า "แฟน คือ เพื่อน" ข้าพเจ้าก็บอกว่า "ไม่ใช่"

แฟน (Fan) ภาษาอังกฤษ แปลว่า พัดลม :)
มีเยอะแยะเลย ....เด็กยิ่ง งง หนักเข้าไปอีก ไม่เชื่อ
ข้าพเจ้าก็บอกว่าให้ไปถามแม่ดู แฟน หมายถึงอะไร?

เป็นที่สนุกสนานของตนเอง หัวเราะชอบใจ แกล้งเด็กได้ อิอิ ^__^
แล้วคุณรู้หรือเปล่าว่า แฟน คืออะไร ?
(หรือเอาไว้เรียกเฉพาะผู้หญิงกับผู้ชายที่เคยนอนด้วยกัน?)

ปล. ข้าพเจ้าแปลกใจไม่หาย ทำไมถึงมีคนอยากรู้เรื่องข้าพเจ้ามากนักก็ไม่รู้
จะกลายเป็นอึ่งอ่างอยู่แล้วนะเนี่ยะ! (ไม่ค่อยสำคัญถูก ตัวเองเลย :P)

ไม่ต้องแปลกใจข้าพเจ้าจะบอกคำตอบให้ว่ามีหรือยัง
เพราะข้าพเจ้าได้นอนกับ Fan ทุกคืนเลย โชคดีนะที่ข้าพเจ้าไม่ได้มีหลายบ้าน
ไม่งั้น เป็นได้เปลี่ยน Fan นอนทุกคืนเลย อิอิ :P

เวอร์ชั่น : แอบแรง แสบ ๆ คัน ๆ

ของแถม : (นำมาจาก web อารมณ์ดี)
รักแท้คือ รักแม่
ไม่ตอแรลแต่จริงใจ
รักแท้ที่ห่วงใย
คนไร้คู่ย่อมรู้ดี


โดย คิดแล้วเขียน V :)

วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ต่างไปจากเดิม

วันนี้ เป็นวันแม่แห่งชาติ (12 ส.ค.52)
เผอิญว่า แม่ของฉันท่านเป็นลูกกตัญญู
ต้องกลับไปหายายที่ต่างจังหวัด
ทำให้เราเป็นลูกกตัญญูน้อยไปหน่อย
ที่ไม่ได้พาแม่ไปรับประทานอาหารนอกบ้าน

วันนี้รถจะติด เพราะผู้คนต่างพาครอบครัวไปรับประทานอาหารกันนอกบ้าน
คล้ายเป็นวันครอบครัววันนึงเลยทีเดียว
ซึ่งก็ดีที่สังคมไทยยังให้ความสำคัญกับครอบครัว


วันนี้ตนเองเลยต้องไปเป็นตัวแทนของที่ทำงานไปเดินริ้วขบวน
วันแม่แห่งชาติที่ท้องสนามหลวง
ด้วยความที่เร่งรีบ เพราะพี่เลขาฯ
ที่ทำงานส่งรายชื่อก่อนวันจริงแค่ 1 วัน
เนื่องจากไม่มีใครอาสาสมัคร
พอดีพี่เขามาชวน ก็เลยตอบรับไป
กะนำเสื้อสีฟ้าที่เขาแจกให้ไปเดินขบวน
มาให้แม่ใส่ด้วย อิอิ (แม่ชอบเสื้อฟรี) ^_^
เพราะไปในนามของกระทรวง ICT
ไปเที่ยวท้องสนามหลวงครั้งนี้ นัดพี่ที่ทำงานกันบ่าย 3 โมง
รถตู้แค่ 2 คันเอง มีบ้างที่ต่างคนต่างไป

กว่าจะถึงท้องสนามหลวงตั้งแถวขบวนก็เกือบ 5 โมงเย็นแล้ว
เสียดาย เพราะไม่เคยไปเดินเลยไม่ค่อยทราบว่าต้องทำอะไรบ้าง
และรีบจนลืมพกกล้องตัวโปรดไปด้วย
ไม่งั้นจะเก็บภาพพลุสวย ๆ มาขึ้น web สักหน่อย ^_^
ถ่ายจากมือถือ ไม่มันส์เลย เพราะมือถือตนเองรุ่น basic มาก ๆ
หน่วยความจำน้อย ได้ภาพไม่ค่อยดีเท่าที่ควร
แต่ที่หวาดเสียวที่สุดคือ ตอนวิ่งหนีฐานจุดพลุนี่แหล่ะ
เพราะตำแหน่งที่ยืนถวายพระพรอยู่ใกล้ฐานพลุมากที่สุด
เสียงดังจนหน้ากลัว แรงอัดของดินระเบิด
เวลาพลุพุ่งขึ้นฟ้า กลัวว่าฐานพลุระเบิดซะก่อน
หากระเบิดจริง คงไม่เหลือซากกลับมาบ้านแน่ อิอิ ;P
ดู VDO ตอนวิ่งหนีพลุก็แล้วกัน
พอดี เล็งไปที่พลุ แต่ด้วยความตกใจกลัว
วิ่งหนี กล้องมันเลยบันทึกภาพตอนวิ่งออกมา




ประชาชนมาจากทั่วสารทิศเยอะมาก รถติด
คนเฒ่าคนแก่ ก็มีมาเดินริ้วขบวนกับเขาด้วย
งานนี้ตอนกลางคืนมีคอนเสริ์ตให้ดูหลายเวที
ประชาชนเลยมาล้อมรอบสนามหลวงเยอะแยะไปหมด

คาดว่า ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ในครั้งหน้า กะว่าวันที่ 5 ธ.ค.52 นี้
ขอพี่เขาไปเป็นตัวแทนไปเดินริ้วขบวนอีกครั้ง
อยากจะไปเก็บภาพบรรยายกาศการจุดเทียนถวายพระพร
และภาพต่าง ๆ ด้วย




และก็มีภาพ VDO พลุที่ถ่ายได้แค่ช่วงสั้น ๆ เท่านั้น
เพราะหน่วยความจำของมือถือน้อย
(ต้องขออภัยหากภาพ VDO ไม่ขึ้นเพราะใช้เวลา load นานเกินควร)

โดย คิดแล้วเขียน V:)
เวอร์ชั่น : วันที่เด็กออกจากกะลา


วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Gossip - นินทา

Great people talk about ideas.
Average people talk about things.
Small people talk about other people.

Are you the great people or small people? ^_^
สิ่งที่ตรงข้ามกับความรัก
ไม่ใช่ความชัง แต่เป็นความเฉยเมย

Positive thinking
(คิดในแง่บวก ข้อดีของการโดนนินทาทำให้เราไม่เป็นทุกข์)

ดังนั้น การโดนนินทาดีกว่าไม่มีใครสนใจ
ไม่ได้เป็นคนที่มีค่าพอให้คนอื่นเสียสละเวลา
และเสียพลังงาน เพื่อพูดถึง

คนที่แอบนินทาเราแสดงว่าเขากลัวเรา
ไม่กล้าว่าเราตรง ๆ หรืออาจจะกลัวว่า
ถ้าเราแย้งด้วยเหตุผล แล้วเขาจะสู้เหตุผลเราไม่ได้

และถึงเขาจะว่าเราตรง ๆ ก็ดี ถือว่ามีคนให้ Feedback
เป็นกระจกสะท้อนตัวเรา
ซึ่งถ้าสะท้อนความจริง ก็น้อมรับไว้ไปปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น
คนหรือองค์กรที่ไม่เปิดรับ Feedback จะไม่มีการพัฒนา

คนที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีแต่คนมาป้อยอ
ทำให้เห็นภาพผิด ๆ นึกว่าตนเองดี
ตนเองเก่ง ขนาดทำผิด ลูกน้องยังชม
ดังนั้น ถ้าเราได้ Feedback ที่สะท้อนความจริงบ้างก็ถือเป็นเรื่องดี

เป็นโอกาสในการฝึกจิตใจของเราให้แข็งแกร่งขึ้น คิดเสียว่า
เป็นการฉีดวัคซีนเพิ่มภูมิต้านทานความทุกข์
คิดเสียว่า เป็นคลื่นเสียง ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน ไม่คิดปรุงแต่งต่อ
คิดว่าเป็นคลื่นลม ลมเบา ๆ ที่ออกจากปากไม่ควรที่จะทำให้เราสะเทือน


คัดลอกบทความส่วนหนึ่ง : จากหนังสือธรรมะ DIY ของนามสมมติ

โดย คิดแล้วเขียน V

วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Oh! My best freind
























BEST FRIEND QUOTES :

"Everyone hears what you say. Friends listen to what you say. Best friends listen to what you don't say."- Anon

"A true friend is someone who knows there's something wrong even when you have the biggest smile on your face." - unknown


I think, in the past ,today and tomorrow
It's a dream not true!
Smile on your face! Fake it out!


Alone again, naturally

^__^
by think & write (V)

วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2552

การเรียนภาษาให้เก่ง

หัวใจของการเรียนให้ดี คือ สุ จิ ปุ ลิ
และจะใช้ได้ดี ในเรื่องของการเรียนภาษาต่างชาติให้เก่ง

สุ หมายถึง สุตต แปลว่า ฟัง
จิ หมายถึง จินต แปลว่า คิด
ปุ หมายถึง ปุจฉา แปลว่า ถาม
ลิ หมายถึง ลิขิต แปลว่า เขียน
นี่คือหลักพื้นฐานง่าย ๆ ในการเรียนทุกแขนง
อยากจะเก่งอะไร ก็ท่องหลักไว้ 4 ข้อนี้
แล้วพยายามหาโอกาส ฝึกฝน ก็จะเก่งเอง
พรสวรรค์ ไหนจะสู้พรแสวง
เรียนภาษา ก็เช่นเดียวกัน

ข้าพเจ้าเรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็ก บัดนี้ยังงู ๆ ปลา ๆ อยู่เลย :)
เพราะไม่ค่อยได้มีพรแสวง ในการ ถาม และเขียน ส่วนใหญ่จะฟัง แล้วคิดเสียมากกว่า อยากเก่งภาษาคงต้องหาเพื่อนชาวต่างชาติต่างภาษา สักกลุ่มนึง ที่เป็นเจ้าของภาษาโดยตรง
แล้วคงจะได้อะไรมากขึ้นกว่าเดิม อย่างน้อยได้สำเนียงที่ถูกต้อง พี่สาวของข้าพเจ้าก็เรียนภาษา วัน ๆ ก็คลุกอยู่กับมัน จนหลับยังละเมอเป็นภาษาต่างชาติเลย (อันนี้เรื่องจริง ไม่ได้โม้)

พูดง่าย ๆ ว่าเรียนจนซึมซับภาษานั้น อยู่ในจิตใต้สำนึกว่างั้นเลยล่ะ ...อยากเก่งภาษา ก็ต้องหัดฟังสำเนียงเจ้าของภาษาโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นการดูหนัง ฟังเพลง นี่ช่วยได้มากเลย สังเกตเด็กอนุบาลต่างชาติ
เวลาเขาพูด คิด เขียน เขาจะจำศัพท์ต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน จากบทเพลง จากการ์ตูน ฯลฯ สมัยนี้สื่อการเรียนการสอนมีมากมายให้เราเลือก ไม่ว่าจะติดเคเบิล เพื่อเลือกดูรายการฝรั่ง อ่านหนังสือนิทานเด็ก เอาง่าย ๆ ก่อน อย่างน้อยต้องมีคลังศัพท์ของภาษานั้น เวลาเราพูดก็ต้องคิดเป็นภาษานั้นเลย ถ้าหมั่นฟังและฝึกบ่อย ๆ ประโยคต่าง ๆ มันจะมาเอง ...บางทีเราไม่ได้เรียน grammar ด้วยซ้ำ แต่เราสามารถจำเป็นประโยคนั้นได้ เวลาได้ยินใครพูดผิด เราจะทราบทันที ทั้ง ๆ ที่ grammar เราไม่กระดิกสักนิด

การเรียนภาษาอะไรให้ได้ดี เราจำเป็นต้องเรียนรู้วัฒนธรรมของเจ้าของภาษาด้วย
เพราะภาษาจะต้องเกี่ยวเนื่องกับวัฒนธรรมของเขา เราจะเข้าใจประเพณี ความคิด การดำรงชีวิต
ที่ต้องถ่ายทอดออกมาเป็นลักษณะคำศัพท์เฉพาะ ช่วยทำให้เราเรียนภาษานั้น ๆ ได้ดียิ่งขึ้น


การเรียนภาษา จำเป็นที่ต้องใช้ระยะเวลายาวนาน อย่าไปเชื่อว่า เรียน 2-3 เดือนแล้วจะเก่ง
เพราะการเรียนภาษา ไม่เหมือนเรียนคณิตศาสตร์ที่มีสูตรท่องตายตัว บวก ลบ หาสมการ ก็ได้แล้ว
แต่การเรียนภาษา เหมือนการเรียนที่ค่อย ๆ สะสมเก็บข้อมูลไปเรื่อย ๆ คล้าย ๆ
เด็กที่เติบโตมาที่ยังไม่สามารถพูดภาษาแม่ได้ เขาจะหัดพูด หัดถาม ตอนอายุสักประมาณกี่ขวบ?
การเรียนภาษาก็เช่นเดียวกัน มันจะค่อยไต่ระดับขึ้นไปเอง ต้องทำอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ
หากทิ้งไว้นาน ก็ลืมได้เหมือนกัน .....
โดย คิดแล้วเขียนV :)

วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2552

การเรียนรู้

การเรียนรู้ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
หากสิ่งใดที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง
นั่นเท่ากับว่า เรายังไม่เรียนรู้อย่างแท้จริง

คล้ายกับเด็กเล็ก ๆ ที่ยังไม่รู้เรื่องราว
ใช้มือคว้าเทียนที่จุดไฟ เพราะเห็นว่ามีเปลวไฟสว่างไสว
เมื่อมือแตะสัมผัสกับลำเทียน เจอน้ำตาเทียนเข้า
ก็ทำให้เด็กคนนั้น เรียนรู้แล้วว่า เทียนเวลาจุดไฟนี้ ร้อนนะ
ถ้าไม่ระมัดระวังในการจับ มืออาจจะพองได้
นี่คือการเรียนรู้โดยวิถีธรรมชาติอย่างหนึ่ง

ทุกคนย่อมได้ผ่านการเรียนรู้ทั้งในตำรา และนอกตำรามาแล้ว
ไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตาม หากสิ่งใดที่คิดว่ารู้แล้ว แต่ยังไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง
แสดงว่า เรายังไม่ได้เรียนรู้สิ่งนั้นอย่างแท้จริง!



โดย คิดแล้วเขียน V :)

วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2552

คู่ชีวิต ชีวิตคู่


วันนี้เป็นวันที่ ๒ สิงหาคม

ย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบกว่าปีก่อน ก่อนที่ข้าพเจ้าจะเกิดมา
วันนี้เป็นวันจดทะเบียนสมรสของบิดา และมารดาของข้าพเจ้า
ซึ่งรูปแบบลายสัญลักษณ์ของใบทะเบียนสมรสที่ข้าพเจ้าเห็น
ก็เปลี่ยนไปตามยุค ตามสมัย
แต่ที่ยังเห็นคงเดิมไว้ จะเป็นรูป ดอกรัก หอยสังข์ และดอกบานไม่รู้โรย

สมัยนี้ คู่รัก หลาย ๆ คู่ มองว่า การจดทะเบียนสมรสเป็นสิ่งที่ยุ่งยาก
เพราะต้องรับผิดชอบปัญหาต่าง ๆ ของคู่ตนเองมากมาย
เลยไม่ค่อยคิดที่จะจดทะเบียนกัน นอกจากจะมีบุตร จึงจะจดทะเบียน
ดีไม่ดี มีบุตรแล้ว บางคนแค่รับรองบุตรเท่านั้น
ความคิดของหนุ่มสาวสมัยนี้ มักเป็นคนที่ชอบทำอะไรง่าย ๆ
ชีวิตมักง่าย เลยเลิกกันก็ได้ง่าย ... เพราะไปเลียนแบบสังคมตะวันตกมากไป...

ชีวิตคู่ ไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าอยากจะปรับตัว
ถ้ายังไม่คิดที่เสียสละความสุขส่วนตัวแล้วล่ะก้อ ... อย่าคิดมีคู่ชีวิตเลย...

ข้าพเจ้าเห็นชีวิตคู่ของบิดามารดาของตนเองแล้ว
รู้สึกว่า การมีครอบครัวเป็นเรื่องค่อนข้างใหญ่เหมือนกัน
นั่นหมายถึง ต้องมีความรับผิดชอบต่อตนเอง และผู้อื่นได้
(ตนเอง คู่ชีวิต ยังไม่นับญาติ เพื่อนฝูงของแต่ละฝ่ายซึ่งมักจะมีอิทธิพลไม่น้อยทีเดียว)
ถ้าทำไม่ดี อาจเกิดปัญหาตามมาภายหลังได้ และส่วนมากมักจะเป็นแบบนั้นซะด้วย

การใช้ชีวิตคู่ คือ การปรึกษาหารือกัน ระหว่างคู่ชีวิต
การพูดคุย ทำความเข้าใจนิสัยระหว่างกัน
ไม่ใช่แค่การเห็นด้วยตา หรือมองภายนอกเพียงอย่างเดียว
บิดามารดาของข้าพเจ้า ไม่เคยทะเลาะกันแรง ๆ ให้ลูกเห็น
นอกจากมีการถกเถียงธรรมดา แบบลิ้นกับฟัน
แต่ก็ยังเห็นไปไหนมาไหนด้วยกันเป็นคู่ตลอด
ถ้าไม่เห็นอีกคน ก็มักจะต้องมีคนถามถึงเสมอ
พูดง่าย ๆ คือ ต่างคนต่างติดครอบครัวมากกว่าเพื่อนฝูง
จึงทำให้ชีวิตคู่ อยู่กันยาวขึ้น
แต่สมัยนี้ สังคมกว้างออกไป
หากไม่เข้าสังคม ชีวิตงานก็ไม่ก้าวหน้า
เขาจึงมักเปรียบไว้เสมอว่า

Lucky in game
but unlucky in love

ไว้เสมอ ๆ เพราะสองอย่างมักจะสวนทางกัน
นี่คือ กฎธรรมชาติที่แสนจะธรรมดา
น้อยคนนัก ที่จะมีครบทั้ง ๒ แบบ
ถ้าใครมีครบ ถือว่าโชคดีอย่างมาก
มากกว่าซื้อ ล๊อตเตอรี่เสียอีก

แล้วคุณล่ะ คิดว่า ชีวิตคู่ควรเป็นแบบใด?


โดย
คิดแล้วเขียน :)




วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ที่มาของคำศัพท์ น่าสนใจไม่น้อย!


ทำไมคนไทยจึงเรียก ปริญญาตรี โท เอก?

เนื่องจากหลายวันก่อนไปงานรับปริญญามหาบัณฑิตของพี่สาว
ข้าพเจ้ามานั่งคิด ๆ ถึงเรื่อง ภาษาพูดของคนไทยในบ้านเรา
ว่่าทำไมประเทศไทย จึงเรียกคนที่ได้รับปริญญาใบแรกว่า
ปริญญาตรี ทำไมไม่เรียกปริญญาเอก? ซึ่งหมายถึง ใบแรก หรือใบที่ ๑

ส่วนการเรียนที่ระดับสูงขึ้นไปอีก เป็น ปริญญาโท
และการเรียนต่อที่ระดับสูงกว่า ปริญญาโท เรียกว่า ปริญญาเอก

ทั้ง ๆ ที่ภาษาอังกฤษ เขาเรียกถูกต้องแล้ว ที่เรียกปริญญาใบแรกว่า
bachelor's degree หรือภาษาไทยทางราชการแปลว่า "บัณฑิต"
(ซึ่ง bachelor นี่ ภาษาอังกฤษ หมายถึง ชายโสด ได้ด้วยนะ
รากคำศัพท์ และที่มาของแต่ละภาษานี่ น่าสนใจไม่น้อย
เพราะมันสามารถบอก แหล่งที่มาของคำเหล่านั้นได้ดี)

ส่วนที่เรียนปริญญาสูงกว่าใบแรกว่า
Master's degree หรือภาษาไทยทางราชการแปลว่า "มหาบัณฑิต"

ส่วนที่เรียนในระดับสูงสุด เรียกว่า
doctor's degree หรือภาษาไทยทางราชการแปลว่า "ดุษฎีบัณฑิต"

คงมีเวลาว่างมาก ในขณะที่คอยบัณฑิตออกจากหอประชุม
เลยคิดอะไรเรื่อยเปื่อย :)
แต่ก็ยังหาคำตอบให้ตนเองไม่ได้
ถ้าให้ถามกับคนที่จบปริญญามาแล้วหลายใบ
ข้าพเจ้าก็คิดว่า หลายคนคงจะไม่ทราบแบบข้าพเจ้าเหมือนกัน
ว่า ทำไมจึงเรียกว่า ปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก :)

โดย คิดแล้วเขียน ...ไปเรื่อย ๆ :)